หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระ 6
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โลกให้เขารับนับถือ
ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน
จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร
เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร
และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง
ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว
ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย
ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล
จะเป็นอื่นมาจากไหน
ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว
ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง การปฏิบัติต่อศาสนาก็ปฏิบัติไม่ถูก
คำว่าไม่ถูกนี้ ไม่ว่าอะไรไม่ถูก ของนั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
แม้ได้ก็ไม่ถูกตามกฎเกณฑ์ คือได้แบบขวางโลก ขวางธรรม ขวางตน
และขวางผู้อื่นไปทั้งนั้น คิดอย่างง่าย ๆ และเห็นประจักษ์ตาคือ
การบวกลบคูณหารไม่ถูก ตัดเสื้อกางเกงไม่ถูก เย็บเสื้อผ้าไม่ถูก
สามีภริยาปฏิบัติไม่ถูกตามจารีตประเพณี
คู่รักปฏิบัติไม่ถูกตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน พ่อแม่กับลูก ๆ ปฏิบัติต่อกันไม่ถูก
การแสวงหาทรัพย์ไม่ถูกทาง การจ่ายทรัพย์ไม่ถูกทาง ขับรถไม่ถูกกฎจราจร
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
อันเป็นเครื่องปกครองโลกให้ร่มเย็นทั่วหน้ากัน
ราษฎรกับเจ้านายปฏิบัติต่อกันไม่ถูกตามระบอบประเพณีและกฎหมายบ้านเมือง
ขาดความเคารพนับถือกันและกลายเป็นข้าศึกต่อกัน
เหล่านี้จะเห็นเป็นความเสียหายมากน้อยกว้างแคบเพียงไร
ผลคือความผิดหวังและความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ทำผิด จะแสดงขึ้นที่ไหน
ถ้าไม่แสดงขึ้นตามจุดแห่งเหตุที่ทำผิดก็ไม่มีที่แสดง
ขึ้นชื่อว่าผิดแล้วผลคือความเสียหายต้องแสดงขึ้นตามเหตุนั้น ๆ
แม้คนที่ทำผิดต่อผู้อื่นโดยที่เขาจะทราบว่าตัวทำผิดต่อเขาหรือไม่ก็ตาม
ผลคือความเสียหายที่จะระบาดออกจากการทำผิดนั้น ปิดไม่อยู่แน่นอน
ต้องแสดงสุดขีดแห่งการทำผิด จะเป็นฝ่ายใดได้รับไม่เป็นปัญหา
ข้อแก้ตัวว่าทำผิดแล้วผลไม่แสดงตัวให้ปรากฏ อย่างไรต้องแสดงมากน้อยจนถึงขั้นแดงโร่ทั่วดินแดน
ฉะนั้นคำว่าไม่ถูก
เช่น คิดไม่ถูก พูดไม่ถูก และคำว่าไม่ถูก
หรือคำว่าผิดนี้จึงเป็นจุดที่ควรสนใจอย่างยิ่ง ไม่ชินชาตามัว
ไม่เหลียวแลเรื่องจะแก่กล้าพร่าเอาตัวผู้เลื่อนลอยต่อความผิดให้ล่มจมอย่างเห็นประจักษ์ตาในขณะนี้ชาตินี้
ไม่ต้องมองไกลอันเป็นการตะครุบเงามากกว่าถูกตัวจริง
เพราะศาสนามิใช่เงาเครื่องหลอกหลอนคนให้โง่
แต่เป็นศาสนาที่ให้ความจริงทุกประตูที่ประกาศสอนไว้ ไม่ผิดพลาด
ถ้าผู้นับถือไม่ปฏิบัติให้ผิดพลาดไปเอง แล้วกล่าวตู่ว่าศาสนาไม่เป็นท่า
ซึ่งเป็นการกว้านความผิดพลาดมาทับถมโจมตีตัวเอง
ให้เกิดความทุกข์ร้อนจนหาที่ปลงวางไม่ได้เท่านั้น
จึงไม่มีปัญหาสำหรับศาสนาซึ่งเป็นของบริสุทธิ์มาดั้งเดิม
ท่านกล่าวย้ำอีกว่า
คนเราถ้ายอมรับความจริงตามหลักศาสนาที่สอนไว้ ตัวย่อมได้รับความเป็นธรรม
คือตัวเย็น ผู้เกี่ยวข้องมากน้อยก็เย็น โลกร่มเย็นไม่ค่อยมีการทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิง
เพื่อแข่งดิบแข่งดีกันให้เดือดร้อนไปทั้งสองฝ่าย ซึ่งสุดท้ายก็เป็นไฟไปตาม ๆ กัน
ไม่มีใครได้ครองความสุขดังใจหวัง เพราะเอาใจดวงกำลังเป็นไฟทั้งกอง
เข้าไปเป็นหัวหน้าว่าความในกิจการในโรงในศาล ในเรื่องต่าง ๆ ไม่มีประมาณ
ด้วยเหตุนี้แลคนเราจึงหาประมาณความทรงตัวได้ยาก
อยู่ที่ไหนก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไม่เป็นสุข เพราะใจแบกกองไฟไว้กับตัวตลอดเวลา
ไม่คิดจะปลงวางลงบ้าง พอได้หายใจไกลทุกข์ประสบสุขเสียบ้าง เพื่อทรงตัว
ท่านว่าผมเองนับแต่บวชมาในศาสนา
ชาตินี้เกือบทั้งชาติสนุกพิจารณาศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าประทานไว้
ความกว้างลึกของศาสนธรรมยังกว้างลึกกว่ามหาสมุทรทะเลเป็นไหน ๆ
เทียบกันไม่ได้เอาเลย ถ้าพูดตามความจริงจริง ๆ แล้ว
ความละเอียดสุขุมเหลือประมาณที่จะพิจารณาตามได้
ความอัศจรรย์แห่งผลที่แสดงขึ้นกับการปฏิบัติเป็นระยะ ๆ ไปก็สุดจะกล่าว
ถ้าไม่คิดว่าคนจะหาว่าบ้าแล้ว ผมกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ซึ่งเป็นองค์แห่งธรรมอัศจรรย์แท้ได้ตลอดไป เช่นเดียวกับคนงานอื่น ๆ
ซึ่งหนักยิ่งกว่าการกราบไหว้เป็นไหน ๆ ไม่มีการเกียจคร้าน ไม่นึกระอา
ไม่นึกว่าซ้ำซาก แต่แน่ใจอย่างถอนไม่ขึ้น แม้ชีวิตดับไปว่าพุทธะ ธรรมะ
สังฆะอยู่กับเรา เราอยู่กับท่านตลอดเวลาอกาลิโก ไม่มีการแยกย้ายจากกันเหมือนโลก
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่คอยทำลายหัวใจสัตว์โลกให้ระทมขมขื่นอยู่เสมอ
ไม่พอให้หายใจได้แต่ละเวลาเลย
ท่านเล่าว่า
หลายคืนที่ทำความเพียรอยู่ตลอดกลางคืนยามดึกสงัด
ปรากฏเห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง
พากันเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวบริเวณนั้นแทบทุกคืน
ท่านนึกสงสัยว่าคนทั้งสองนี้เดินไปมาเพื่อประสงค์อะไร
วันต่อมาจึงถามถึงเหตุที่ต้องพากันมาเดินวกเวียนอยู่แถวนั้น
ก็ได้คำตอบจากคนทั้งสองว่า เป็นห่วงและอาลัยในพระเจดีย์ที่สร้างยังไม่เสร็จ
แต่ได้ตายไปเสียก่อน เพราะความห่วงใยนั้นจึงต้องวกเวียนไปมาอยู่ทำนองนี้นานแล้ว
ส่วนสามเณรน้อยนั้นเป็นน้องชายของหญิงคนนั้น
ทั้งสองคนได้ร่วมกำลังกันสร้างพระเจดีย์
ความที่ต่างคนต่างห่วงและอาลัยพระเจดีย์และเสียดายเวลาไม่รอคอยพอให้สร้างพระเจดีย์เสร็จก่อนแล้วค่อยตายไป
จะไม่เป็นภาระผูกพันดังที่เป็นอยู่เวลานี้ แม้จะเป็นอยู่ในภพที่มีความห่วงใย
แต่ก็มิได้มีความทุกข์ทรมานซึ่งควรจะเป็น
เป็นแต่จะไปผุดไปเกิดที่ไหนก็ไม่อาจปลงใจลงได้เด็ดขาดเท่านั้น
ท่านจึงได้เทศน์ให้คนทั้งสองฟังว่า
“สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้จะทำความผูกพันและมั่นใจให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียวโดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย”
การสร้างพระเจดีย์ไม่สำเร็จแต่มาด่วนตายไปเสียก่อนนั้น
ถ้าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เป็นไปตามใจหวังได้แล้วเราก็ไม่ควรตาย
ควรจะสร้างให้สำเร็จไปเสียก่อน แต่ยังฝืนตายไปจนได้ มิหนำเวลาตายแล้วยังมาเป็นห่วงอยากให้เจดีย์สำเร็จทั้งที่ไม่สามารถทำได้
นี่แสดงว่าคิดผิดไปถึงสองชั้น
แล้วยังจะเป็นห่วงเพื่อให้สมความปรารถนาอีกต่อไป
ยิ่งคิดผิดไปอีกสามชั้น ความคิดผิดมิได้ผิดเฉพาะความคิดเท่านั้น การไปการมาเกิดในภพ
การเสวยสุขเสวยทุกข์ในภพนั้น ๆ ก็พลอยผิดความมุ่งหมายไปด้วย
เพราะความคิดผิดเป็นสาเหตุจากใจเพียงดวงเดียว
จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะฝืนคิดฝืนเป็นห่วงต่อไป
การสร้างพระเจดีย์เราสร้างหวังบุญหวังกุศลต่างหาก
มิได้สร้างเพื่อหวังเอาก้อนอิฐก้อนหินปูนทรายในองค์พระเจดีย์ไปด้วย สิ่งที่เป็นสมบัติของเราในการสร้างพระเจดีย์ก็คือบุญ
สร้างได้มากน้อยบุญที่เกิดจากการสร้างนั้นเป็นของเรา
จึงไม่ควรเป็นห่วงใยในอิฐในปูนและในพระเจดีย์ ซึ่งเป็นวัตถุที่หยาบยิ่ง
และเป็นสิ่งสุดวิสัยที่จะให้เป็นไปได้ดังใจหวัง ท่านนักสร้างบุญทั้งหลาย
ท่านเอาเฉพาะบุญติดตัวไป มิได้เอาสิ่งก่อสร้างวัตถุทานต่าง ๆ
ที่สละลงเพื่อทานแล้วติดตัวไปด้วย เช่น การสร้างวัด สร้างกุฎีวิหาร
ศาลาโรงธรรมสวนะ สร้างถนนหนทาง สร้างถังน้ำ
สร้างสาธารณสถาน ตลอดการให้ทานด้วยวัตถุต่าง ๆ มากมายหลายวิธี
สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องสนองกุศลเจตนาของผู้มุ่งทำบุญให้ทานเท่านั้น
มิใช่ตัวบุญตัวกุศลตัวสวรรค์นิพพาน และมิใช่ผู้จะไปสู่มรรคสู่ผลสู่สวรรค์นิพพาน
สร้างไว้แล้วนานไปก็ชำรุดทรุดโทรม และร่วงโรยไปตามฐานะและกาลของมัน
สิ่งที่สำเร็จจากการก่อสร้างและการให้ทานอันเป็นส่วนนามธรรมอยู่ภายในนั้น
คือตัวบุญกุศล เจ้าของผู้คิดเป็นกุศลเจตนาขึ้นมาให้สำเร็จเป็นวัตถุไทยทานต่าง ๆ
นั้นคือใจ ใจนี่แลเป็นผู้ทรงบุญทรงกุศล ทรงมรรคทรงผล ทรงสวรรค์นิพพาน
และใจนี่แลเป็นผู้ไปสู่สวรรค์นิพพาน นอกจากใจไม่มีอะไรจะไป
เจดีย์ของคุณทั้งสองที่สร้างยังไม่เสร็จนั้น
ก็มิได้มีจิตใจพอจะมีเจตนาในบุญกุศลเพื่อไปสวรรค์นิพพานอะไรเลย
ความเป็นห่วงก็คือใจดวงหึงหวง แม้จะเป็นฝ่ายดี
แต่ความคิดที่ติดอยู่จัดว่าเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดต่อตัวเองอยู่นั่นแหละ
จึงทำเจ้าของให้วกไปเวียนมาชักช้าต่อทางไปผุดไปเกิด
ถ้าคุณทั้งสองยินดีเฉพาะกุศลผลบุญที่ทำได้จากการสร้างพระเจดีย์ไปเท่านั้น
ไม่มุ่งจะแบกหามพระเจดีย์ไปสวรรค์นิพพานด้วย
คุณทั้งสองก็ไปอย่างสุคโตหายห่วงไปนานแล้ว
เพราะบุญเป็นเครื่องสนับสนุนคนให้สุคโตเสมอมา ดังธรรมแสดงไว้ว่าอกาลิโก
ฉะนั้นบุญจึงไม่เปลี่ยนแปลงตัวกลายเป็นบาปตลอดกาล ความห่วงในสิ่งไม่ควรห่วงและในกาลไม่ควรห่วง
จึงเป็นความผิดของผู้ห่วงใยเอง อนึ่งความห่วงใยอยากให้เจดีย์สำเร็จนั้น
ก็มิได้สำเร็จไปตามความห่วงความหวัง
จึงไม่ควรตั้งจิตคิดเป็นห่วงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
พลังแห่งบุญกุศลของคุณทั้งสองพอดีกับคุณทั้งสองอยู่เฉพาะปัจจุบัน
อย่าคิดเรื่องอดีตอนาคตให้เป็นการกดถ่วงกำลังใจที่ควรจะไปทางดีให้เสียเวลาอยู่นาน
ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่ขณะนี้ ควรแก้ไขเจตสิกธรรม คือความคิดปรุงต่าง ๆ นั้นเสีย
คุณทั้งสองจะหายห่วงและไปอย่างสบายหายกังวลในไม่ช้า
ขอได้พากันสนใจในปัจจุบันอันเป็นที่บรรจุกุศลธรรมทั้งมวลเพื่อมรรคผลนิพพาน
อดีตอนาคตเป็นข้าศึกที่ควรแก้ไขอย่าให้เนิ่นนาน
คุณทั้งสองเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก
สร้างบุญญาภิสมภารมาเพื่อยังตนไปสู่สุคติ
แต่กลับมาติดกังวลในอิฐในปูนเพียงเท่านั้น
จนเป็นอุปสรรคต่อทางเดินของตนซึ่งทำให้เสียเวลาไปนาน
ถ้าคุณทั้งสองพยายามตัดความขัดข้องห่วงใยที่กำลังเป็นอยู่ออกจากใจ ชั่วเวลาไม่นานเลยจะเป็นผู้หมดภาระเครื่องผูกพัน
คุณมีจิตมุ่งมั่นในภพใดจะสมหวังในภพนั้น
เพราะแรงกุศลที่ได้พากันสร้างมาพร้อมอยู่แล้ว
จากนั้นท่านแสดงศีล
๕ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ไม่ขัดต่อภพกำเนิดและเพศวัยให้ฟัง
พร้อมอานิสงส์เป็นใจความย่อว่า
“หนึ่ง สิ่งที่มีชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง
จึงไม่ควรเบียดเบียนและทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
อันเป็นการทำลายคุณค่าของกันและกันเป็นบาปกรรมแก่ผู้ทำ
สอง
สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวนแม้คนอื่นจะเห็นว่าไม่ดีมีคุณค่า
แต่ผู้เป็นเจ้าของย่อมเห็นคุณค่าในสมบัติของตน ไม่ว่าสมบัติหรือสิ่งของใด ๆ
ที่มีเจ้าของ แม้มีคุณค่าน้อยก็ไม่ควรทำลาย คือ ฉกลัก ปล้นจี้ เป็นต้น
อันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกันอย่างหนัก ทั้งเป็นบาปมาก ไม่ควรทำ
สาม
ลูกหลานสามีภริยาใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อมล่วงเกิน
จึงควรให้สิทธิเขาโดยสมบูรณ์ ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน
อันเป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนักและเป็นบาปไม่มีประมาณ
สี่
มุสา การโกหกพกลมเป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลง
ขาดความนับถืออย่างไม่มีชิ้นดีเลย
แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานเขาก็ไม่พอใจในคำหลอกลวง จึงไม่ควรพูดโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
ห้า
สุรา ตามธรรมชาติเป็นของมึนเมาและให้โทษอยู่ในตัวของมันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
เมื่อดื่มเข้าไปย่อมสามารถทำคนดี ๆ ให้กลายเป็นคนบ้าได้ในทันทีทันใด
และลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัวอย่างมนุษย์ทั้งหลาย
จึงไม่ควรดื่มสุราเครื่องทำลายสุขภาพทางกายและทางใจอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการทำลายตัวเองและผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน
อานิสงส์ของศีล
๕ เมื่อรักษาได้
หนึ่ง
ทำให้อายุยืนปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน
สอง
ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความครอบครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวีเบียดเบียนทำลาย
สาม
ระหว่างลูกหลาน สามีภริยาอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้มาคอยล่วงล้ำกล้ำกราย
ต่างครองกันด้วยความเป็นสุข
สี่
พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะด้วยสัตย์ด้วยศีล
เทวดาและมนุษย์เคารพรัก ผู้มีสัตย์มีศีลไม่เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น
ห้า
เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้า หลงหลัง
จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าบอหาสติไม่ได้
ผู้มีศีลเป็นผู้ปลูกและส่งเสริมความสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลก
ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย
ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ฉะนั้นผู้เห็นคุณค่าของตัวจึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่นว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
ไม่เบียดเบียนทำลายกัน
ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ไม่ตกต่ำ
เพราะอำนาจศีลธรรมคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์
เมื่อจากอัตภาพนี้จะมีสวรรค์เป็นที่ไปโดยไม่ต้องสงสัย
ธรรมที่สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง
จะเป็นผู้ทรงสมบัติทุกอย่างในอัตภาพที่จะมาถึงในไม่ช้านี้แน่นอน”
พอจบธรรมเทศนา
สองพี่น้องมีใจร่าเริงในธรรม และขอสมาทานศีล ๕ กับท่าน ท่านได้ประกาศศีล ๕
ให้แก่สองพี่น้องตามเจตนา พอเสร็จการแสดงธรรมและประกาศศีล ๕ แล้ว
คนทั้งสองได้นมัสการลาและหายตัวไปในที่และขณะนั้นนั่นเอง
ด้วยอำนาจกุศลศีลทานที่ได้สร้างมาและกุศลที่ฟังธรรมรักษาศีล ๕ กับท่านอาจารย์
สองพี่น้องได้เปลี่ยนภพถ่ายภูมิที่เป็นอยู่ ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพในลำดับต่อมาโดยไม่ชักช้า
และได้พากันมานมัสการเยี่ยมฟังเทศน์ท่านอาจารย์เสมอมิได้ขาด
พร้อมด้วยความขอบพระคุณท่านที่เมตตาอนุเคราะห์ให้อุบายสั่งสอนต่าง ๆ
จนได้พ้นจากความวกเวียนไปมาในสถานที่นั้น
แล้วไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพยสมบัติที่ไปรอคอยอยู่เป็นเวลานานแล้วอย่างมีความสุข
เวลาที่ลงมาเยี่ยมท่านได้เล่าเรื่องความห่วงใยว่าเป็นภัยแก่จิตใจอย่างยิ่ง
ทำให้เนิ่นช้าต่อทางดำเนินและภพชาติที่ควรจะได้จะถึง
พอได้รับอุบายแล้วก็สามารถตัดความห่วงใยเหล่านั้นเสียได้
จิตพ้นจากความผูกพันไปเกิดในสวรรค์ได้โดยสะดวก
ลำดับนั้นท่านได้แสดงความห่วงใยของจิตว่า
เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคได้อย่างมากมาย เวลาจะพรากจากขันธ์
นักปราชญ์ท่านจึงสอนให้ระวังจิตไม่ให้เป็นอารมณ์ห่วงใยกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น
กลัวจิตจะประหวัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นที่รักบ้าง เป็นอารมณ์ขุ่นมัวในใจบ้าง
เช่น ความโกรธแค้นในผู้หนึ่งผู้ใด ขณะจิตจะออกจากร่างเป็นขณะที่สำคัญมาก
อาจไปเกาะเอาอารมณ์ที่ไม่ดีเข้าแล้วกลับมาเป็นไฟเผาตัว
จากนั้นก็ไปเกิดในทุคติภพมีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งล้วนเป็นภพกำเนิดที่ไม่พึงปรารถนา และให้ความทุกข์ร้อนตลอดภพนั้น ๆ
ฉะนั้นการฝึกอบรมจิตเมื่ออยู่ในฐานะที่ควรทำได้จึงควรสนใจอย่างยิ่ง
ฝึกให้รู้เรื่องของจิตเสียแต่ยังเป็นคนที่รู้ ๆ เห็น ๆ เรื่องของตนอยู่ทุกขณะ
นี้เป็นความชอบแท้ เมื่อทราบว่ายังบกพร่องส่วนใดจะได้รีบแก้ไขดัดแปลงเสีย
เวลาเข้าตาจนแล้วจะได้มีทางรักษาตัวทันกับเหตุการณ์
ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ว่าจะเสียทีให้ความชั่วทั้งหลายเข้ามาเหยียบย่ำทำลายได้
ยิ่งฝึกให้ขาดความสืบต่อกับอารมณ์ดีชั่วทั้งหลายอย่างประจักษ์แล้ว
ยิ่งประเสริฐเลิศโลกไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
นักปราชญ์ท่านเห็นความสำคัญของใจว่าประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในสามภพ ท่านจึงพยายามฝึกใจให้ไปถูกทาง
และสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติต่อใจด้วยดี
เพราะการขาดทุนสูญทรัพย์นอกภายใน
ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ เวลาเป็นอยู่ก็อยู่ด้วยใจ สุขด้วยใจ ทุกข์ด้วยใจ
เวลาตายไปก็ไปด้วยใจ เกิดเป็นกำเนิดต่าง ๆ ดีหรือชั่วก็เกิดด้วยใจ
เสวยกรรมทั้งหนักทั้งเบา ทั้งดีทั้งชั่ว ด้วยใจเป็นเหตุทั้งมวล
ไม่มีสิ่งใดพาให้เป็น มีใจดวงเดียวเท่านั้นพาให้เป็นไป
ใจจึงควรได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีเสมอ
เพื่อรู้วิธีปฏิบัติต่อตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคต
พอจบการแสดงธรรมเทวดาได้รับความแช่มชื่นเบิกบานใจเป็นอันมาก และกล่าวสรรเสริญธรรมที่ท่านแสดงว่าเป็นยอดแห่งธรรม
ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นใดมาก่อนเลย เสร็จแล้วพากันกระทำประทักษิณสามรอบ
และถอยห่างออกไปจนพ้นเขตที่ท่านพักอยู่ แล้วต่างก็เหาะลอยขึ้นบนอากาศ
ราวกับสำลีอันละเอียดถูกลมพัดปลิวขึ้นสู่อากาศฉะนั้น
มีเรื่องแปลกประหลาดอีกเรื่องหนึ่ง
ท่านเล่าว่าแปลกใจมาก คืนหนึ่งที่มีเหตุการณ์โดยทางนิมิตภาวนาเกิดขึ้น
เวลานั้นท่านพักอยู่ในภูเขาลึกแห่งหนึ่ง ห่างจากหมู่บ้านมากที่จังหวัดเชียงใหม่
เป็นเหตุการณ์ที่ทั้งน่าหวาดเสียวและน่ายินดีพอ ๆ กัน คืนนั้นดึกมากราว ๓ นาฬิกา
อันเป็นเวลาธาตุขันธ์ละเอียด ท่านตื่นจากจำวัด นั่งพิจารณาไปเล็กน้อย
ปรากฏว่าจิตใจมีความประสงค์จะพักสงบมากกว่าจะพิจารณาธรรมทั้งหลายต่อไป
ท่านเลยปล่อยให้จิตพักสงบ
พอเริ่มปล่อยจิตก็เริ่มหยั่งลงสู่ความสงบอย่างละเอียดเต็มภูมิสมาธิ
และพักอยู่นานประมาณ ๒ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ถอยออกมา
แต่แทนที่จิตจะถอนออกมาสู่ปกติจิต เพราะมีกำลังจากการพักผ่อนทางสมาธิพอสมควรแล้ว
แต่กลับถอยออกมาเพียงขั้นอุปจารสมาธิ
แล้วออกรู้เหตุการณ์ต่อเนื่องไปในเวลานั้นเลยทีเดียว
คือขณะนั้นปรากฏว่ามีช้างเชือกหนึ่งใหญ่มากเดินเข้ามาหาท่าน
แล้วทรุดตัวหมอบลงแสดงเป็นอาการจะให้ท่านขึ้นบนหลัง
ท่านก็ปีนขึ้นบนหลังช้างเชือกนั้นทันที พอท่านขึ้นนั่งบนคอช้างเรียบร้อยแล้ว
ขณะนั้นปรากฏว่ามีพระวัยหนุ่มอีกสององค์ ขี่ช้างองค์ละเชือกเดินตามมาข้างหลังท่าน
ช้างทั้งสองเชือกนั้นใหญ่พอ ๆ กัน แต่เล็กกว่าช้างตัวที่ท่านกำลังขี่อยู่เล็กน้อย
ช้างทั้งสามเชือกนั้นมีความองอาจสง่าผ่าเผยและสวยงามมากพอ ๆ กัน
คล้ายกับเป็นช้างทรงของกษัตริย์ มีความฉลาดรอบรู้ความประสงค์และอุบายต่าง ๆ
ที่เจ้าของบอกแนะดีเช่นเดียวกับมนุษย์ พอช้างสองเชือกของพระหนุ่มเดินมาถึง
ท่านก็พาออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางภูเขาที่มองเห็นขวางหน้าอยู่ไม่ห่างจากที่นั้นนัก
ประมาณ ๑ กิโลเมตร ช้างท่านเป็นผู้พาเดินหน้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
ในความรู้สึกส่วนลึก
ท่านว่าราวกับจะพาพระหนุ่มสององค์นั้นออกจากโลกสมมุติทั้งสามภพ
ไม่มีวันกลับมาสู่โลกใด ๆ อีกต่อไปเลย พอไปถึงภูเขาแล้ว
ช้างพาท่านและพระหนุ่มสององค์เดินเข้าไปที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งไม่สูงนัก
เพียงเป็นเนินเชื่อมกันขึ้นไปหาถ้ำเท่านั้น
เมื่อช้างใหญ่ทั้งสามเชือกเข้าไปถึงถ้ำแล้ว
ช้างเชือกที่ท่านอาจารย์ขี่อยู่หันก้นเข้าไปในหน้าถ้ำ หันหน้าออกมา
แล้วถอยก้นเข้าไปจรดผนังถ้ำ ส่วนช้างสองเชือกของพระหนุ่มสององค์ต่างเดินเข้าไปยืนเคียงข้างช้างท่านข้างละเชือกอย่างใกล้ชิด
หันหน้าเข้าไปในถ้ำ ส่วนช้างท่านอาจารย์ยืนหันหน้าออกมาหน้าถ้ำ
ขณะนั้นปรากฏว่า
ท่านอาจารย์เองได้พูดสั่งเสียพระว่า
นี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งขันธ์และภพชาติของผมจะขาดความสืบต่อกับสมมุติทั้งหลายและจะยุติลงเพียงแค่นี้
จะไม่ได้กลับมาสู่โลกเกิดตายนี้อีกแล้ว
นิมนต์ท่านทั้งสองจงกลับไปบำเพ็ญประโยชน์ตนให้สมบูรณ์เต็มภูมิก่อน
อีกไม่นานท่านทั้งสองก็จะตามผมมา และไปในลักษณะเดียวกับที่ผมจะเตรียมไปอยู่ขณะนี้
การที่สัตว์โลกจะหนีจากโลกที่แสนอาลัยอ้อยอิ่งแต่เต็มไปด้วยความระบมงมทุกข์นี้ไปได้แต่ละรายนั้น
มิใช่เป็นของไปได้อย่างง่ายดายเหมือนเขาไปเที่ยวงานกัน
แต่ต้องเป็นสิ่งฝืนใจมากที่ผู้นั้นจะต้องทุ่มเทกำลังทุกด้านลงเพื่อต่อสู้กู้ความดีทั้งหลาย
ราวกับจะไม่มีชีวิตยังเหลืออยู่ในร่างต่อไปนั่นแล จึงจะเป็นทางพ้นภัยไร้กังวล
ไม่ต้องกลับมาเกิดตายเสียดายป่าช้าอีกต่อไป
การจากไปของผมคราวนี้มิได้เป็นการจากไปเพื่อความล่มจมงมทุกข์ใด
ๆ แต่เป็นการจากไปเพื่อหายทุกข์กังวลในขันธ์
จากไปด้วยความหมดเยื่อใยในสิ่งที่เคยอาลัยอาวรณ์ทั้งหลาย และจากไปอย่างหมดห่วง
เหมือนนักโทษออกจากเรือนจำฉะนั้น ไม่มีความหึงหวงและน้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะความพรากไปแห่งขันธ์ที่โลกถือเป็นเรื่องกองทุกข์อันใหญ่หลวง
และไม่มีสัตว์ตัวใดปรารถนาตายกันเลย
ฉะนั้นจึงไม่ควรเสียใจอาลัยถึงผมอันเป็นเรื่องสั่งสมกิเลสและกองทุกข์ไม่มีชิ้นดีเลย
นักปราชญ์ไม่สรรเสริญ
พอท่านแสดงธรรมแก่พระหนุ่มสององค์จบลง
ก็บอกให้ถอยช้างสองเชือกออกไป
ซึ่งยืนแนบสองข้างท่านด้วยอาการสงบนิ่งราวกับไม่มีลมหายใจ
และอาลัยคำสั่งเสียท่านที่ให้โอวาทแก่พระหนุ่มสององค์
ขณะนั้นช้างทั้งสามเชือกแสดงความรู้สึกเหมือนสัตว์มีชีวิตจริง ๆ
ราวกับมิใช่นิมิตภาวนา พอสั่งเสียเสร็จแล้ว ช้างสองเชือกของพระหนุ่มก็ค่อย ๆ
ถอยออกมาหน้าถ้ำหันหลังกลับออกไป
แล้วหันหน้ากลับคืนมายังท่านอาจารย์ตามเดิมด้วยท่าทางอันสงบอย่างยิ่ง
ส่วนช้างท่านก็เริ่มทำหน้าที่หมุนก้นเข้าไปในผนังถ้ำโดยลำดับ
เฉพาะองค์ท่านนั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง
ทั้งขณะให้โอวาททั้งขณะช้างหมุนตัวเข้าในผนังถ้ำ พอช้างหมุนก้นเข้าไปได้ค่อนตัว
จิตท่านเริ่มรู้สึกตัวถอนจากสมาธิขึ้นมา เรื่องเลยยุติลงเพียงนั้น
เรื่องนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ท่านพิจารณาความหมายต่อไป
เพราะเป็นนิมิตที่แปลกประหลาดมากไม่เคยปรากฏในชีวิต ได้ความขึ้นเป็นสองนัย
นัยหนึ่งตอนท่านมรณภาพจะมีพระหนุ่มสององค์รู้ธรรมตามท่าน
แต่ท่านมิได้ระบุว่าเป็นใครบ้าง
อีกนัยหนึ่งสมถะกับวิปัสสนา
เป็นธรรมมีอุปการะแก่พระขีณาสพแต่ต้นจนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์
ต้องอาศัยสมถวิปัสสนาเป็นวิหารธรรมเครื่องบรรเทาทุกข์ระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยกันอยู่
จนกว่าระหว่างสมมุติคือขันธ์กับวิมุตติคือวิสุทธิจิตจะเลิกราจากกัน
ที่โลกเรียกว่าตายนั่นแล สมถะกับวิปัสสนาจึงจะยุติในการทำหน้าที่ลงได้
และหายไปพร้อม ๆ กับสมมุติทั้งหลาย ไม่มีอะไรจะมาสมมุติกันว่าเป็นอะไรต่อไปอีก
ท่านว่าน่าหวาดเสียวนั้น
ท่านคิดตามความรู้สึกทั่ว ๆ ไป คือตอนช้างท่านกำลังหมุนก้นเข้าไปในผนังถ้ำ
ทั้งที่ท่านนั่งอยู่บนคอช้าง แต่ท่านว่า
ท่านมิได้มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวเพราะเหตุการณ์ที่กำลังเป็นไปอยู่นั้นเลย
ปล่อยให้ช้างทำหน้าที่ไปจนกว่าจะถึงที่สุดของเหตุการณ์
ที่น่ายินดีเช่นกันคือตอนที่นิมิตแสดงภาพพระหนุ่มและช้างให้ปรากฏขึ้นในขณะนั้น
บอกความหมายว่า จะมีพระหนุ่มรู้ธรรมตามท่านสององค์ในระยะที่มรณภาพ
ไม่ก่อนหรือหลังท่านนานนัก ท่านว่าแปลกอยู่อีกตอนหนึ่งก็คือ
ตอนท่านสั่งเสียและอบรมสั่งสอนพระหนุ่มไม่ให้ตกใจ และมีความอาลัยถึงท่าน
ให้พากันกลับไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนให้เต็มภูมิก่อน
และพูดถึงการจากไปของท่านเองราวกับจะไปในขณะนั้นจริง ๆ นี้ท่านว่า
นิมิตแสดงให้เห็นเป็นความแปลกในรูปเปรียบว่าเมื่อวาระนั้นมาถึงจริง ๆ
พระหนุ่มสององค์จะรู้ธรรมในระยะนั้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พระหนุ่มสององค์นั้นคือใครบ้าง เวลาเรียนถามท่านท่านไม่บอก
เวลานั้นผู้เขียนมีอาการบ้ากำลังกำเริบอยากรู้ชื่อพระหนุ่มสององค์นั้น
จนลืมอยากรู้ความบกพร่องของตนเสียหมด
เลยวาดภาพหลอกตัวเองอยู่ร่ำไปว่าจะเป็นองค์ไหนกันแน่ องค์ไหนกันแน่ อยู่ทำนองนั้น
และได้พยายามใช้ความสังเกตเรื่อยมาแต่ท่านมรณภาพทีแรกจนถึงวันเขียนประวัติท่าน
ก็ยังไม่มีวี่แววมาจากทางไหนว่า
องค์นั้นเป็นผู้มีโชคมหัศจรรย์ตามนิมิตภาวนาที่ท่านเมตตาบอกเล่า
คิดไปมากเท่าไรก็ยิ่งเห็นความบ้าของตนหนักเข้าที่ตะครุบเงานอกจากตัวไปว่า
ใครจะมาประกาศขายตัวว่าตนเป็นผู้บรรลุธรรมนั้น เพราะมิใช่ปลาเน่าที่จะประกาศขายให้แมลงวันตอมเล่นไม่มีประโยชน์
เนื่องจากท่านผู้จะบรรลุธรรมขั้นนั้น ต้องเป็นผู้มีความฉลาดอย่างพอตัว
และควรแก่ธรรมขั้นนั้นอย่างเต็มภูมิจึงจะบรรลุได้
แล้วใครจะยอมโง่มาประกาศขายตัวให้นักปราชญ์สมเพชเวทนา ให้คนพาลหัวเราะเยาะ
ให้คนหูเบาเชื่อง่ายไม่มีเหตุผลรับเชื่อและตื่นข่าวไปตาม ๆ กัน
เหมือนกระต่ายตื่นตูมว่าฟ้าถล่มฉะนั้น เรื่องบ้าเลยขอบเขตก็ค่อยสงบลง
จึงได้เขียนเรื่องนี้ลงไว้เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณาต่อไป
ผิดถูกประการใดกรุณาตำหนิผู้เขียนซึ่งมีนิสัยไม่รอบคอบมาดั้งเดิม
เพราะเรื่องทำนองนี้ถือเป็นการภายในระหว่างอาจารย์กับศิษย์ควรพูดต่อกันโดยเฉพาะ
ไม่เป็นภัยต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่ผู้เขียนประวัติท่านเป็นคนมีนิสัยที่ควรตำหนิอยู่มาก
ถ้าไม่สงสารและให้อภัยดังที่เรียนขอแล้วขอเล่าตลอดมา
จึงหวังได้รับความเมตตาเป็นอย่างดีตามเคย
การเทศน์โปรดอนุเคราะห์จำพวกกายทิพย์ในภพภูมิต่าง
ๆ ท่านพระอาจารย์มั่นได้ทำภาระอย่างหนักหน่วงตลอดมาจนถึงวันมรณภาพ
ไม่ว่าท่านจะพักอยู่ที่ใด จำต้องได้ติดต่อสื่อสารกับพวกกายทิพย์ประเภทต่าง ๆ
อยู่เสมอ ยิ่งพักอยู่ในป่าในเขาลึกปราศจากผู้คนด้วยแล้ว พวกกายทิพย์จากภพภูมิต่าง
ๆ ยิ่งมาเกี่ยวข้องท่านมากเป็นพิเศษแทบไม่เว้นแต่ละคืน โดยพวกนั้นมา พวกนี้มา
ภูมินั้นมา ภูมินี้มา ชั้นนั้นมา ชั้นนี้มา แม้พวกเปรตผีที่รอรับไทยทานจากญาติ ๆ
ซึ่งทั้งผู้เป็นเปรตเป็นผี และผู้เป็นญาติ เดิมเป็นโคตรแซ่อะไร อยู่เมืองไหน
ตายไปแต่เมื่อไร และญาติในโคตรแซ่นั้นยังมีใครเหลืออยู่บ้างพอช่วยติดต่อสื่อสาร
ก็ไม่มีใครทราบได้
ยังอุตส่าห์มาติดต่อกับท่านอาจารย์เพื่อเมตตาอนุเคราะห์ช่วยบอกกับญาติ ๆ
ของเปรตผีนั้น ๆ ให้พากันทำบุญให้ทานแล้วอุทิศแผ่ส่วนกุศลไปให้เขา
พอช่วยพยุงให้ความทุกข์ที่เสวยอยู่ได้มีวันเบาบางลงบ้าง ไม่ทรมานจนเกินไป
เท่าที่เสวยทุกข์อยู่ในนรกก็นับว่าเหลือทนมานานแสนนานแล้ว
จนไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถนับอ่านเดือนปีของแดนนรกซึ่งต่างกับเมืองมนุษย์ได้
เพราะเลยการนับอ่านของแดนมนุษย์ที่ใช้นับกันจะอาจเอื้อม
พอพ้นแดนนรกขึ้นมาแทนที่จะหมดกรรมหมดเวรพอมีความสุขบ้าง
แต่ไม่ปรากฏความทุกข์ได้ลดตัวลงสมกับคำว่าพ้นจากนรกบ้างเลย
ความมีกรรมชั่วติดตัวนี้อยู่ในโลกไหนก็สักแต่ชื่อเท่านั้น
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปพอให้เย็นใจหายทุกข์พอควรบ้างเลย
ดังพวกข้าพเจ้าเสวยอยู่เวลานี้ ทั้งยังไม่ทราบว่าจะพ้นจากกรรมชั่วไปได้เมื่อไร
ถ้าพระคุณเจ้าได้เมตตาบอกข่าวกล่าวเรื่องให้ญาติ ๆ ฟังแล้ว
เขาอาจมีจิตเมตตาบำเพ็ญกุศลอุทิศกัลปนาผลส่งมาให้
พวกข้าพเจ้าอาจมีเวลาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน
ซึ่งสุดจะสังเวชสงสารตนเหลือประมาณนี้เสียได้
เวลาท่านถามถึงญาติของผู้เป็นเปรตผีที่มาขอส่วนบุญ
ก็บอกไปคนละโลกจนไม่รู้เรื่องกัน ผู้ที่ตายไปตกนรกตั้งหมื่นตั้งแสนปีทิพย์
กว่าจะพ้นโทษขึ้นมาและมาเสวยกรรมปลีกย่อยอันเป็นเศษนรกอยู่ บางรายห้าร้อยปีทิพย์
บางรายก็พันปีทิพย์ จนไม่สามารถค้นหาต้นตอหน่อแขนงแห่งโคตรแซ่ได้ว่าอยู่ที่ไหน
ถ้าเป็นเช่นรายนั้นก็สุดวิสัย ซึ่งนับว่าเป็นกรรมของสัตว์อีกแขนงหนึ่ง
ที่พ้นกรรมหนักขึ้นมาสู่กรรมเบาบ้าง ที่พอจะรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้
แต่กลับค้นหาบัญชีสำมะโนครัวไม่เจอเสีย เป็นอันว่าต้องยอมทนทุกข์เสวยกรรมนั้นต่อไป
โดยไม่มีกำหนดกฎหมายว่าจะตัดสินกรรมลงได้เมื่อไรสักที
รายที่เป็นทำนองสัตว์ไม่มีเจ้าของคอยอุปการะนี้มีจำนวนไม่น้อย
รายที่พอช่วยเหลือได้บ้างก็มี
เช่นรายที่ไม่นานและไม่หนัก ทั้งอยู่ในฐานะที่ควรรับทานจากญาติได้
สำมะโนครัวคือโคตรแซ่ที่เป็นญาติก็ยังมี ชื่อญาติและสถานที่ก็จำได้
ทั้งอยู่ไม่ห่างไกลกับสถานที่มาติดต่อขอความช่วยเหลือจากท่าน
ถ้าอย่างนี้ท่านก็อนุเคราะห์ช่วยเหลือได้ โดยหาอุบายแสดงธรรมให้เขาทราบและอุทิศส่วนกุศลในเวลาบำเพ็ญทานในงานต่าง
ๆ หรือให้ทานประจำวัน เช่น ใส่บาตรถวายทานอันเป็นการทำบุญทั่ว ๆ ไป
เสร็จแล้วอุทิศแผ่ส่วนกุศลไปยังผู้ล่วงลับ ซึ่งรอรับอยู่พร้อมแล้ว
บางรายก็รับส่วนกุศลจากการอุทิศของท่านผู้ใจบุญทั้งหลายอุทิศกันอยู่ทั่วไปได้
เฉพาะท่านเองก็อุทิศส่วนกุศลหรือแผ่เมตตาแก่บรรดาสัตว์ทั่ว ๆ ไปมิได้ขาด
แต่บางรายก็รับได้เฉพาะที่ญาติอุทิศให้เท่านั้น
บางรายก็รับได้ทั่วไปตามความนิยมของกรรมที่มีต่าง ๆ กัน
ท่านว่าพวกเปรตผีนี้พิสดารมาก
และมีกี่ร้อยกี่พันจำพวกที่มาเกี่ยวข้องกับท่าน จนไม่สามารถนับอ่านได้
ทั้งรบกวนมากกว่าจำพวกอื่น ๆ ที่มีกายลึกลับเหมือนกัน
เพราะพวกนี้หมดที่พึ่งเหมือนคอยลมหายใจจากผู้อื่น
พอเขาปิดจมูกไอหรือจามเสียขณะหนึ่งตัวก็จะตายเพราะหมดทางหากิน
จึงลำบากมากเกี่ยวกับการอาศัยผู้อื่น โดยที่ไม่เป็นตัวของตัวมาแต่ดั้งเดิม
ฉะนั้นการทำบุญให้ทานจึงเป็นกิจสำคัญมากเหนือสิ่งอื่นใด
สำหรับผู้หวังพึ่งตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคตที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร
เพราะสัตว์ที่มีกรรมทั่วไตรโลกธาตุต้องเป็นผู้รับผิดชอบตัวเองด้วยกัน
ไม่มีใครจะคอยรับผิดชอบใคร ทั้งการเกิดในกำเนิดดีชั่วต่าง ๆ ตลอดการเสวยคือสุขหรือทุกข์หนักเบามากน้อย
ต้องเป็นผู้เสวยกรรมของตัวทำไว้ทั้งสิ้น ไม่มีใครทำไว้เพื่อใคร ต่างทำไว้เพื่อตัว
แม้ไม่มีเจตนาว่าทำไว้เพื่อตัวเองก็ตาม
แต่ความจริงก็เป็นกฎตายตัวมาดั้งเดิมอย่างนั้น
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเชี่ยวชาญในทางเปรต
ผี เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑมาก
ทั้งภพหยาบภพละเอียดสามารถรู้ซอกแซกไปได้อย่างไม่มีประมาณ
ในสิ่งที่สุดวิสัยของตาเนื้อหูหนังจะเห็นและได้ยินได้
นอกจากท่านไม่เล่าหมดตามที่รู้ที่เห็นเท่านั้น
ขณะท่านเล่าเรื่องเปรตผีเป็นต้นให้ฟัง อดขนลุกไม่ได้ ทั้งที่ไม่กลัวผี
แต่ก็อดกลัวกรรมซึ่งเป็นของลึกลับและมีอำนาจมากไม่ได้
ท่านว่าคนเราถ้าสามารถรู้เห็นกรรมดีชั่วที่ตนและผู้อื่นทำขึ้นเหมือนเห็นวัตถุต่าง
ๆ เช่น เห็นน้ำเห็นไฟ เป็นต้น จะไม่กล้าทำบาปเหมือนคนไม่กล้าเข้าไฟ
แต่กระตือรือร้นกันทำแต่ความดี ซึ่งเป็นของเย็นเหมือนน้ำ ความเดือดร้อนของโลกที่เคยได้รับก็นับวันลดน้อยลง
เพราะต่างคนต่างก็รักษาตัว กลัวเป็นบาปอันตราย
ขณะที่ท่านอธิบายธรรมเกี่ยวกับเปรตผีนรกสวรรค์
เป็นต้น มีอาจารย์องค์หนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านเรียนถามท่านขึ้นว่า
เมื่อคนทั้งโลกไม่รู้ไม่เห็นบาปเห็นบุญ เห็นนรกสวรรค์ ตลอดเห็นเปรต เทวบุตร เทวดา
ครุฑ นาค และวิญญาณที่เป็นภพละเอียดยิ่ง
แต่ท่านอาจารย์สามารถรู้เห็นได้เพียงองค์เดียวทั้งที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นด้วย
ท่านอาจารย์จะอธิบายให้คนรู้เห็นด้วยไม่ได้บ้างหรือ
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านเวลาเห็นแล้วยังนำมาสั่งสอนโลกได้ เช่น บาป บุญ
นรก สวรรค์ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมชาติที่พระองค์รู้เห็นแล้วนำมาสอนโลกทั้งสิ้น
ไม่เห็นใครปรับโทษพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่าน
นี่ก็เข้าใจว่าจะไม่มีท่านผู้ใดจะมาปรับโทษท่านอาจารย์
นอกจากเขาจะอนุโมทนาสาธุกับท่านอาจารย์เท่านั้น
เช่นเดียวกับพวกกระผมเชื่อและอัศจรรย์ความรู้ความสามารถของท่านอาจารย์อยู่เวลานี้
ท่านอาจารย์ตอบว่า
ผมยังไม่ได้คิดว่าจะพูดอย่างท่านขอร้อง
แต่ผู้ขอร้องคือท่านจะหาเรื่องบ้ามาฆ่าตัวท่านและผมก่อนแล้ว
ถ้าผมพูดตามความเห็นท่าน ท่านก็เป็นบ้าคนที่หนึ่ง ผมก็คือบ้าคนที่สอง
ผู้ฟังที่นั่งอยู่ด้วยกันนี้ก็จะเป็นบ้าคนที่สามที่สี่ จะเป็นบ้าไปด้วยกันทั้งวัด
แล้วจะมีวัดบ้าที่ไหนให้พวกเราซึ่งเป็นบ้ากันหมดทั้งวัดอยู่ล่ะ
ศาสนาออกจากท่านผู้รอบคอบ แสดงไว้ด้วยความรอบคอบ เพื่อปฏิบัติด้วยความรอบคอบ
รู้ด้วยความรอบคอบ และพูดด้วยความรอบคอบ แต่การพูดพล่ามไปดังท่านนี้
จะจัดว่ารอบคอบหรือจัดว่าพวกบ้าน้ำลาย ท่านลองพิจารณาดูซิ
ผมว่าเพียงคิดขึ้นเท่านั้นก็เริ่มคิดเรื่องบ้าอยู่แล้ว มิหนำยังจะขืนพูดออกมา
ถ้าโลกทนฟังได้โลกไม่แตก ผู้พูดผู้ฟังเหล่านี้ก็ดีแตกและบ้าแตกหาโลกอยู่ไม่ได้แน่
ๆ
การพูดดังที่ท่านคิดนั้นท่านมีเหตุผลอะไรบ้าง
ท่านลองคิดดูแม้แต่สิ่งที่เห็น ๆ รู้ ๆ กันอยู่ทั่วไป
เขายังรู้จักวิธีปฏิบัติว่าควรอย่างไรไม่ควรอย่างไร
จึงจะเหมาะสมกับเหตุการณ์สถานที่และความนิยมของคนในยุคนั้น ๆ
ธรรมแม้จะเป็นความจริงเหนือสิ่งใด แต่ยังอาศัยโลกผู้เกี่ยวข้องกับธรรมอยู่
ซึ่งควรปฏิบัติให้เหมาะสมกับโลกกับธรรมไปตามกรณี
แม้พระพุทธเจ้าที่ทรงรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ก่อนใครในโลก
ทั้งสามารถจะตรัสอะไรได้ด้วยความรู้ความเห็นที่ประจักษ์พระทัย
แต่ก็ทรงรอบคอบในสิ่งทั้งปวงว่าจะควรปฏิบัติอย่างไรเสมอมา
หากพระองค์จะตรัสบ้างในบางเรื่อง
ก็ทรงเห็นว่าเหมาะกับเหตุการณ์สถานที่และบุคคลผู้รับฟัง
มิได้ตรัสโดยปราศจากพระสติปัญญาความรอบคอบอันแหลมคม
ความรู้ความเห็นสิ่งต่าง
ๆ ที่ควรแก่ฐานะของตนนั้นเป็นสิทธิของผู้นั้น
แต่จะพูดพล่ามออกมาเสียทุกสิ่งทุกอย่างโดยปราศจากสติปัญญาที่ควรนำใช้เป็นประจำนั้น
รู้สึกจะเป็นความรู้ความเห็นที่แหวกแนว คำพูดแหวกแนว แต่ผู้รับฟังซึ่งมิใช่คนแหวกแนวก็ทนฟังอยู่มิได้
การที่ใครจะปรับโทษหรือไม่นั้นเป็นเรื่องหยาบและเรื่องนอก ๆ
ซึ่งไม่สำคัญยิ่งกว่าตัวผู้รู้ผู้เห็น
จะควรปฏิบัติต่อตัวโดยสามีจิกรรมอันเป็นความชอบธรรมแก่ตนและผู้เกี่ยวข้องทั่ว ๆ ไป
ความเชื่อและความอัศจรรย์ก็มิใช่เหตุผลที่จะนำมาสนับสนุนเพื่อเสริมคนให้เป็นบ้า
ความเชื่อและความอัศจรรย์ด้วยความอยากให้พูดให้คุย
ก็เป็นความเชื่อความอัศจรรย์ของคนที่กำลังจะหาทางเป็นบ้า
ผมจึงไม่สรรเสริญความเชื่อความอัศจรรย์แบบนั้น แต่อยากให้มีความเชื่อความอัศจรรย์ที่จะเป็นความแหลมคม
สมกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนคนให้ฉลาดบ้าง
แม้ไม่ฉลาดมากก็พอน่าชมด้วยความหวังว่าจะยังมีผู้ทรงพระศาสนา
และสืบพระศาสนาไปด้วยความฉลาดรอบคอบอยู่บ้าง ผมขอถามท่านบ้างว่า “สมมุติว่าท่านมีเงินติดตัวอยู่จำนวนพอที่จะทำประโยชน์หรือทำความเสียหายแก่ตัวท่านได้หากไม่ฉลาด
เวลาท่านเข้าในที่ชุมนุมชนท่านจะปฏิบัติต่อสมบัตินั้นอย่างไรบ้าง
ถึงจะปลอดภัยทั้งสมบัติและตัวท่านเอง”
พระอาจารย์องค์นั้นเรียนตอบท่านว่า“กระผมก็จะพยายามรักษาสมบัตินั้นเต็มสติปัญญาที่จะรักษาได้” ท่านถามว่า “สติปัญญาที่ท่านจะนำมาใช้ต่อสมบัติและชุมนุมชนในเวลานั้น
ท่านจะนำมาใช้ด้วยวิธีใด สมบัติส่วนอื่น ๆ และตัวท่านเองจึงจะปลอดภัย” อาจารย์นั้นเรียนท่านว่า “ถ้ากระผมจะสงเคราะห์เขาโดยที่เห็นว่าควรสงเคราะห์
ก็จะพยายามแยกสมบัติจำนวนที่จะสงเคราะห์ออกแผนกหนึ่ง
โดยมิให้เขามองเห็นสมบัติส่วนใหญ่ที่มีอยู่ของตน
แล้วสงเคราะห์เขาไปเฉพาะจำนวนที่แยกออกไว้จากส่วนใหญ่เท่านั้น
นอกนั้นกระผมก็เก็บไว้อย่างมิดชิดไม่ให้ใครรู้ใครเห็น
เพราะกลัวจะเป็นภัยแก่สมบัติและตัวกระผมเอง” ท่านตอบว่า “เอาละ
ทีนี้สมมุติว่าท่านรู้เห็นธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ดังที่ท่านยกขึ้นถามผม มีการเห็นเปรตผี
เป็นต้น ท่านจะปฏิบัติต่อความรู้ความเห็นและแก่ผู้เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
ถึงจะจัดว่าเป็นผู้มีความรอบคอบในสมบัติประเภทนั้นและเป็นประโยชน์แก่หมู่ชนผู้มาเกี่ยวข้องเท่าที่ควร
โดยไม่มีการอื้อฉาวราวเรื่อง ซึ่งอาจเป็นความเสียหายแกท่านเองและพระศาสนาได้”
อาจารย์องค์นั้นเรียนท่านว่า
“กระผมก็จำต้องปฏิบัติทำนองเดียวกันกับการปฏิบัติต่อเงินซึ่งเห็นว่าเป็นคุณแก่ตนและผู้อื่นโดยถ่ายเดียว
ไม่มีภัยเข้ามาแทรกด้วย” ท่านถามว่า “ก็เมื่อสักครู่นี้ท่านพูดเป็นเชิงชักนำให้ผมประกาศโฆษณาความรู้ความเห็น
มีเห็นเปรตผี เป็นต้น แก่ประชาชน โดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์และความเสียหายอันจะตามมานั้น
ท่านพูดมีความหมายอย่างไรบ้าง
ผมคิดว่าถ้าคนมีสติปัญญาพอประคองตัวอยู่บ้างดังมนุษย์ทั่ว ๆ ไป
เขาคงไม่พูดอย่างท่านแน่นอน แต่ท่านเองยังพูดออกมาได้
ถ้าท่านไม่เลยขั้นคนธรรมดาก้าวเข้าขั้นไม่มีสติแล้ว จะควรชมเชยว่าท่านก้าวข้ามไปขั้น……อะไรแล้ว
ผมเองยังมองไม่เห็นจุดที่ควรชมเชยท่านบ้างเลย
สมมุติว่ามีผู้มาต่อว่าท่านว่า
เวลาท่านก้าวเข้าถึงขั้น……แล้ว
ท่านจะตอบเขาว่าอย่างไรจึงจะตรงกับความจริงที่เขาว่าท่านโดยมีเหตุผล
ท่านได้คิดบ้างหรือเปล่าว่า คนในโลกมีคนฉลาดมากหรือคนโง่มาก
และคนจำพวกไหนที่จะสามารถทรงพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปด้วยความมีเหตุผล
และยั่งยืนไปนานไม่ถูกทำลายด้วยแบบท่านถามผมเมื่อสักครู่นี้”
ท่านนั้นเรียนท่านว่า
“ถ้าพิจารณาตามที่ท่านอาจารย์ว่าแล้ว
ก็เป็นความผิดในการกล่าวของกระผมโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะเท่าที่กระผมกราบเรียนขอนั้น
โดยมุ่งเจตนาในทางอยากให้คนทั้งหลายทราบบ้าง
อย่างกระผมทราบแล้วรู้สึกซาบซึ้งและอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากท่านผู้ใดเลย เมื่อเล่าให้เขาทราบบ้าง
คงจะรู้สึกซาบซึ้งไปนานและเกิดประโยชน์แก่เขามากมาย ด้วยความรู้สึกอย่างนี้จึงทำให้ความอยากนั้นหลุดปากออกมา
โดยมิได้คำนึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้พูดและพระศาสนามากน้อยเพียงไรด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กระผมจึงขอประทานโทษได้โปรดเมตตาอย่าให้กรรมนี้ต้องติดในสันดานอีกต่อไป
กระผมจะพยายามสำรวมมิให้เป็นทำนองนี้อีก
หากมีคนมาต่อว่าว่ากระผมก้าวเข้าถึงขั้น…..ก็จำต้องยอมรับเหตุผล
เพราะเราเป็นผู้ควรถูกตำหนิอย่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ก่อนกระผมยังมิได้คิดว่าคนในโลกมีความฉลาดมากหรือคนโง่มาก
เพิ่งจะมาสะดุดใจเอาขณะที่ท่านอาจารย์ถามนี่เอง เลยเดาเอาตามความรู้สึกว่า
คนโง่มีมากกว่าคนฉลาดอยู่มากมาย คิดดูในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ
มีคนฉลาดและรักศีลรักธรรมอยู่เพียงไม่กี่คน นอกนั้นแทบจะพูดได้ว่า
ไม่ทราบที่ไปที่มาของตัวเอาเลยว่าไปเพื่ออะไร มาเพื่ออะไร ทำเพื่ออะไร ผิดหรือถูก
ดีหรือชั่ว ควรทำหรือไม่ควร เขาไม่ค่อยสนใจคิดเลย
ขอแต่ให้สะดวกสบายในขณะนั้นก็พอใจแล้ว จะเป็นอะไรต่อไปก็มอบให้ยถากรรมเป็นผู้ตัดสินเอาเอง
คราวนี้กระผมพอเข้าใจได้บ้างไม่มืดมิดปิดทวารเหมือนแต่ก่อน
ส่วนผู้จะทรงพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและยืนนานต่อไปด้วยความมีเหตุมีผลนั้น
ก็เห็นจะได้แก่คนฉลาดเป็นผู้นำ และทรงไว้ด้วยความราบรื่นสม่ำเสมอมากกว่าจำพวกอื่น
ๆ จำพวกนอกนั้นก็พลอยได้ประโยชน์ไปตาม ๆ กัน
แต่หลักใหญ่เห็นจะอยู่ในคนจำพวกมีเหตุมีผลเป็นแน่ เพราะทางโลกทางธรรม
กิจบ้านการอาชีพตลอดงานทุกแผนก รู้สึกจะหนีจำพวกฉลาดมีเหตุผลเป็นผู้นำไปไม่ได้”
ท่านอาจารย์อธิบายต่อไปว่า
“งานทางโลกทางธรรมท่านยังพอคิดพอพูดได้ว่า
คนฉลาดเป็นบุคคลสำคัญในวงการต่าง ๆ
แต่งานของท่านเองซึ่งเป็นนักบวชและนักปฏิบัติทำไมจึงไม่คิดบ้างว่าควรอย่างไรไม่ควรอย่างไร
งานพระศาสนาเป็นงานละเอียดมาก ยากที่จะรู้ทั่วถึง
ผู้จะทรงพระศาสนาทรงธรรมทรงวินัยให้ถึงขั้นสมบูรณ์ได้ ต้องเป็นคนฉลาด
ความฉลาดในที่นี้มิได้หมายความฉลาดที่ทำลายโลกให้พินาศ ทำลายศาสนาให้ฉิบหายล่มจม
แต่เป็นความฉลาดในเหตุผลที่จะยังโลกและธรรมให้เจริญโดยถ่ายเดียว
ความฉลาดนี่แลที่แสดงไว้ในมรรคแปดว่า สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป คือความเห็นชอบ
ความดำริคิดนึกชอบ และเป็นผู้นำกายวาจาให้ประพฤติแต่ในทางที่ชอบตามปัญญาสัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นผู้นำ
แม้แต่สมาธิที่เป็นไปในทางชอบ
ก็จำต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิองค์ปัญญาคอยตรวจตราสอดส่องอยู่เสมอ
ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสมาธิหัวตอไปได้ จิตสงบจิตรวมต้องมีสติปัญญาคอยแฝงอยู่เสมอ
จิตเกิดความรู้อะไรขึ้นมา จิตออกรู้อะไรบ้าง สิ่งที่รู้นั้น ๆ จะควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักของผู้ต้องการความรู้จริงเห็นจริงในสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง
ถ้าไม่มีปัญญาแฝงอยู่ด้วยแล้ว ต้องทำให้เห็นผิดยึดผิดไปจนได้ เพราะความรู้ต่าง ๆ
ทั้งข้างในทั้งข้างนอกที่เกี่ยวกับสมาธิไม่มีประมาณ
สุดแต่จะปรากฏขึ้นมาและผ่านเข้ามา ในรายที่นิสัยจะควรรู้ควรเห็นเป็นต้องรู้ต้องเห็น
จะห้ามไม่ให้รู้ให้เห็นย่อมไม่ได้
แต่สำคัญอยู่ที่ปัญญาจะคัดเลือกเก็บเอาเท่าที่พิจารณาเห็นว่าควร
นอกนั้นก็ปล่อยให้ผ่านไปอย่างนักปัญญา ไม่ยึดถือไว้ให้ก่อกวนตัวเองอยู่ไม่หยุด
ถ้าขาดปัญญาเพียงขั้นสมาธิก็ไปไม่ตลอด
คือต้องยินดีกับสิ่งนั้น ยินร้ายกับสิ่งนี้ เพลิดเพลินกับสิ่งนั้น
เศร้าโศกกับสิ่งนี้ ซึ่งล้วนเป็นอารมณ์เขย่าใจให้ลุ่มหลงไปตามทั้งสิ้น
อารมณ์ที่มาปรากฏถ้าไม่กำจัดด้วยปัญญาจะตกไปได้ยาก
นอกจากจะพาให้เป็นอารมณ์ก่อกวนอยู่ไม่หยุดเท่านั้น
แต่ถ้าคัดเลือกด้วยปัญญาแล้วจะมีทางผ่านไปได้
ที่ยังเหลืออยู่ก็เฉพาะที่ปัญญาคัดไว้เท่านั้น
ปัญญาจึงเป็นธรรมจำเป็นในธรรมทุกขั้น
ผู้ก้าวเข้ามาบวชในศาสนา
ก็คือก้าวเข้ามาหาความรู้ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลายที่โลกปรารถนากัน
มิได้เข้ามาสั่งสมความโง่เขลาเบาต่อเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสตัวหลอกลวง แต่เพื่ออุบายปัญญาพลิกแพลงให้ทันเรื่องของกิเลสต่างหาก
เพราะคนเราอยู่และไปโดยไม่มีเครื่องป้องกันตัว
ย่อมไม่ปลอดภัยต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน
เครื่องป้องกันตัวของนักบวชคือหลักธรรมวินัย มีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญ
ถ้าต้องการความเป็นผู้มั่นคงต่อสิ่งทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน
จึงควรเป็นผู้มีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบถ จะคิดจะพูดจะทำอะไร ๆ
ก็ตามไม่มีการยกเว้นสติปัญญาที่จะไม่เข้ามาสอดแทรกอยู่ด้วยในวงงานที่ทำทั้งภายนอกภายใน
จะเป็นที่แน่นอนต่อคติของตนทุก ๆ ระยะไป
ผมปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นบรรดาลูกศิษย์
มีความเข้มแข็งต่อแดนพ้นทุกข์ด้วยความเพียรทุกประโยค
ที่เต็มไปด้วยสติปัญญาเป็นหัวหน้างาน
ไม่งุ่มง่ามเซอะซะต่อตัวเองตลอดธุระหน้าที่ทั้งหลาย
สมกับศาสนายอดเยี่ยมด้วยหลักธรรมที่สอนคนให้ฉลาดทุกแง่ทุกมุม
แต่ไม่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้ปฏิบัติที่มาอาศัยอยู่ด้วย เป็นคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่น
วุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจ
และเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย
ไม่ขยันคิดอ่านด้วยความสนใจในงานของตัวทุกประเภท
เพราะงานของพระผู้พร้อมแล้วเพื่อข้ามโลกข้ามสงสารเป็นงานชั้นเยี่ยม
ไม่มีงานใดในโลกจะหนักหน่วงถ่วงใจยิ่งกว่างานยกจิตให้พ้นจากห้วงแห่งวัฏทุกข์
งานนี้เป็นงานที่ทุ่มเทกำลังทุกด้าน แม้ชีวิตก็ยอมสละไม่อาลัยเสียดาย
จะเป็นจะตายก็มอบไว้กับความเพียร เพื่อรื้อถอนตนให้พ้นจากหล่มลึกคือกิเลสทั้งมวล
ไม่มีการแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนงานอื่น ๆ จะรู้จะเห็นธรรมอัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเคยเห็น
ก็รู้และเห็นกันกับความเพียรที่สละตายไม่เสียดายชีวิตนี่แล วิธีอื่น ๆ
ก็ยากจะคาดถูกได้
การทำความเพียรของผู้ตั้งใจจะข้ามโลก
ไม่ขอเกิดมาแบกหามกองทุกข์นานาชนิดอีกต่อไป ต้องเป็นความเพียรชนิดเอาตายเข้าแลกกัน
เฉพาะผมเองก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะ มิได้นึกว่าชีวิตจะยังเหลือเดนมาเลย
เพราะความมุ่งมั่นต่อธรรมแดนหลุดพ้นมีระดับสูงเหนือชีวิตที่ครองตัวอยู่
การทำความเพียรทุกประโยคและทุกอิริยาบถได้ตั้งเข็มทิศไว้เหนือชีวิตทุกระยะ
ไม่ยอมให้ความอาลัยเสียดายในชีวิตเข้ามากีดขวางในวงความเพียรเลย
นอกจากความบีบบังคับของจิตที่เต็มไปด้วยความหวังต่อทางหลุดพ้นเท่านั้น
เป็นผู้บงการแต่ผู้เดียวว่า ถ้าขันธ์ทนไม่ไหวจะแตกตายไปก็ขอให้แตกไป
เราเคยตายมาแล้วจนเบื่อระอา ถ้าไม่ตายขอให้รู้ธรรมที่พระองค์รู้เห็น
อย่างอื่นไม่ปรารถนาอยากรู้อยากเห็น เพราะเบื่อต่อการรู้เห็นมาเต็มประดาแล้ว
บัดนี้เราอยากรู้เพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่เรารู้แล้วไม่ต้องกลับมาลุ่มหลงเกิดตายอีกต่อไป
สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่งของเราในบัดนี้
ส่วนความเพียรที่หมุนไปตามความอยากรู้อยากเห็นธรรมดวงนั้น
จึงเป็นเหมือนโรงจักรที่เปิดทำงานแล้วไม่ยอมปิดเครื่อง ปล่อยให้หมุนตัวเป็นธรรมจักร
ฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสวัฏฏะทั้งหลายไม่มีวันมีคืน
ไม่มีอิริยาบถใดว่าได้ย่อหย่อนความเพียร
เว้นแต่หลับไปเสียเท่านั้นเป็นเวลาพักงานชั่วคราว พอตื่นขึ้นมามือกับงาน
คือสติปัญญาศรัทธาความเพียรกับกิเลสที่ยังเหลือเป็นเชื้อเรื้อรังอยู่ภายในมากน้อย
ไม่ว่างต่อการรบพุ่งชิงชัยกันเลย
จนถูกทำลายด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรให้ราบเรียบไปหมดอย่างสบายหายห่วง
นับแต่ขณะนั้นมาส่วนที่ตายไปคือกิเลสทั้งหลายก็ทราบว่าตายไปอย่างสนิท
ไม่กลับฟื้นคืนมาก่อกวนวุ่นวายได้อีก ส่วนที่ยังเหลือคือชีวิตธาตุขันธ์
ก็ทราบว่ายังพอทนต่อไปได้ไม่แตกสลายไปตามกิเลส
ขณะที่เข้าสู่สงครามทำการหักโหมกันอย่างสุดกำลังทุกฝ่าย
สิ่งที่ต่างฝ่ายต่างหมายยึดครองถึงกับต้องทำสงครามยื้อแย่งแข่งชัยชนะกันนั้น
คือใจอันเปรียบเหมือนนางงาม ได้ตกมาเป็นสมบัติอันล้ำเลิศประเสริฐสุดของฝ่ายเรา
เรียกว่าอมตจิตหรืออมตธรรม ใครค้นพบผู้นั้นประเสริฐโดยไม่มีอะไรมาเสกสรร
แต่ธรรมนั้นอยู่ฟากตาย
ถ้าใครกลัวตายเสียดายทุกข์ ชอบถือเอาความสนุกในการเกิดว่าเลิศเลอ
ผู้นั้นต้องจัดว่าลืมตัวมัวประมาทและชอบผัดเพี้ยนเลื่อนเวลาว่า เช้า สาย บ่าย เย็น
ไม่อยากบำเพ็ญความดีสำหรับตนในเวลาที่เป็นฐานะพอทำได้อยู่ ความประมาททั้งนี้ยังจะพาให้หลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ในสงสาร
ไม่อาจประมาณได้ว่ายังอีกนานเท่าไร จึงจะผ่านพ้นแหล่งกันดารอันเป็นที่ทรมานไปได้
จึงขอฝากปัญหาธรรมเหล่านี้ไว้กับท่านทั้งหลายนำไปขบคิดด้วยว่า
เราจะเป็นฝ่ายคืบหน้ากล้าตายด้วยความเพียรหมายพึ่งธรรม ไม่เหลียวหลังไปดูทุกข์ที่เคยเป็นภาระให้แบกหาม
ด้วยความเจ็บแสบและปวดร้าวในหัวใจมาเป็นเวลานาน
หรือยังจะเป็นฝ่ายเสียดายความตายแล้วกลับมาเกิดอีก
อันเป็นตัวมหันตทุกข์ที่แสนทรมานอีกต่อไป รีบพากันนำไปพิจารณา
อย่ามัวเมาเฝ้าทุกข์และหายใจทิ้งเปล่า ๆ
ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ จะช้าทางและเสียใจไปนาน
เพราะโรงดัดสันดานกิเลส
ตัวพาให้ว่ายบกอกแตกแบกกองทุกข์ไม่มีเวลาปลงวางนั้น
มิได้มีอยู่ในที่อื่นใดและโลกไหน ๆ
แต่มีอยู่กับผู้ตั้งหน้าบำเพ็ญด้วยการใช้หัวคิดปัญญาศรัทธาความเพียร
เป็นเครื่องมือบุกเบิกเพื่อพ้นไปนี้เท่านั้น ไม่หยุดหย่อนนอนใจว่ากาลเวลายังอีกนาน
สังขารยังไม่ตายร่างกายยังไม่แก่ ซึ่งเป็นความคิดที่ทำให้แย่ลงโดยถ่ายเดียว
ผู้เป็นนักบวชและนักปฏิบัติจึงไม่ควรคิดอย่างยิ่ง
อนึ่ง
ผู้จะพาให้ผิดพลาดและพาให้ฉลาดแหลมคมก็มีอยู่กับใจดวงเดียวจะเป็นผู้ผลิต
ไม่มีอยู่ในที่ใด ๆ จึงไม่ควรตั้งความหวังไว้กับที่ใด ๆ ที่มิได้สนใจดูตัวเอง
ตัวจักรเครื่องทำงาน คือกายวาจาใจที่กำลังหมุนตัวกับงานทุกประเภทอยู่ทุกขณะ
ว่าผลิตอะไรออกมาบ้าง
ผลิตยาถอนพิษคือธรรมเพื่อแก้ความไม่เบื่อหน่ายและอิ่มพอในความเกิดตาย
หรือผลิตยาบำรุงส่งเสริมความมัวเมาเหมาทุกข์ ให้มีกำลังขยายวัฏวนให้ยืดยาวกว้างขวางออกไปไม่มีสิ้นสุด
หรือผลิตอะไรออกมาบ้าง ควรตรวจตราดูให้ละเอียดถี่ถ้วน
ไม่เช่นนั้นจะเจอแต่ความฉิบหายล่มจม
ไม่มีวันโผล่ตัวขึ้นจากทุกข์ที่โลกทั้งหลายกลัว ๆ กันได้เลย”
ท่านแสดงธรรมโดยถือเอาพระที่เป็นต้นเหตุอาราธนาท่าน
ให้แสดงตามที่รู้ที่เห็นสิ่งต่าง ๆ แก่โลกอย่างไม่มีขอบเขตนั้น
ปรากฏว่าท่านแสดงอย่างเผ็ดร้อนมาก
ทั้งเนื้อธรรมก็ทรงรสชาติอย่างมหัศจรรย์ยากจะได้ยินได้ฟัง
พระผู้เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องแสดงก็ไม่น่าจะผิดตามที่ท่านดุด่าขู่เข็ญ
แต่อาจจะเป็นอุบายวิธีอาราธนาให้ท่านแสดงธรรมโดยทางอ้อมก็ได้
เท่าที่เคยสังเกตท่านตลอดมา ถ้าท่านแสดงธรรมตามปกติ
ไม่มีอะไรเข้าไปสัมผัสหรือกระเทือนถึงใจหรือถึงธรรมท่าน ท่านชอบแสดงไปเรียบ ๆ
แม้จะแสดงธรรมชั้นสูงก็ทำนองเดียวกัน ผู้ฟังรู้สึกจะขาดอะไร ๆ อยู่บ้างไม่จุใจ
แต่ถ้ามีรายใดรายหนึ่งก่อเหตุขึ้น
เป็นเชิงเรียนถามปัญหาท่านหรือสนทนาธรรมกันเองต่อหน้าท่านแบบผิด ๆ ถูก ๆ
พอให้ท่านรำคาญ หรือธรรมที่กำลังสนทนากันไปสะดุดใจท่านเข้าขณะนั้น
นั่นแลเป็นขณะที่ธรรมภายในใจท่านเริ่มไหวตัวออกมาผิดปกติ
และแสดงออกทางวาจาอย่างเผ็ดร้อนถึงใจ ทั้งท่านผู้แสดงและผู้ฟังอย่างเพลินใจ และทุกครั้งที่ท่านแสดงแบบนี้
ต้องเป็นที่ซาบซึ้งดื่มด่ำเหลือที่จะพรรณนาให้ถูกต้องกับความรู้สึกได้
ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้มีนิสัยหยาบจึงชอบฟังธรรมที่ท่านแสดงแบบนี้มากกว่าแบบอื่น
ๆ เพราะเห็นว่าถูกกับจริตนิสัยที่หยาบของตนมาก
ฉะนั้นท่านผู้เป็นต้นเหตุอาราธนาท่านด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ
ถึงกับท่านได้แสดงธรรมแบบเผ็ดร้อนออกมานั้น
จึงเข้าใจว่าเป็นความแยบคายของแต่ละองค์จะหาอุบายแสดงออกตามสติปัญญาของตน
ซึ่งไม่ควรจะผิดไปทีเดียว
อาจมีเจตนาเพื่อประโยชน์แก่ตนแฝงอยู่กับคำอาราธนานั้นด้วย
ทั้งนี้เมื่อมาถึงวาระของผู้เขียนได้สดับธรรมจากท่านจริง ๆ แล้วโดยมากได้ฟังธรรมเด็ดเดี่ยวที่ให้เกิดความอาจหาญร่าเริง
มักจะเกิดจากวิธีเรียนถามปัญหาซอกแซกกับท่านมากกว่าวิธีอื่น ๆ
ขณะท่านอธิบายธรรมก็ถูกกับจุดที่ต้องการ ซึ่งผิดกับการแสดงแบบแกงหม้อใหญ่เป็นไหน ๆ
ดังนั้นเมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไป ก็ค่อยทราบวิธีแสวงหาธรรมกับท่านกว้างขวางออกไป
ไม่รอคอยให้ท่านหยิบยื่นให้ถ่ายเดียว ยังพอมีอุบายขอร้องต่าง ๆ พอให้ท่านเมตตาบ้าง
โดยมิใช่วันประชุมแสดงธรรมตามปกติ
ท่านกับหมู่คณะราว
๓-๔ องค์เที่ยววิเวกมาพักอยู่ถ้ำเชียงดาวได้ประมาณสองคืน
พอตื่นเช้าคืนที่สามท่านบอกว่า คืนนี้ภาวนาปรากฏเห็นถ้ำใหญ่และกว้างขวางน่าอยู่มาก
อยู่บนยอดเขาสูงและชัน ถ้ำนี้สมัยก่อน ๆ เคยมีพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมาพักเสมอ
แต่พระเราสมัยนี้ไปอยู่ไม่ได้เพราะสูงและชันมาก ทั้งไม่มีที่โคจรบิณฑบาต
ท่านสั่งให้พระขึ้นไปดูถ้ำนั้น และกำชับว่า ก่อนขึ้นไปต้องเตรียมเสบียงอาหารขึ้นไปพร้อม
ทางขึ้นไม่มี ให้พยายามปีนป่ายขึ้นไปโดยถือเอายอดเขาลูกนั้นเป็นจุดที่หมาย
คือถ้ำที่ว่านี้อยู่ใต้ยอดเขานั้นเอง พระและโยมได้พากันขึ้นไปดูตามคำที่ท่านบอก
เมื่อขึ้นไปถึงแล้วปรากฏว่าถ้ำนั้นสวยงามและกว้างขวางมากดังที่ท่านว่าจริง ๆ
อากาศปลอดโปร่งสบายน่าอยู่มาก
พระเกิดความชอบใจอยากพักอยู่บำเพ็ญสมณธรรมเป็นเวลานาน ๆ
แต่จำเป็นด้วยที่โคจรบิณฑบาตไม่มี เพราะถ้ำอยู่สูงและห่างไกลจากหมู่บ้านมาก
พอเสบียงจวนหมดจำต้องลงมา
เมื่อลงถึงที่พัก
ท่านถามว่าเป็นอย่างไรถ้ำสวยงามน่าอยู่ไหม ผมเห็นในนิมิตภาวนารู้สึกว่าถ้ำนั้นทั้งกว้างขวางและสวยงามมาก
จึงอยากให้หมู่เพื่อนขึ้นไปดู ใคร ๆ คงจะชอบกันแน่ ๆ
แต่ก่อนผมก็ไม่ได้สนใจพิจารณาว่าจะมีสิ่งแปลก ๆ อยู่ในเขาลูกนี้
แต่พอพิจารณาจึงทราบว่ามีของแปลกและอัศจรรย์อยู่ที่นี่มากมายหลายชนิด
ในถ้ำที่พวกท่านขึ้นไปดูนั้นยังมีรุกขเทพ อารักขาอยู่เป็นประจำตลอดมามิได้ขาด
ใครไปทำอะไรที่ไม่สมควรในที่นั้นไม่ได้ ต้องเกิดเป็นต่าง ๆ ขึ้นมาจนได้
ขณะที่สั่งให้พวกท่านขึ้นไปดู ผมก็ลืมบอกว่าที่นั้นมีพวกเทพฯอารักขาอยู่
ควรพากันสำรวมระวังมรรยาทและอาการทุกส่วน อย่าไปส่งเสียงอื้ออึงผิดวิสัยของสมณะ
เกรงว่าจะเกิดความไม่สบายต่าง ๆ ขึ้นมา
เพราะความไม่พอใจของพวกเทพฯ ที่อารักขาอยู่ในสถานที่นั้น
อาจบันดาลให้เป็นต่าง ๆ ได้
พระที่ขึ้นไปได้กราบเรียนท่านตามที่ได้ประสบมา
และแสดงความประสงค์อยากอยู่ถ้ำนั้นเป็นเวลานาน ๆ ท่านตอบว่า
แม้จะสวยงามและน่าอยู่เพียงไรก็อยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีข้าวจะกิน
ดังนี้อาการที่ท่านพูดกับพระที่ไปดูถ้ำกลับลงมาเป็นคำพูดธรรมดา ๆ
ประหนึ่งท่านเคยเห็นถ้ำนั้นด้วยตามาแล้วหลายครั้ง ทั้งที่ไม่เคยขึ้นไปเลย
เพราะอยู่สูงและชัน ขึ้นลงลำบากมาก แต่กลับถามว่าน่าอยู่ไหม
ซึ่งเป็นคำพูดออกมาจากความแน่ใจจริง ๆ มิได้สงสัยว่าความรู้ทางด้านภาวนาจะโกหกหลอกลวงเลย
ที่ท่านเตือนพระให้พากันสำรวมระวังเวลาพักอยู่ในที่ต่าง
ๆ ไม่เฉพาะเพียงถ้ำนั้นแห่งเดียวนั้นเกี่ยวกับพวกเทพฯ ที่สถิตอยู่ในที่นั้น ๆ
ซึ่งชอบความเป็นระเบียบงามตาและชอบสะอาดมาก เวลาพวกรุกขเทพฯ มาเห็นอากัปกิริยาของพระที่จัดวางอะไรไว้ไม่เป็นระเบียบ
เช่น การหลับนอนไม่มีมรรยาท นอนหงายเหมือนเปรตทิ้งเนื้อทิ้งตัว บ่นพึมพำด้วยการละเมอเพ้อฝันไปต่าง ๆ
เหมือนคนไม่มีสติ แม้จะเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของคนนอนหลับจะรักษาได้ก็ตาม
แต่พวกเทวดามีความอิดหนาระอาใจอยู่เหมือนกัน
และเคยมาเล่าให้ท่านอาจารย์มั่นทราบเสมอ และเล่าว่า
พระซึ่งเป็นเพศที่น่าเลื่อมใสและเย็นตาเย็นใจแก่โลกที่ได้เห็นได้ยิน
จึงควรสำรวมระวังกิริยามรรยาททั้งการหลับนอนและเวลาปกติ
พอเป็นความงามตาเย็นใจแก่ตนและทวยเทพ ตลอดมนุษย์ทั้งหลายบ้าง ไม่แสลงตาแสลงใจจนเกินไปเมื่อยังพอมีทางรักษาได้อยู่
ไม่อยากให้เป็นไปแบบฆราวาสซึ่งไม่มีขอบเขตหรือปล่อยไปตามยถากรรมจนเกินไป
เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมอยู่ในวิสัยของพระจะทำได้
การมาเล่าเรื่องทั้งนี้มิได้มุ่งมั่นมาตำหนิติเตียนพระว่าไม่ดีโดยถ่ายเดียว
แต่เทวดาทั้งหลายก็มีส่วนแห่งความดีและเจตนาหวังเทิดทูนพระศาสนา
พร้อมทั้งมีความพอใจกราบไหว้พระสงฆ์ผู้มีมรรยาทอันดีประจำนิสัยของพวกเทวดาเหมือนกัน
จึงใคร่ขอกราบท่านเพื่อได้ตักเตือนพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ได้ตั้งอยู่ในท่าสำรวม
พอเป็นที่งามตาแก่มนุษย์มนาตลอดเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายบ้าง เทวดาทั้งหลายก็จะพลอยมีส่วนเพิ่มพูนความเคารพเลื่อมใสขึ้นอีกมากมายจากความดีของพระที่น่าเลื่อมใส
นี้เป็นคำของพวกเทวดามาเล่าถวายท่าน
ดังนั้นเวลาท่านกับพระลูกศิษย์พักอยู่ในป่าในเขาลึก
ซึ่งเป็นที่สถิตของพวกรุกขเทวดา
ท่านจึงคอยเตือนพระอยู่เสมอเกี่ยวกับการวางบริขารเครื่องใช้สอยต่าง ๆ
ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ตลอดผ้าเช็ดเท้าท่านก็สั่งให้พับและเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่ให้ทิ้งระเกะระกะ
การขับถ่ายก็ให้เป็นที่เป็นทาง และกำหนดทิศทางว่าควรจะทำส้วมสำหรับถ่ายในที่เช่นไร
บางครั้งท่านก็สั่งพระตรง ๆ เลยว่าไม่ให้ไปทำส้วมหนักส้วมเบาทางทิศนั้นหรือต้นไม้นั้น
เพราะพวกเทวดาที่สถิตอยู่หรือเทวดามาทางทิศนั้น จะรังเกียจและยกโทษเอาดังนี้ก็มี
ถ้าเป็นพระที่รู้เรื่องของพวกเทวดาได้ดีอยู่แล้ว
ก็ไม่หนักใจที่ท่านอาจารย์ต้องบอกกล่าว
เพราะท่านองค์นั้นย่อมทราบวิธีปฏิบัติต่อเทวดาโดยถูกต้อง และพระที่เป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นมีความสามารถในทางนี้อยู่ไม่น้อย
เป็นแต่ความรู้ของท่านเป็นประเภทป่า ๆ จึงไม่อาจแสดงตัวอย่างเปิดเผย
กลัวนักปราชญ์จะหัวเราะเยาะ
เราพอทราบได้เวลาท่านสนทนากันเรื่องเทวดาประเภทและภูมิต่าง ๆ กันมาเยี่ยมท่าน
เขามีเรื่องอะไรบ้างมาสนทนาหรือถามปัญหาท่าน ๆ นำมาเล่าสู่กันฟัง
เราก็พลอยทราบภูมิจิตใจท่านที่เกี่ยวกับทางนี้ไปด้วย
ในถ้ำเชียงดาวซึ่งมิใช่ถ้ำยาวเข้าไปในกลางเขา
ที่ประชาชนชอบเข้าไปเที่ยวกันเป็นประจำ
แต่เป็นถ้ำหนึ่งที่สูงขึ้นไปกว่าถ้ำที่ท่านพักอยู่
ท่านว่าในถ้ำที่ท่านพักมีพญานาคตนหนึ่งรักษาถ้ำอยู่เป็นประจำมาเป็นเวลานาน
แต่รู้สึกจะเป็นพญานาคมิจฉาทิฐิ จึงชอบยกโทษพระไม่มีประมาณแห่งความพอดี
ขณะท่านพักอยู่ถ้ำนั้นถูกพญานาคตนนั้นตำหนิติเตียนด้วยเรื่องต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ
เวลาแผ่เมตตาส่วนกุศลให้ก็รู้สึกว่ารับได้ยาก
คงจะเคยมีกรรมกับพระมานานยังไม่จบสิ้นลงได้
ขณะท่านพักอยู่ที่นั้นจึงยกโทษอยู่เป็นประจำแทบทุกอิริยาบถแม้ขณะหลับ
ตอนกลางคืนเวลาท่านใส่รองเท้าเดินจงกรมมีเสียงดังบ้างก็ว่าสมณะอะไรเดินจงกรมมีเสียงดังราวกะเสียงม้าแข่ง
ไม่สำรวมระวังบ้างเลย เสียงรองเท้ากระทบดินและหินกระเทือนทั่วภูเขา
ไม่คิดว่าใครจะมีความลำบากรำคาญบ้างเลยดังนี้ ทั้งที่ท่านก็เดินไปมาอย่างเบา ๆ
ในท่าสำรวมของผู้บำเพ็ญธรรม ไม่ผิดไปจากปกติธรรมดาเลย
พอท่านทราบว่าพญานาคยกโทษก็พยายามระวังเดินเบา
ๆ ก็ยังถูกว่าอีกว่าสมณะอะไรเดินจงกรมราวกับเขาด้อมจะยิงนก
บางครั้งเท้าท่านไปสะดุดหินทางจงกรมมีเสียงดังตุ๊บตั๊บบ้างเท่านั้น
ก็ว่าสมณะอะไรเดินจงกรมราวกับเขาเต้นรำระบำโป๊ โขยกเขยกไม่สำรวมระวังบ้างเลย
บางคราวท่านตกแต่งทางจงกรมพอเดินได้สะดวก ไม่ขรุขระเกินไป
พอยกหินก้อนนั้นมาวางยกก้อนนี้มาวางเรียงรายตามทางจงกรม
ก็ว่าสมณะอะไรไม่สำรวมจับโน้นโยนนี่อยู่ไม่เป็นสุข ไม่คิดว่าศีรษะใครจะแตกเพราะความกระทบกระเทือนจากความอยู่ไม่เป็นสุขของตน
ไม่ว่าการไปการมา การเข้าการออกในบริเวณนั้น ท่านต้องทำความระมัดระวังเป็นพิเศษ
แม้เช่นนั้นยังต้องได้รับความตำหนิจากพญานาคตัวมิจฉาทิฐิจนได้
ตอนกลางคืนท่านพักจำวัดขณะหลับไป อวัยวะส่วนต่าง ๆ อาจไหวติงไปบ้าง
พอตื่นนอนขึ้นมาความรู้สึกที่บันทึกไว้โดยตลอดก็บอกว่า
พญานาคตำหนิว่าท่านนอนทำเสียงตุกติกบ้าง เสียงหายใจฟูดฟาดบ้าง เสียงกรนบ้าง
ร้อยแปด
ขณะท่านกำหนดจิตดูพญานาคตนขี้โมโหและแสนยกโทษเก่งทีไร
ปรากฏว่าโผล่ศีรษะออกมาคอยจ้องมองท่านอยู่เป็นประจำ ประหนึ่งไม่ยอมพลิกสายตาไปที่อื่นเลย
ถ้าเป็นคนก็หน้าเสือใจยักษ์ ท่านว่า ไม่ยอมรับส่วนบุญจากใครเลย
ตั้งหน้าสร้างแต่ความโมโหโทโสอันเป็นไฟเผาตัวอยู่ตลอดเวลา
ท่านเองก็เมตตาสงสารกลัวพญานาคตนนั้นจะเป็นบาปกรรมหนักเข้าทุกที
แต่ก็สุดวิสัยที่จะอนุเคราะห์ได้ในระยะนั้น เพราะเธอไม่มาสนใจในเหตุผลอรรถธรรมเอาเลย
มีแต่คอยยกโทษอยู่ท่าเดียว
บางครั้งท่านก็เตือนเธอให้ทราบเรื่องของสมณะบ้าง
เฉพาะอย่างยิ่งท่านอธิบายเรื่องขององค์ท่านเองให้พญานาคทราบว่า
ท่านมิได้มาเพื่อก่อกรรมทำเข็ญแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
นอกจากมาบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
อย่างเต็มกำลังความสามารถที่จะทำได้เท่านั้น ท่านไม่ควรติดใจใฝ่ต่ำว่า
อาตมาจะมาทำความเดือดร้อนเสียหาย แต่พยายามทำความดีทุกขณะที่ระลึกได้
ผลบุญที่บำเพ็ญมามากน้อยก็ได้แผ่ไปยังสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
ท่านเป็นผู้หนึ่งในจำนวนสัตว์โลกที่ควรจะได้รับส่วนบุญที่อาตมาแผ่อุทิศให้
จึงไม่ควรเดือดร้อนเสียใจว่าอาตมาจะมารบกวนความสุขที่ควรจะได้
การเคลื่อนไหวต่าง
ๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ยังเป็นอยู่ ซึ่งทั่วโลกจะต้องมีการพลิกไปเปลี่ยนมา
นอกจากคนตายและสัตว์ตายแล้วเท่านั้น จะไม่มีกระดุกกระดิก
อาตมาแม้เป็นสมณะซึ่งเป็นเพศที่สำรวม แต่มิได้สำรวมแบบคนตาย
เพราะลมหายใจยังมีอยู่จึงจำต้องสูดเข้าสูดออก ค่อยบ้างแรงบ้าง
ขณะหลับลมหายใจก็ยังทำงานและร่างกายทุกส่วนยังทำงานเช่นกัน
ซึ่งจำต้องมีเสียงอยู่บ้างเป็นธรรมดา ขณะตื่นนอนออกเดินจงกรมและทำกิจธุระบางอย่าง
ก็ย่อมทราบว่าทำงานและจำต้องมีเสียงเช่นกัน แต่ก็มิได้เลยขอบเขต
ท่านเคยเห็นสมณะที่ไหนบ้างที่ไม่มีการกระดุกกระดิก ยืนแข็งโด่อยู่ราวกับของตาย
เข้าใจว่าคงไม่มีในโลกมนุษย์เรา
การเดินจงกรมก็พยายามค่อยเดินค่อยไปในท่าสำรวม
แต่ก็อดถูกตำหนิจากท่านไม่ได้ ว่าเดินราวกับม้าแข่งเป็นต้น ความจริงแล้วม้าแข่งซึ่งเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน
กับสมณะผู้มีศีลสำรวมเดินจงกรมด้วยท่าระวังตั้งสตินั้น ผิดกันราวฟ้ากับดิน
ท่านไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน ถ้าไม่ใช่ผู้อาภัพในความดีทั้งหลาย
หมายยึดเอานรกเป็นเรือนนอนเท่านั้น
อาตมาก็สุดวิสัยที่จะปฏิบัติให้ถูกใจไปเสียทุกอย่างทั้งที่ไม่ถูกทาง
ถ้าท่านยังหวังความสุขความเจริญเหมือนโลกทั้งหลาย
ท่านก็ควรสำนึกในความผิดถูกชั่วดีของตนบ้าง จะไม่หาบแต่นรกเข้าไปเผาใจตลอดเวลา
ยังจะมีทางออกบ้าง
การตำหนิติเตียนผู้อื่นแม้เขาจะเป็นผู้ผิดจริง
ยังจัดว่าเป็นการก่อกวนจิตใจตนให้ขุ่นมัวไปด้วยอยู่นั่นเอง เฉพาะการเคลื่อนไหวของอาตมายังมองไม่เห็นว่าได้ผิดพลาดจากหลักของสมณะไปที่ตรงไหนบ้าง
แต่ก็ได้รับความตำหนิจากท่านเรื่อยมา ท่านนะถ้าเป็นคนก็น่าจะอยู่กับโลกเขาไม่ได้
คงจะเห็นโลกเป็นมูลแห้งมูลสดไปหมด
แต่จะสำคัญตนว่าเป็นทองทั้งแท่งที่จะคละเคล้ากับโลกที่เต็มไปด้วยมูลไม่ได้
เพราะความเดือดร้อนวุ่นวายของใจที่คิดแต่เรื่องยกโทษผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุข
การยกโทษผู้อื่นโดยไม่มีขอบเขตนักปราชญ์ถือว่าเป็นความผิด
และเป็นบาปกรรมไม่มีชิ้นดีเลย สำหรับท่านทำไมจึงชอบแสวงยิ่งนัก
โดยไม่สนใจคิดว่าสร้างบาปหาบทุกข์ใส่ตัว ดังท่านตำหนิอาตมา แต่อาตมาไม่เป็นทุกข์เลย
ส่วนท่านรู้สึกกระวนกระวายส่ายแส่อยู่ภายในไม่เป็นสุข เมื่อผลก็เห็น ๆ
กันอยู่ประจักษ์ใจ แต่ทำไมจึงไม่ทราบว่าความคิดนั่นเป็นทางแห่งความผิด
ท่านคิดอะไรออกมาอาตมาทราบอยู่อย่างเต็มใจ
พร้อมทั้งให้อภัยอยู่ตลอดมา แต่ท่านก็ยังตั้งหน้าตั้งตาสร้างเอา ๆ
ในบรรดากรรมทั้งหลายที่จะเผาผลาญตัวให้ฉิบหายย่อยยับ
ท่านช่างเป็นนิสัยไม่เบื่อในบาปกรรมเอาเลย
ถ้าเป็นโรคก็สุดกำลังยาจะตามแก้ไขให้หายได้ อาตมาเองได้พยายามแก้ไขอยู่ภายใน
และอนุเคราะห์สัตว์ร่วมโลกมากมายหลายจำพวกมาเป็นเวลานาน
มนุษย์และเปรตผีเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์ตลอดพญานาค
ที่มีฤทธาศักดานุภาพมากกว่าท่านเป็นไหน ๆ
ท่านเหล่านั้นยังยอมรับความจริงจากธรรมของพระพุทธเจ้า
ไม่มีใครยกโทษโกรธเคืองว่าธรรมไม่ดี ยังยอมรับนับถือกันทั่วโลกธาตุ
แต่มาประหลาดเฉพาะท่านเพียงผู้เดียวที่เป็นสัตว์โลกที่แปลกและพิสดารอยู่ไม่น้อย
ไม่ยอมรับความจริงจากอะไรเอาเลย สิ่งที่ท่านยอมรับและชอบใจไม่มีวันอิ่มพอนั้น
คือการติเตียนยกโทษโกรธกริ้วผู้อื่นที่ไม่มีความผิด
สิ่งนี้ท่านเข้าใจว่าเป็นความรุ่งเรืองสำหรับท่าน
จึงพยายามสั่งสมไม่ยอมลดละปล่อยวาง ฉะนั้นคติของท่านจึงไม่มีนักปราชญ์ท่านใดยืนยันรับรองได้ว่าปลอดโปร่งโล่งใจ
ในเวลาท่านถ่ายคราบจากภพที่กำลังอาภัพอยู่ขณะนี้แล้ว
จะเป็นผู้ผ่องใสไร้ทุกข์ไม่มีบาปกรรมติดตัว
อาตมาต้องขออภัยที่ได้ตัดสินใจพูดกับท่านอย่างตรงไปตรงมาตามหลักธรรม
ด้วยความหวังดี มิได้มีสิ่งเป็นพิษมาแอบแฝงเลย นอกจากท่านจะคิดเอาเองตามชอบใจเท่านั้น
ก็สุดวิสัยจะทำตามได้ทุกสิ่งซึ่งอาจไม่ควรก็มี
นับแต่ขณะแรกที่อาตมามาพักอยู่ที่นี่
ได้พยายามทำความระวังสำรวมทั้งกิจภายนอกการภายในไม่ประมาท
เพราะทราบดีว่าท่านมาประจำอยู่สถานที่นี้ เกรงว่าจะไม่ได้รับความสะดวกใจ
และก็ทราบด้วยดีว่า ท่านเป็นสัตว์โลกที่มีนิสัยหนักไปในทางชอบแสวงหาโทษผู้อื่นมาเป็นความพอใจ
แม้เช่นนั้นก็ไม่พ้นจากการถูกมองไปในแง่ผิด ๆ ต้องมาเจอเอาจนได้
สำหรับอาตมามีความสุขใจโดยสม่ำเสมอ แม้จะถูกตำหนิอยู่ทุกขณะที่เคลื่อนไหว แต่เกรงท่านผู้ตำหนิเสียเองจะเป็นบาปหาบทุกข์
เพราะขวนขวายอยู่ทุกขณะจิตที่แสดงออก อาตมามิได้มาแสวงหาบาปหาบกรรมอันเลวทราม
จึงแน่ใจว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ทางการแสดงออกทุกประตู
และไม่กลัวบาปกรรมว่าจะมีทางติดตามได้
นักปราชญ์ทั้งหลายนับแต่เริ่มแรกแยกสมมุติออกมาเป็นโลกเป็นธรรม
ท่านมีความยินดีและชมเชยในกุศลผลบุญทั้งหลาย ทั้งที่ท่านสร้างขึ้นเองและผู้อื่นสร้างขึ้น
เพื่อเป็นความร่มเย็นแก่ตน
และทำการอบรมสั่งสอนโลกให้มีความชื่นบานหรรษาในความดีตลอดมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
แต่ท่านเองทำไมจึงมีความเห็นผิดแปลกและแหกคอกลอกความดีออกจากตัว
และกลับเมามัวมั่วสุมในสิ่งชั่ว เกลียดกลัวความดีจนฝังใจโดยไม่สนใจระลึกตนบ้างเลย
อาตมาเองแม้ไม่ใช่ผู้เสวยกรรมแทนท่าน แต่กลัวความทุกข์มหันต์แทนท่าน
ผู้จะรับเสวยผลทนทุกข์อยู่มาก จึงไม่อยากให้ท่านคิดในสิ่งที่ไม่เป็นมงคลแก่ตน
เพราะความไม่ดีที่ทำทุกประเภทล้วนเป็นสิ่งมีอำนาจอาจบันดาลผู้ทำให้กลายเป็นผู้ไร้สารคุณโดยสิ้นเชิง
แต่สิ่งไม่พึงปรารถนาจะกลายมาเป็นสิ่งทรมานอย่างไม่คาดฝัน
สิ่งนั้นอาตมากลัวมากกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก ความแก่เจ็บตายที่โลกกลัวกัน
แต่อาตมามิได้กลัวมากเท่ากลัวบาปกลัวกรรม
การบวชเป็นพระตามหลักธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา
นับว่าเป็นการทรมานใจ ทรมานสันดานของคนมีกิเลสที่ชอบในสิ่งที่หลักศาสนาไม่ชอบ
แต่กลับไม่ชอบในสิ่งที่หลักศาสนาสั่งสอนให้ชอบได้เป็นอย่างดี
ความลำบากเพราะการฝืนกิเลสอาตมาก็ทราบ แต่ก็จำต้องเข้ามาบวชเพื่อทรมานหัวใจตัวเอง
การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทราบว่าลำบากทุกระยะที่ฝืนทรมาน
แต่ก็จำต้องทรมานเพราะอยากดี และอยากหลุดพ้นจากกรรมอันลามก
คือกิเลสตัวไม่ยอมลงรอยเหตุผลและอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า
แม้การมาพักบำเพ็ญประพฤติตัวเป็นคนเหลือเดน
ไม่คิดคุณค่าในชีวิตอยู่ในถ้ำเวลานี้ เพราะกลัวบาปกลัวกรรมนั่นแล
มิใช่กลัวอะไรที่ไหน และมิได้มาหวังทำลายหรือเบียดเบียนท่านผู้ใดให้ลำบาก แม้สัตว์ทุกประเภทในแหล่งแห่งไตรภพ
อาตมาก็เคารพไม่ดูถูกเหยียดหยาม
โดยถือว่าเป็นเพื่อนผู้ทรงชีพอยู่ด้วยกรรมของตนเช่นเดียวกัน
และมีคุณค่าความเป็นอยู่เท่าเทียมกัน ได้บำเพ็ญจิตแผ่ส่วนกุศลให้ความเสมอภาค
และความอยู่เป็นสุขโดยทั่วกันตลอดมาไม่เลือกกาลสถานที่ มิได้เย่อหยิ่งจองหองและลำพองตัว
ว่าเป็นมนุษย์และเป็นนักบวชที่มีชาติและเพศอันสูงกว่าเพื่อนสัตว์ผู้เกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย
ท่านก็เป็นสัตว์โลกผู้หนึ่งที่อยู่ในข่ายแห่งกรรมอันเดียวกัน
จึงควรสำนึกในดีชั่วสุขทุกข์ที่มีอยู่กับตัวตลอดมา
การยกโทษผู้อื่นโดยขาดความไตร่ตรองนั้น
ไม่มีอะไรดีขึ้นพอได้รับประโยชน์บ้างเลย
นอกจากเป็นการสั่งสมโทษและบาปกรรมใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ ไม่มีวันสิ้นสุดเท่านั้น
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน แล้วงดความรู้ความเห็นชนิดเป็นภัยแก่ตนเสีย
ก็จะกลายเป็นผู้ดีมีหวังสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ใจที่เคยเหี้ยมโหดโกรธกริ้วก็จะมีวันสงบเย็น
เวลาถ่ายภพถ่ายชาติเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ก็มีหวังผลเป็นกำไร คือความสุขเป็นสมบัติ
ไม่ล่มจมระงมทุกข์ไปตลอดกาล
อนึ่ง
ไม่ว่าใจคนใจสัตว์ ใจเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมยมยักษ์ในแหล่งโลกธาตุ
ย่อมมีความรู้สึกรักสุขเกลียดทุกข์ และไม่ตำหนิธรรมว่าเป็นข้าศึกต่อตัวเองแม้ปฏิบัติไม่ได้
เพราะธรรมเป็นธรรมชาติล้ำเลิศในไตรภพมาดั้งเดิม
ถ้าพอมีทางปฏิบัติหรือเกี่ยวข้องได้เท่าที่กำเนิดและฐานะอำนวยบ้าง
สัตว์โลกย่อมพอใจในธรรมเช่นเดียวกับสัตว์ผู้มีกำเนิดที่ควรแก่ธรรมอยู่แล้ว
เช่นมนุษย์เป็นต้น ส่วนท่านก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนสัตว์โลกผู้รู้ดีชั่วอย่างเต็มใจ
พอจะพิจารณาเลือกเฟ้นถือเอาประโยชน์ได้เท่าที่ควร
แต่แล้วทำไมจึงกลายเป็นคนละคนและคนละโลกไปได้
อาตมาเองก็แปลกใจที่ท่านไปพอใจและกอบโกยเอาสิ่งที่นักปราชญ์ทั้งหลายเกลียดกลัวกัน
และชอบตำหนิสิ่งที่นักปราชญ์ท่านชมเชย
คำว่าความทุกข์ท่านเองทั้งทราบทั้งเกลียดกลัว
แต่สาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ท่านทำไมจึงพอใจสั่งสมเอานักหนา
คือการทำความพยายามยกโทษผู้อื่น
นักปราชญ์ท่านว่าเป็นการสร้างเหตุแห่งความทุกข์นับแต่น้อยไปถึงมากจนถึงขั้นมหันตทุกข์
นี้เป็นกิจประจำตัวท่านที่ทำอยู่ทุกขณะอย่างไม่นึกละอายบาป
และอาจไม่สนใจว่าอาตมาจะทราบ แต่อาตมาทราบทุกระยะที่ท่านคิดไม่ดี
และให้อภัยท่านตลอดมา มิได้ถือโกรธถือโทษอะไรเลย
นอกจากสงสารท่านที่กำลังเดินทางผิดเท่านั้น
จึงได้ตัดสินใจแสดงความจริงให้ทราบไม่ปิดบัง หากจะพอเกิดประโยชน์แก่ท่านบ้าง
อาตมาก็พลอยยินดีอนุโมทนาด้วย สำหรับอาตมาเองไม่มีโทษทุกข์ใด ๆ
เกิดขึ้นแก่ตัวเองจากความคิดดีชั่วของท่านเป็นต้นเหตุ
เพราะมิได้เป็นผู้ก่อขึ้นและเก็บสั่งสมไว้ในใจ
มีแต่ความสงบสุขและความสงสารที่เกิดจากการบำเพ็ญมาเป็นเรือนอยู่ของใจเท่านั้น
ขณะที่ท่านอธิบายธรรมในแง่ต่าง
ๆ ให้พญานาคฟัง เธอมิได้ตอบรับคำท่านแม้ประโยคหนึ่งเลย
แต่มีความคิดแทรกขึ้นมาในระหว่าง ซึ่งพอเป็นประโยชน์แก่เธอบ้างว่า
สมณะนี้พูดมีเหตุผลน่าฟัง แต่เรายังไม่สามารถปฏิบัติตามท่านได้ในระยะนี้
เพราะยังมีความยินดีในวิสัยของตนอยู่
จนกว่าจะผ่านพ้นจากภพนี้ไปแล้วจึงจะสนใจปฏิบัติ สมณะนี้มีสิ่งที่น่าเกรงขามอยู่มาก
สิ่งที่ไม่น่ารู้น่าเห็นก็รู้เห็นได้ ความคิดที่เราคิดขึ้นโดยลำพัง
ทำไมสมณะนี้ทราบได้ เราอยู่ในสถานที่ลึกลับทำไมสมณะนี้เห็นได้
เราคิดอะไรสมณะนี้ทราบได้โดยตลอด พระที่เคยมาพักอยู่ในถ้ำนี้เป็นจำนวนมากมาย
แต่ไม่เห็นว่าองค์ใดทราบว่าเราคิดอย่างไรบ้าง เราอยู่อย่างไรบ้าง
ซึ่งนับแต่เรามาอยู่ที่นี่ก็นานแสนนาน
พระบางองค์ถึงต้องหนีไปเพราะเราขับไล่ด้วยอุบายต่าง ๆ ให้ท่านอยู่ไม่ได้
(ตอนนี้ท่านพระอาจารย์มั่นว่าพญานาคพ่นพิษให้พระที่มาพักอยู่มีอันเป็นไปต่าง ๆ
จนทนอยู่ไม่ได้จำต้องหนีไป)
แต่สมณะนี้ทำไมรู้เห็นเอาเสียทุกอย่างกระทั่งความคิดนึก
และยังรู้ไปตลอดที่เราคิดต่าง ๆ
แม้ขณะกำลังหลับสนิทอยู่ยังสามารถรู้และนำมาเล่าได้โดยถูกต้อง ประหนึ่งไม่หลับเลย
แต่เราทำไมจึงมีทิฐิมานะไม่มีแก่ใจที่จะยอมรับนับถือและปฏิบัติตามที่สมณะนี้สั่งสอนบ้าง
เราคงมีกรรมหนามากดังท่านว่าไม่ผิดแน่ เวลาฟังสมณะอธิบายกิจวัตรที่ท่านทำประจำวัน
มิได้มีเจตนาเพื่อความกระทบกระทั่งเรา ทั้ง ๆ
ที่ท่านเห็นและทราบความคิดชั่วลามกของเราอยู่ตลอดมา เราเกิดมาชาติก็อาภัพ
แม้ใจก็ยังอาภัพอีก ทั้งที่รู้ดีชั่วอยู่อย่างเต็มใจดังสมณะว่าไม่ผิด เวลาเกิดชาติหน้าก็คงจะเป็นผู้อาภัพอยู่ทำนองนี้
ไม่มีวันสิ้นกรรมได้เลย
อีกพักหนึ่งท่านก็ถามพญานาคว่า
เป็นอย่างไรบ้างที่อาตมาอธิบายธรรมให้ฟังพอเข้าใจบ้างหรือเปล่า เธอตอบท่านว่า
เข้าใจได้ดีทุกประโยคที่ท่านเมตตาโปรดสัตว์ผู้อาภัพ แต่ตัวผมเองมีกรรมหนามาก
คงยังไม่เบื่อความอาภัพของตน จึงกำลังถกเถียงกับตัวเองอยู่เวลานี้
ยังไม่ลงรอยกันได้เลย ใจคอยแต่จะไหลลงทางต่ำที่เคยเป็นมาอยู่เรื่อย ๆ
ไม่ยอมฟังเสียงอรรถธรรมที่นำมาพร่ำสอนบ้างเลย
ท่านถามว่าใจชอบไหลลงทางต่ำนั้นไหลลงอย่างไร เธอตอบว่า
ก็ใจชอบแต่จะยกโทษท่านอยู่ทุกขณะที่เผลอตัวทั้งที่ท่านไม่มีความผิดอะไรเลย
แต่ใจมันก็ชอบคิดของมันอย่างนั้น
ไม่ทราบจะปฏิบัติอย่างไรถึงจะพอดีและเห็นโทษในความผิดเสียบ้าง
พอมีทางเดินเพื่อความดีต่อไปได้
ท่านตอบว่าทุกสิ่งที่เห็นว่าเป็นโทษจริง
ๆ ด้วยความสนใจคิดอ่านไตร่ตรอง ใจก็ย่อมจะเพิกถอนเสื่อมคลายในสิ่งนั้น
ไม่กำเริบลำพองต่อไป แต่ถ้าใจยังฝักใฝ่ไยดี โดยเข้าใจว่าสิ่งนั้นยังเป็นคุณ
ก็ย่อมจะสนใจใคร่คิดผลิตโทษขึ้นเผาผลาญตนอยู่เรื่อย ๆ
ไม่มีทางลดหย่อนผ่อนคลายลงได้แน่นอน
และนับวันที่ใจจะทำความลามกโสมมแก่ตนอย่างไม่มีทางช่วยได้ถ้าไม่รีบแก้ไขเสียบัดนี้เป็นต้นไป
อาตมาก็เป็นเพียงผู้แนะแนวทางให้บ้างเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจทำหน้าที่แก้ไข
หรือถอดถอนแทนท่านได้ การแก้ไขดัดแปลงจึงเป็นหน้าที่ของท่าน
ผู้รับผิดชอบตัวเองจะทำความพยายามเต็มกำลังความสามารถไม่ลดละท้อถอย
สิ่งที่เคยเป็นภัยก็จะค่อยลดตัวลง สิ่งที่เป็นคุณจะมีทางเจริญได้และลบล้างกันไป
จนกลายเป็นความดีล้วน ๆ ไม่มีสิ่งชั่วเข้ามาแอบแฝงแทงใจต่อไป
ถ้าท่านเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้าที่เคยช่วยโลกให้พ้นจากทุกข์ภัยตลอดมา
ท่านก็จะเป็นผู้มีธรรมคุ้มครองใจ ใจที่มีธรรมคุ้มครองหลับนอนและตื่นย่อมเป็นสุข
ไม่กระวนกระวายส่ายแส่ มีตนเสมอภาคต่อสิ่งทั้งปวง
ไม่ชมสิ่งนั้นว่าดี ไม่ตำหนิสิ่งนี้ว่าชั่ว จนตัวเองต้องเป็นทุกข์ไปตาม
ซึ่งไม่ใช่ทางนักปราชญ์ท่านดำเนินกัน
พอจบการสนทนาเธอรับคำท่านว่า
จะพยายามทำตามที่ท่านแนะนำ หลังจากนั้นท่านเองก็ทำความเพียรไปและสังเกตเธอไป
ผลปรากฏว่าดีขั้นบ้างตอนที่ขณะจิตเธอซึ่งคอยจะยกโทษท่านบ่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาตามนิสัย
เธอคอยทำความกวดขันตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ไม่ปล่อยตัวดังที่เคยเป็นมานัก
แต่ก็รู้สึกว่าเป็นความลำบากไม่น้อย
เมื่อท่านเห็นความลำบากในการรักษาจิตของพญานาคที่คอยจะคิดไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ
ท่านเลยหาอุบายลาเธอไปเที่ยวที่อื่นซึ่งเธอก็ยินดีให้ท่านไป
เรื่องพญานาคกับท่านจึงเป็นอันยุติลงเพียงแค่นี้
หลังจากนั้น
ท่านเลยถือเอาเรื่องพญานาคเป็นเหตุอธิบายธรรมเกี่ยวกับนิสัยของคนและสัตว์ต่อไปอีก
เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้นั่งฟังบ้างไม่เสียเวลาไปเปล่า อันนับว่าเป็นคติได้ดี
จึงได้นำมาลงเพื่อท่านผู้อ่านนำไปพิจารณา
ถือเอาเป็นคติเท่าที่ควรแก่จริตนิสัยของตน
ท่านว่า
“ดีชั่วมิได้เกิดขึ้นมาเอง
แต่อาศัยการทำบ่อยก็ชินไปเอง เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย
ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็แก้ไขยาก คอยแต่จะไหลลงไปตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ
ถ้าเป็นฝ่ายดีก็นับวันคล่องแคล่วแกล้วกล้าขึ้นเป็นลำดับ ฉะนั้น เด็ก ๆ ที่แรกเกิด
พ่อแม่ที่ฉลาดจึงต้องพยายามอบรมในทางที่ดีก่อนจะสายเกินไป
และหาพี่เลี้ยงที่เหมาะสมมาบำรุงรักษา ไม่ให้ปล่อยไว้ตามยถากรรม
เพราะเด็กเริ่มศึกษาวิชาหลักธรรมชาติมาแต่อ้อนแต่ออก
ไม่ขาดวรรคขาดตอนเหมือนไปเรียนที่โรงเรียน หลักวิชาธรรมชาตินี่แล
เป็นวิชาที่ฝังนิสัยเด็กได้ดีกว่าวิชาแขนงอื่น ๆ
เพราะมีอยู่ทั่วไปทั้งในบ้านนอกบ้าน ในสถานที่เรียนและนอกสถานที่เรียน
เด็กสามารถเรียนและจดจำได้ทุกกาลสถานที่ที่สิ่งนั้น
ๆ มาสัมผัสทางทวารอายตนะภายนอกคือ รูป เสียง เป็นต้น นั่นแลเป็นเหมือนแผ่นกระดาน
และตัวหนังสือที่เต็มไปด้วยความหมายดีชั่วต่าง ๆ ทั้งจากเด็กด้วยกัน
ทั้งจากผู้ใหญ่ชายหญิงไม่เลือกหน้า ทั้งจากโรงหนังโรงละครและโรงอะไรต่าง ๆ
ที่มีอยู่ทั่วไป ไม่มีวันเวลาบกพร่อง
หลักธรรมชาติเหล่านี้แลเป็นครูเครื่องพร่ำสอนเด็ก ๆ
ที่พร้อมอยู่แล้วในการสำเหนียกศึกษาได้เป็นอย่างดี และมีการรับถ่ายทอดไปตลอดสาย
ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็พาให้เด็กชั่วได้จริง ถ้าเป็นฝ่ายดีก็พาให้เด็กดีได้จริง
การเห็นการได้ยินอยู่บ่อย ๆ เด็กย่อมถือเอาเป็นเยี่ยงอย่างไปวันละเล็กละน้อย นานไปก็กลายเป็นนิสัยไปเอง
ถ้าลงได้เป็นนิสัยแล้ว
ไม่ว่าทางชั่วทางดีย่อมมีทางระบายออกได้ทางไตรทวาร ไม่ยากเย็นอะไร
ที่คนชั่วทำชั่วได้ง่ายและติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขก็ดี
คนดีทำดีได้ง่ายและติดใจกลายเป็นคนรักศีลรักธรรมไปตลอดชีวิตก็ดี
ก็เพราะหลักนิสัยเป็นสำคัญ ลำพังการฝืนทำทั้งที่นิสัยไม่อำนวยมาก่อน
ย่อมลดละปล่อยวางได้ง่าย
จนกว่าจะปรากฏผลเป็นน้ำเชื่อมที่มีรสดื่มด่ำแก่ใจแล้วนั่นแล
จึงจะเกิดความพอใจในงานนั้น ๆ ทั้งชั่วและดี ไม่ยอมปล่อยวางอย่างง่ายดาย ฉะนั้น
หลักนิสัยจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในตัวบุคคลและสัตว์
การทำอะไรจนกลายเป็นนิสัยแล้วเป็นสิ่งแก้ไขได้ยาก จึงไม่ควรทำแบบสุ่มเดา
โดยมิได้ใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน
เราพอทราบได้จากการฝึกฝนตนในทางที่ดีจนเคยชินต่อนิสัย
เช่น การเที่ยวที่มีเหตุผลควรเที่ยว
การจ่ายทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่ตนและครอบครัวอย่างมีเหตุผล การรับประทานเป็นเวล่ำเวลาไม่พร่ำเพรื่อ
การหลับและการตื่นนอนตามเวลา
การฝึกมรรยาทและความประพฤติในทางดีพยายามฝึกฝนด้วยความสนใจไม่ลดละจนเป็นนิสัยเคยชินแล้ว
ย่อมสะดวกราบรื่นต่อตัวเองในวาระต่อไปไปเอง
ไม่ต้องฝืนกันอยู่เรื่อยเหมือนขั้นเริ่มแรก
เพียงเท่านี้ก็พอทราบได้ว่านิสัยเป็นสิ่งที่ฝึกได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เป็นแต่ควรใช้ความเพียรพยายามบ้างในเบื้องต้น
การฝึกเด็กหรือเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ฝึกในทำนองเดียวกัน
เราต้องการของดีคนดีก็จำต้องฝึก
ฝึกจนดี จะพ้นการฝึกไปไม่ได้ งานอะไร ๆ ย่อมมีการฝึกกันทั้งนั้น
โลกถึงได้เรียกกันว่า ฝึกงาน ฝึกสัตว์ ฝึกคน ฝึกตน ฝึกใจตลอดมา นอกจากตายเสียเท่านั้น
จึงหมดการฝึกกัน สิ่งใดที่ทำยังไม่เป็น เมื่อต้องการเป็นในสิ่งนั้นก็จำต้องฝึก
และฝึกจนเป็นการเป็นงาน เป็นคนดีสัตว์ดี รวมลงในคำว่าฝึกนี้ทั้งสิ้น
จึงควรพิจารณาให้ถึงใจปฏิบัติให้เกิดผล คำว่าดีจะเป็นสมบัติของผู้ฝึกดีแล้วแน่นอน” ได้นำเรื่องนิสัยที่ท่านพระอาจารย์มั่นอธิบายให้ฟังมาลงบ้างเล็กน้อย
พอเป็นคติแก่พวกเราที่กำลังอยู่ในข่ายแห่งธรรมนี้
จึงขอยุติไว้เพื่อดำเนินเรื่องใหม่ต่อไป
ขณะที่ท่านพักอยู่ในถ้ำเชียงดาวปรากฏนิมิตต่าง
ๆ ที่ประทับใจมากมายหลายนิมิต แต่จะนำมาลงเท่าที่ควร คือตอนกลางคืนยามดึกสงัดแทบทุกคืน
มีเทวดามาจากเบื้องบนชั้นต่าง ๆ บ้าง มาจากเบื้องล่างที่ต่าง ๆ บ้าง
มาฟังเทศน์ท่านคืนละ ๓ พวกบ้าง ๒ พวกบ้าง ๑ พวกบ้าง ตามเวลาที่ท่านนัดให้มา
และมีพระอรหันต์มาสัมโมทนียกถาธรรม เครื่องรื่นเริงกับท่านเสมอมิได้ขาด
พระอรหันต์ที่มานั้น ต่างองค์ต่างแสดงวิธีนิพพานของตนท่าต่าง ๆ ให้ท่านดูบ้าง
ทั้งองค์ที่มานิพพานในถ้ำนั้นและนิพพานในที่อื่น ๆ ก็มาแสดงในที่นั้นบ้าง
พร้อมคำอธิบายประกอบด้วย ขณะที่แต่ละท่านแสดงวิธีนิพพานท่าต่าง ๆ
ให้ท่านดูและฟังอย่างถึงใจ ขณะที่ฟังท่านเล่า เกิดความสลดสังเวชตนและน้อยใจว่า
ตนมีวาสนาน้อย ตาหูใจก็มีอยู่อย่างท่าน แต่ไม่สามารถเป็นอย่างท่านได้
ทั้งเกิดความปีติ ทั้งเกิดความน้อยใจเสียใจ ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้
ก็เป็นไปในเวลาเดียวกัน แต่การร้องไห้ได้พยายามเก็บไว้ในส่วนลึก
ไม่กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย กลัวหมู่เพื่อนจะว่าบ้า เพราะขณะนั้นก็เป็นบ้าอย่างลึก
ๆ อยู่แล้ว
คำสัมโมทนียกถาธรรมที่พระอรหันต์แต่ละองค์แสดงแก่ท่านพระอาจารย์มั่นนั้น
เป็นคำจับใจไพเราะมาก ยากที่จะหาคำพูดในโลกมาเทียบให้เสมอเหมือนได้
แม้ผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่าจะนำมาลงตามแบบฉบับของท่านแท้ได้
จึงขออภัยท่านผู้อ่านไว้ด้วยความจนใจ ที่พอจับใจความได้จากท่านมีดังนี้
พระอรหันต์ทุกประเภทเป็นบุคคลประเสริฐอัศจรรย์ทั้งแก่ตนและแก่โลกทั้งสามมีมนุษย์เทวดา เป็นต้น
จะปรากฏขึ้นในโลกแต่ละองค์เป็นของยากลำบากมากรองพระพุทธเจ้าตรัสรู้ลงมา
เหมือนขุมทองธรรมชาติจะผุดขึ้นท่ามกลางพระนครหลวงของพระเจ้าจักรพรรดิ
ไม่เป็นสิ่งจะผุดขึ้นได้อย่างง่ายดายเลย
ความเป็นอยู่แห่งชีวิตของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ผิดจากความเป็นอยู่ของโลก
เพราะมีชีวิตอันสดชื่นด้วยธรรม แม้ร่างกายจะเป็นสมมุติเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป
แต่ใจผู้ครองร่างเป็นของบริสุทธิ์ จึงทำให้ทุกส่วนในร่างกายสดชื่นไปตาม
ท่านก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
ที่ได้ทำความพยายามกลั่นกรองเชื้อแห่งภพออกจากใจจนหมดสิ้นไป
ได้กลายเป็นบุคคลไม่มีภพชาติขึ้นมาที่ใจ
ให้โลกได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจอีกองค์หนึ่ง
พวกเราจึงได้มาเยี่ยมแสดงความยินดี เพราะไม่มีบ่อยครั้งนักที่บุคคลประเภทนี้จะอุบัติ
เนื่องจากเป็นความอุบัติยาก ทั้ง ๆ ที่ใครก็อยากเป็น แต่ความอยากทำไม่อำนวย
ดังนั้นโลกแม้จะเกิดมาในท่ามกลางที่พึ่งมีพ่อแม่ญาติวงศ์เป็นต้นก็ตาม
แต่ที่พึ่งเพื่อเกาะเพื่อยึดทางใจอันเป็นที่พึ่งสำคัญนั้น โลกยังไม่ค่อยมีกันเลย
สัตว์โลกเกิดมาอย่างเคว้งคว้างถ่วงตนอยู่เปล่า ๆ มีจำนวนมากต่อมาก
เหลือหูเหลือตาจะพรรณนานับอ่านได้
พระอรหันต์อุบัติตรัสรู้ขึ้นแต่ละองค์จึงเป็นของอัศจรรย์และทำประโยชน์แก่โลกทั้งสามได้มาก
ท่านเองก็ปรากฏว่าทำประโยชน์แก่มนุษย์
เทวดา อินทร์ พรหมได้อย่างกว้างขวางมากมาย เพราะท่านบรรลุถึงความบริสุทธิ์
และแตกฉานทางภาษาใจซึ่งเป็นภาษาสำคัญกว่าภาษาใด ๆ ในโลกทั้งสาม
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์และพระอรหันต์บางประเภทต้องใช้ภาษาใจช่วยทำประโยชน์แก่โลก
เพราะภาษาใจเป็นภาษากลางของสัตว์โลก ผู้มีวิญญาณรับรู้
การสั่งสอนสัตว์โลกประเภทกายทิพย์ (กายที่ไม่ปรากฏด้วยตาเนื้อ) ต้องใช้ภาษาใจล้วน
ๆ ติดต่อและแสดงอรรถธรรม
ผู้รู้ภาษาใจด้วยกันย่อมเข้าใจได้ง่ายและได้รับประโยชน์รวดเร็วกว่าธรรมดาอยู่มากดังนี้
พอจบสัมโมทนียกถาธรรมแล้ว
ก็แสดงวิธีนิพพานท่าต่าง ๆ ให้ท่านดู
แทบทุกองค์ในบรรดาพระอรหันต์ซึ่งมาเยี่ยมท่านที่แสดงธรรมเครื่องรื่นเริงและแสดงท่านิพพานให้ดู
บางองค์ก็แสดงท่านั่งขัดสมาธินิพพาน
บางองค์ก็แสดงท่าสีหไสยาสน์คือนอนตะแคงข้างขวานิพพาน
บางองค์ก็แสดงท่ายืนอยู่กลางทางจงกรมนิพพาน บางองค์ก็แสดงท่าเดินจงกรมนิพพาน
ในท่าต่าง ๆ กัน ที่แสดงท่านั่งกับท่านอนสีหไสยาสน์นิพพานมากกว่าท่าอื่น ๆ
ที่แสดงท่ายืนนิพพานและท่าเดินจงกรมนิพพานมีน้อยมาก
องค์ที่แสดงท่านั่งและท่านอนนิพพานก็แสดงให้เห็นชัดไปตลอดสายจนถึงอวสานสุดท้าย
พอสิ้นวาระของการแสดงท่าแล้ว องค์นั่งนิพพานก็ล้มผล็อยลงไปราวกับปุยนุ่น
ร่างกายทุกส่วนก็หยุดทำงานและนิ่งแน่วไปเลย
องค์ที่แสดงท่านอนสีหไสยาสน์นิพพานท่านว่าสังเกตได้ยาก
มองเห็นลมหายใจเพียงขณะเริ่มแรกแสดงท่าเท่านั้น จากนั้นไปลมก็ละเอียด
อวัยวะทุกส่วนไม่กระดุกกระดิกเลย มีแต่ท่าอันสงบเหมือนคนนอนหลับ
จากนั้นก็เงียบไปเลย องค์แสดงท่ายืนนิพพานก็ยืนในลักษณะรำพึง เอามือขวาทับมือซ้ายตั้งกายตรง
ตาทอดลงพอประมาณ ตาทั้งสองหลับสนิท มีอาการรำพึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อย ๆ
ล้มแบบย่อตัวลงนั่งกองอยู่กับพื้น แล้วค่อย ๆ ล้มจากท่านั่งลงไปนอนกับพื้นอย่างเบา
ๆ ราวกับสำลี ส่วนองค์ที่แสดงท่าเดินจงกรมนิพพานก็เดินกลับไปกลับมาราว ๖-๗
รอบแล้วก็ค่อย ๆ ล้มผล็อยลงไปนอนอยู่กับพื้นอย่างเบา ๆ
แล้วก็แน่นิ่งไปเลยเช่นเดียวกัน
ทุก
ๆ องค์ที่แสดงวิธีนิพพานในท่าต่าง ๆ กันนั้น
มาแสดงต่อหน้าท่านโดยห่างกันประมาณวาหรือวาเศษเท่านั้น
ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนและประจักษ์ใจตลอดมา
ฟังแล้วอดน้ำตาร่วงไม่ได้ต้องหันหน้าเข้าฝาทันทีที่รู้สึกมีอาการแปลกเกิดขึ้นในขณะนั้น
มิฉะนั้นก็จะปล่อยอะไรออกมาทำให้เกิดเรื่องใหญ่
และอาจเป็นประวัติต่อท้ายท่านไปอีกก็ได้
บรรดาพระอรหันต์ที่มาแสดงวิธีนิพพานท่าต่าง
ๆ ให้ท่านดูนั้น แสดงด้วยท่าอันสงบเสงี่ยมงามตามาก
ไม่มีอาการกระวนกระวายส่ายแส่เหมือนโลกทั่ว ๆ ไปเลย
ฟังท่าไหนก็ล้วนเป็นท่าที่ให้เกิดความสลดสังเวชเหลือจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ทุกท่าไป
เพราะบุคคลอัศจรรย์นิพพานลาโลกสมมุติที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิงนานาประการ
จะไม่ให้อัศจรรย์อย่างไร ใครก็ใครเถิดถ้าลงได้ประสบอย่างนั้นเข้าบ้าง
เข้าใจว่าต้องมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน จะทนเป็นใจไม้ไส้ระกำอยู่ไม่ได้แน่นอน
ที่ถ้ำเชียงดาวมีพระอรหันต์มานิพพาน
๓ องค์ สององค์นอนนิพพาน แต่อีกองค์หนึ่งเดินจงกรมนิพพาน
และแสดงท่านิพพานให้ท่านดูต่อหน้าต่อตาเลย ทุกองค์ที่นิพพานในท่าต่าง ๆ
ได้อธิบายเหตุผลประกอบให้ท่านทราบอย่างละเอียด ก่อนจะทำพิธีนิพพาน
ที่แสดงท่ายืนนิพพานและท่าเดินจงกรมนิพพานมีไม่กี่รูป
ส่วนท่านั่งกับท่านอนมีมากและท่านอนมีมากกว่าท่าอื่น ๆ
ท่านพิจารณาทราบว่าพระอรหันต์มานิพพานที่เมืองไทยเราหลายองค์ เท่าที่จำได้มีดังนี้
นิพพานที่ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ๓ องค์ นิพพานที่หลังเขาวงพระจันทร์ ๑ องค์
นิพพานที่ถ้ำตะโก จังหวัดลพบุรี ๑ องค์ นิพพานที่เขาใหญ่ จังหวัดนครนายก ๑ องค์
นิพพานที่วัดธาตุหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ๑ องค์
ที่จำไม่ได้ก็ยังมีจึงขออภัยไว้ด้วย
คำว่า
“นิพพาน” เป็นศัพท์ใช้เฉพาะพระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายที่สิ้นกิเลสและภพชาติภายในใจแล้วโดยเฉพาะ
มิได้ใช้ทั่วไปในสัตว์โลกผู้ยังมีกิเลสทั้งหลาย
เพราะพวกหลังนี้ยังเป็นผู้สั่งสมภพชาติอยู่ภายในอย่างสมบูรณ์
จึงไม่มีอะไรจะควรเรียกว่านิพพานได้ในทางสมมุติ พอตายจากนี้ก็ไปเกิดที่นั้น
ตายจากที่นั้นก็ไปเกิดที่โน้น ตายจากคนไปเกิดเป็นสัตว์ถ้าประมาทในชาติเป็นมนุษย์
ไม่พยายามสร้างความดีไว้ส่งเสริมเติมต่อในภพชาติต่อไป
การเป็นสัตว์ก็มีหลายชนิดไม่แน่นอน
เพราะทางที่จะให้เกิดเป็นสัตว์มีมากกว่าทางจะให้เกิดเป็นมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม
อันเป็นภูมิสูงเป็นไหน ๆ เนื่องจากจิตใจชอบทำกรรมชั่ว
อันเป็นทางให้ไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ได้มากกว่าทางดี ดังนั้นสัตว์ชนิดต่าง ๆ
จึงมีมากกว่ามนุษย์และเทพพรหม
แต่จะเป็นสัตว์ชนิดใดและมนุษย์เทพพรหมประเภทใด
ก็ล้วนมีสิ่งเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งพาให้ต่อต้นต่อแขนงเป็นภพชาติสืบต่อไปไม่มีทางดับสนิทได้
จึงไม่เรียกว่านิพพาน ส่วนท่านที่สิ้นกิเลสภายในใจโดยสิ้นเชิงแล้ว
เป็นความดับสนิทอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ขันธ์ยังครองตัวอยู่
ท่านเหล่านี้แลเป็นผู้ควรได้รับคำว่านิพพานโดยเฉพาะ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น
เพราะหมดทางเกี่ยวเกาะวกเวียน ขณะจะนิพพานก็มิได้มีความกังวลห่วงใยกับสิ่งใด ๆ
กระทั่งขันธ์ที่กำลังจะแตกทลายในขณะนั้นอยู่แล้ว
ทั้งนี้เพราะใจท่านหมดคำว่าห่วงว่าหวง ทั้งภายนอกภายใน
ทั้งใกล้ทั้งไกลโดยตลอดทั่วถึง
ขณะจะลาโลกแห่งขันธ์ก็ลากันแบบดับสนิท
ไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหว ทั้งมิได้คิดว่าจะไปอยู่โลกนั้น จะมาอยู่โลกนี้ จะไปเสวยผลดีอย่างนั้น
จะมาเสวยผลชั่วอย่างนี้ อันเป็นการทำใจให้กระเพื่อมขุ่นมัว
แต่เป็นความคงที่และพอตัวโดยสมบูรณ์ของจิตดวงวิมุตติหลุดพ้นแล้ว
มิได้คอยรับส่วนได้ส่วนเสียของสมมุติมีขันธ์เป็นต้นแต่อย่างใด
เป็นผู้ปราศจากกาลสถานที่ ไม่มีสมมุติแม้ปรมาณูเข้าไปเกี่ยวข้องกับใจดวงบริสุทธิ์ล้วน
ๆ แล้ว นี่แลท่านเรียกว่านิพพานของท่านผู้สิ้นความกังวลหม่นหมอง
ขณะครองขันธ์อยู่ก็มิได้เศร้าโศก ขณะวิโยคพลัดพรากจากไปก็มิได้เสียใจ
เคยเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นไปอย่างนั้น
ฉะนั้น
คำว่านิพพานจึงเป็นคำพิเศษสำหรับท่านผู้เป็นบุคคลพิเศษจะครองโดยเฉพาะ
ไม่มีผู้ใดจะกล้าเข้ายึดครองได้ ถ้าไม่ทำใจให้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงก่อน
ไม่เหมือนสมบัติอื่น ซึ่งอาจมีเจ้าอำนาจเข้ายึดครองได้ทั้งที่เจ้าของไม่ยินยอม
เช่น เรือกสวน ไร่นา เป็นต้น ใครอยากเป็นเจ้าของเข้ายึดครองก็พยายามสร้างเอาเอง
รอนั่งเซ็นนอนเซ็นเอาเฉย ๆ คงไม่มีหวังตลอดกาล
ท่านอาจารย์มั่นซึ่งเป็นเจ้าของประวัติที่ได้รับยกย่องชมเชยและเลื่อมใสจากหมู่ชนแทบทั่วประเทศเขตแดน
และได้รับธรรมเครื่องรื่นเริงจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็เพราะท่านเชื่อธรรมทำจริง
จึงได้พบเห็นแต่ของจริง ของปลอมไม่มีในใจท่าน แม้ชีวิตร่างกายจะเป็นของจอมปลอมหลอกลวงตามธรรมชาติของมัน
ท่านก็ปลดปล่อยไว้ตามเรื่อง มิได้ยึดถือแบกหามไปด้วย
สิ่งที่เป็นท่านอย่างจริงไม่แปรผันก็คือธรรมของจริงที่เห็นแล้ว
ธรรมนั้นจริงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอดีตอนาคตเข้าไปทำลายได้
เหมือนสิ่งทั้งปวงที่ถูกทำลายด้วยกาลของมันเองตลอดมา
ท่านพักอยู่ในป่าในเขาลึก
จังหวัดเชียงใหม่ ทราบว่ามีการเจ็บป่วยหลายครั้ง
บางคราวแทบเอาตัวไม่รอดจนหมอไม่รับรอง
ถ้าเป็นคนธรรมดามีชีวิตลมหายใจอยู่กับยากับหมอแบบไม่มีจมูกของตนเองเป็นที่หายใจ
ก็คงจะผ่านไปนานแล้ว แต่ท่านเองยังพอรอดตัวมาได้ ด้วยอำนาจธรรมโอสถเยียวยารักษาไว้ได้
ทุกครั้งที่ป่วยไข้ได้ทุกข์ต่าง ๆ ท่านว่าธรรมโอสถต้องเกิดมาพร้อมกัน
และปฏิบัติหน้าที่ต่อกันในทันทีทันใดไม่รอชักช้า ท่านอาจารย์มั่นมีนิสัยอย่างนั้น
ปกติท่านไม่ค่อยชอบเกี่ยวข้องกับหยูกยาเท่าไรนัก
แม้ตกมาวัยชรากำลังวังชาลดราร่วงโรยลงเป็นลำดับ ท่านก็ยังหนักในธรรมโอสถเป็นเครื่องประสานธาตุขันธ์อยู่เสมอมา
ครั้งหนึ่งท่านพักอยู่ในเขากับพระ
๓ องค์ด้วยกัน ซึ่งที่นั้นชุกชุมไปด้วยไข้ป่า
เผอิญพระองค์หนึ่งเกิดเป็นไข้จับสั่นขึ้นมา แม้ยาเม็ดหนึ่งก็ไม่มีรักษา
เวลาจับไข้แล้วตั้งวันก็ไม่สร่าง ตอนเช้าตอนเย็นท่านอาจารย์ไปเยี่ยมไข้และให้อุบายต่าง
ๆ เป็นเครื่องพิจารณาเพื่อระงับไข้ ดังที่ท่านเคยได้ผลมาแล้วเสมอ
แต่พระองค์นั้นไม่สามารถพิจารณาตามท่านได้ เพราะภูมิจิตภูมิธรรมต่างกันมาก
เวลาจับไข้ทีไรต้องปล่อยให้สร่างเอง ไม่มีอุบายพิจารณาแก้ไขพอไข้ลดลงบ้างเลย
ท่านอาจารย์เองคงนึกรำคาญ
เลยทำเป็นดุเอาเสียบ้างว่า ท่านนี้มีแต่ชื่อว่ามหา ๆ
แต่ความรู้ที่เรียนมาไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไรเลย
ช่วยแก้ไขบรรเทาตัวเองในเวลาจำเป็นบ้างก็ไม่ได้ ท่านไปเรียนให้เสียกระดาษเปล่า ๆ
และเอาแต่ชื่อมหาเปล่า ๆ มาทำไม การเรียนความรู้ทุกแขนงต้องเรียนมาเพื่อช่วยตัวเอง
แต่ความรู้ท่านมหาเป็นความรู้ประเภทใดก็ไม่รู้ จึงไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเลย
เจ้าของเป็นไข้แทบตายอยู่แล้ว
ความรู้ที่เรียนมาไม่เห็นมาช่วยบรรเทาให้เบาลงบ้างเลย ท่านเรียนมาเพื่ออะไรกันแน่
ผมยังแปลไม่ออก ผมไม่เห็นได้เรียนเป็นมหาเปรียญอะไร แม้ประโยคเดียวก็ไม่ได้กับเขา
มีแต่กรรมฐานห้าที่อุปัชฌายะมอบให้แต่วันอุปสมบทเท่านั้นติดตัวอยู่ทุกวันนี้
ก็ยังพอรักษาตัวได้ ไม่เห็นอ่อนแอเหมือนท่านที่เรียนมากแต่อ่อนแอมาก
ท่านนี่อ่อนแอยิ่งกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้รับการศึกษาเลย
ผู้ชายทั้งคน มหาทั้งองค์ ทำไมจึงอ่อนแอนัก เวลาเป็นไข้ไม่เห็นมีลักษณะผู้ชายและการเรียนรู้ธรรมแฝงอยู่บ้างเลย
ควรเอาเครื่องของผู้ชายทั้งหมดไปมอบให้ผู้หญิงเสีย
แล้วไปขอเอาเครื่องของผู้หญิงมาสวมใส่เข้าไป จะได้เป็นผู้หญิงไปเสียทั้งคน
ไข้ก็อาจจะลดลงบ้าง เพราะมันเห็นว่าเป็นผู้หญิงคงไม่กล้าทรมานอย่างรุนแรง มาเยี่ยมทีไรแทนที่จะเห็นท่าทางองอาจกล้าหาญพอให้เบาใจได้บ้าง
แต่กลับเห็นแต่ความใจน้อยอ่อนแอเป็นประจำเรื่อยมา
กรรมฐานและมหานั้นเรียนมาทำไมไม่พิจารณาบ้าง
ท่านว่าทุกขังอริยสัจจังนั้น
หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าให้อ่อนแอ
และเวลาเป็นไข้ขึ้นมาคอยแต่จะร้องไห้คิดถึงพ่อคิดถึงแม่อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นกรรมฐานปลอมละซิ
เพียงทุกขเวทนาเกิดจากไข้เท่านี้ก็จะทนไม่ไหว บทถึงเวลาจวนตัวเข้าจริง ๆ
จะไม่ล้มละลายไปแบบไม่เป็นท่าละหรือ เราเริ่มไม่เป็นท่าแต่บัดนี้แล้ว
จะเห็นสัจธรรมมีทุกขสัจเป็นต้น เป็นของจริงได้อย่างไร ผู้จะพ้นจากโลกสมมุติต้องเห็นสัจธรรมเป็นของจริงเต็มส่วน
แต่นี้เพียงทุกขสัจเริ่มตื่นนอนออกล้างหน้าล้างตากระตุกกระติกนิดหน่อยเท่านั้น
ก็เริ่มยอมอย่างหมอบราบแล้วจะไปที่ไหนกันได้เล่า
พอท่านให้อุบายเผ็ดร้อนบ้างเป็นการหยั่งเสียงดูจบลงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
มองไปเห็นท่านมหาองค์นั้นกำลังร้องไห้น้ำตาไหลออกมาเปียกหน้า
ท่านเลยหาอุบายหนีไปในขณะนั้น และก่อนจะไปทำท่าปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาย
ผมแกล้งว่าให้ท่านมหาอย่างนั้นเอง” แล้วก็ไปที่พัก
พอตอนกลางคืนท่านคงพิจารณาหายาขนานใหม่
ขนานที่ให้ไปแล้วอาจจะแรงไปบ้างสำหรับคนไข้รายนี้ที่ใจไม่เข้มแข็งพอ
เช้าวันหลังและคราวต่อไป ท่านเปลี่ยนยาขนานใหม่โดยสิ้นเชิง
คือมิได้นำกิริยานั้นมาใช้อีกต่อไปเลย คราวนี้มีแต่แสดงอาการปลอบโยน
เอาอกเอาใจใหญ่คล้ายกับไม่ใช่ท่านอาจารย์มั่นคนเก่าเลย
พูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานเหมือนน้ำอ้อยน้ำตาลเป็นกระสอบ ๆ ทุ่มเทลงทุกเช้าทุกเย็น
จนหวานหอมไปทั่วบริเวณ เหมาะแก่โรคอ่อนแออย่างบอกไม่ถูก
ทั้งสังเกตคนไข้อาการดีขึ้นหรือทรุดลง ทั้งวางยาเคลือบน้ำตาลทุกเช้าเย็น
จนเห็นผลประจักษ์ใจ ทั้งคนไข้คนดีมีความสุขโดยทั่วกัน
คนไข้ก็ค่อยหายวันหายคืนไปเป็นลำดับจนหายสนิท แต่กินเวลาหลายเดือนกว่าจะหายขาดได้
นับว่ายาขนานสุดท้ายได้ผลดีเกินคาด
นี่คืออุบายท่านที่เปรียบกับหมอผู้ฉลาดทั้งภายนอกภายใน
พลิกได้ทุกท่าทุกทาง ไม่จนสติปัญญา นำมาใช้ได้ทุกกรณี
จึงควรถือเป็นแบบฉบับของชาวเราผู้กำลังแสวงหาความฉลาดใส่ตน
ที่นำมาลงก็เพื่อท่านที่สนใจได้อ่านบ้าง อาจเกิดประโยชน์เท่าที่ควร
เพราะเป็นอุบายวิธีของท่านผู้ฉลาดมีปัญญาหลักแหลม
ไม่จนแต้มจนมุมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ตามปกตินิสัยท่านพระอาจารย์มั่น
เวลาเข้าที่คับขันจนมุม ท่านชอบคิดค้นด้วยสติปัญญาไม่อยู่เฉย ๆ เช่น
เวลาเจ็บไข้หรือเวลาพิจารณาไปเจอเอากิเลสตัวสำคัญเข้าจนหาทางออกไม่ได้
นั่นแลคือเวลาคับขัน จิตจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ ต้องหมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน
จนเกิดอุบายปัญญานำมาแก้ไขทันเหตุการณ์และผ่านไปได้เป็นพัก ๆ ไม่จนมุม
ท่านเคยเห็นผลทำนองนี้ตลอดมาแต่เริ่มออกปฏิบัติจนอวสาน
เวลามีพระไปอาศัยอยู่กับท่านและเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา
ท่านมักจะเตือนด้วยอุบายต่าง ๆ
เพื่อระงับอาการไม่ให้หนักไปในทางหยูกยาจนเกินไป และเพื่อเกิดอุบายต่าง ๆ
อันเป็นวิธีพิจารณาธรรมไปด้วยในขณะเดียวกัน
ท่านถือว่าทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในกายในใจเป็นเรื่องของสัจธรรมโดยตรง
ต้องพิจารณาให้รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ได้ ไม่ปล่อยให้ทุกข์ย่ำยีอยู่เปล่า ๆ
เหมือนคนไม่ได้รับการศึกษาอบรมธรรมมาเลย
เฉพาะท่านเองเคยได้อุบายต่าง
ๆ จากการป่วยมาเป็นลำดับ ไม่เคยปล่อยให้ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยต่าง ๆ
ย่ำยีอยู่เฉย ๆ โดยมิได้พิจารณาให้รู้เรื่องของมันบ้างเท่าที่สามารถ
เวลาเช่นนั้นท่านถือเป็นความจำเป็นที่ต้องพิจารณาจนสุดความสามารถ
เพื่อเป็นการฝึกซ้อมสติปัญญาว่าจะทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
หรือมีความล้มเหลวไปอย่างไรบ้าง แล้วแก้ไขดัดแปลงกันใหม่จนเป็นที่พอใจ
ว่าสติปัญญาที่เคยอบรมและฝึกซ้อมมาเป็นเวลานาน ขณะเข้าสู่สงครามคือความทุกข์ทรมาน
ใจไม่มีความหวั่นเกรงต่อความจริง คือทุกขสัจอันเป็นสัจธรรมของจริงทุกส่วน
สติปัญญาก็ทำหน้าที่ทันกับเหตุการณ์ ไม่มีความสะท้านหวั่นไหวกับพายุ
คือทุกข์ที่โหมกันมาทุกทิศทุกทาง เบื้องบนเบื้องล่าง ด้านขวางสถานกลาง
สามารถพิจารณาตะล่อมเข้ามาสู่หลักความจริงได้โดยตลอด
ดังนั้นท่านจึงชอบใช้อุบายแก่บรรดาศิษย์หนักไปทางพิจารณาทุกขเวทนา
เพราะเป็นการฝึกซ้อมสติปัญญาศรัทธาความเพียรให้เข้มแข็งแกล้วกล้า
เวลาเอาจริงเอาจังคือขณะขันธ์จะแตกจะไม่ต้องกลัวมหันตทุกข์ที่แสดงตัวอย่างเต็มที่ในเวลานั้น
ผู้พิจารณารู้เท่าทันขันธ์ดังกล่าวนี้ อยู่ก็สบาย ตายก็มีชัยชนะ
สมกับเป็นนักต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดเป็นยอดคน คือเราเองซึ่งเป็นคน ๆ หนึ่งไม่ต้องเป็นยอดใครที่ไหน
ได้เราและเป็นยอดเราแล้วเป็นพอตัว
ท่านอาจารย์มั่นนับว่าเป็นอาจารย์ตัวอย่างได้ทั้งภายนอกภายใน
ความเพียร ความอดทน ความอาจหาญ ความฉลาดภายนอกภายใน ความสันโดษและมักน้อย
นับว่าท่านเป็นเยี่ยมในสมัยปัจจุบัน ยากจะมีลูกศิษย์คนใดล้ำหน้าท่านไปได้ ท่านมีทั้งหูทิพย์
ตาทิพย์ และปรจิตตวิชชา คือฟังได้ทั้งเสียงสัตว์ เสียงมนุษย์ เสียงภูตผี เทวบุตร
เทวดา อินทร์ พรหม ยม นาค เห็นได้ทั้งสัตว์มนุษย์ที่เป็นกายและวัตถุหยาบ
ทั้งที่เป็นกายทิพย์ เช่น เปรตผี เทวดาเป็นต้น รู้ได้ทั้งจิตสัตว์
จิตมนุษย์ว่ามีความเศร้าหมองผ่องใสประการใด ตลอดความคิดปรุงต่าง ๆ ที่คิดอยู่ภายใน
บางครั้งแม้เจ้าตัวผู้คิดขึ้นเองก็ไม่รู้ว่าได้คิดอะไรไปบ้าง
เพราะเปิดทางให้ความคิดนึกไหลออกสู่อารมณ์ต่าง ๆ
อยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีสติควบคุมรักษาบ้างเลย กระทั่งได้ยินปัญหาท่านเป็นเชิงทักขึ้นมาถึงระลึกได้
บางรายยังมัวเซ่อไม่ทราบว่าท่านพูดอะไรให้ตัวบ้างก็ยังมี
จึงน่าสลดสังเวชอยู่มากสำหรับรายเช่นนั้น
เวลาอยู่กับท่านไม่จำต้องอยู่ต่อหน้าท่านก็ได้
เพียงอยู่ภายในวัดหรือในสำนักเดียวกับท่านก็พอแล้ว ขณะคิดคะนองไปต่าง ๆ
แบบปล่อยตัวไม่มีสติ เวลามาหาท่านจะได้ยินคำพูดแปลก ๆ ออกมาในเวลาใดเวลาหนึ่งจนได้
ยิ่งไปหาญคิดเรื่องลึกลับในเวลาอยู่ต่อหน้าท่านด้วยแล้ว
จะเป็นเวลาท่านกำลังแสดงธรรมอบรมอยู่ก็ตาม
เวลาสนทนาธรรมกันอยู่ก็ตามหรือเวลาอื่นใดก็ตาม
ในเวลานั้นจะได้ยินคำพูดหรือคำตอบเป็นเชิงไม้เรียว หรือเป็นอุบายแปลก ๆ
อย่างใดอย่างหนึ่งออกมาจนได้
นอกจากท่านขี้เกียจเท่านั้นจึงปล่อยไปตามกรรมในบางคราว
ตามที่พระอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์
และเคยอยู่เชียงใหม่กับท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องหูทิพย์ตาทิพย์และปรจิตตวิชชาของท่าน
ว่าน่าอัศจรรย์และน่ากลัวมาก เฉพาะปรจิตตวิชชารู้สึกว่าท่านรวดเร็วมาก ใครคิดไม่ดีขึ้นที่ใดขณะใดเป็นได้การทันทีแทบทุกครั้ง
ฉะนั้นเวลาอยู่กับท่านต่างองค์ต่างระวังสำรวมอินทรีย์อย่างเต็มที่
ไม่เช่นนั้นต้องโดนแน่ไม่มีทางปิดบังหรือหลีกเลี่ยงได้
บางครั้งมีพระบางองค์คิดเรื่องท่านดุอยู่โดยลำพังตนเอง
เหตุที่จะคิดก็เพราะกลัวท่านมาก พอมาหาท่าน ท่านเริ่มตอบปัญหาทันทีว่า
แทบทุกสิ่งไม่ว่าอาหารหรือที่อยู่เครื่องใช้สอยนุ่งห่มต่าง ๆ
ก่อนจะสำเร็จรูปมาใช้ประโยชน์ได้ต้องผ่านการจัด การทำ การหุง การต้ม การฟัน การถาก
การเลื่อย การไส การปัก การทอ มาอย่างเต็มที่มิใช่หรือ อยู่ ๆ
ก็สำเร็จรูปออกมาให้อยู่กินใช้สอยอย่างสบายไปเลยอย่างนั้นไม่เคยมี
เพราะโลกนี้เป็นโลกสร้างอยู่สร้างกิน มิใช่โลกนอนอยู่เฉย ๆ แล้วเกิดมาเอง
เห็นแต่คนตายเท่านั้นเองที่นอนอยู่เฉย
ๆ ไม่ต้องทำอยู่ทำกิน ไม่ต้องดัดแปลงแต่งมรรยาทความประพฤติ
ไม่ต้องมีครูอาจารย์ดุด่าสั่งสอน ก็เรายังไม่ตายและยังแสวงหาครูอาจารย์ให้อบรมสั่งสอนอยู่
แต่แล้วกลัวอย่างไม่มีเหตุมีผล และคิดว่าท่านดุท่านด่า
ถ้าท่านไม่ว่าอะไรเลยก็จะคิดไปว่าท่านไม่สั่งไม่สอน ก็ยิ่งจะร้อนเข้าไปอีก
เลยไม่มีอะไรพอดี มีแต่เรื่องคิดแบบโดดขึ้นโดดลง ทำนองวานรตัวโดดอยู่บนกิ่งไม้
โดดไปโดดมาถูกกิ่งไม้ผุก็ลงนอนกับพื้นเท่านั้นเอง เราจะเอาแบบไหน
จะเอาแบบโดดกิ่งไม้ผุ หรือจะเอาแบบพระผู้มีครูอาจารย์คอยบอกกล่าวสั่งสอน
บางทีถามเจ้าของต้นเหตุเสียเองเผื่อได้สติ ระลึกรู้ตัวว่าได้คิดอย่างไรไปบ้าง
บางครั้งก็อธิบายเปรียบเปรยไปธรรมดา แต่รวมแล้วเพื่อเจ้าตัวได้ระลึกรู้ในสิ่งที่คิดไปแล้วนั้นว่า
ไม่สูญหายไปไหน ยังกลับมาให้เจ้าของได้ฟังอีก ทั้งยังได้รู้ความผิดถูกของตัว
คราวต่อไปจะได้ระวังสำรวม ไม่คิดแบบเปิดเปิงไปถ่ายเดียว
บางครั้งท่านเทศน์อย่างเผ็ดร้อน
และในบางขณะยังได้ยกเอาองค์ท่านออกเป็นหลักฐานในทางความเพียร เกี่ยวกับความเด็ดเดี่ยวอาจหาญไม่กลัวตายก็มี
เพื่อปลุกใจบรรดาศิษย์ให้มีแก่ใจ โดยเทศน์เป็นเชิงว่า
ถ้าใครกลัวตายเพราะความเด็ดเดี่ยวทางความเพียร
ผู้นั้นจะต้องกลับมาตายอีกหลายภพหลายชาติไม่อาจนับได้
ส่วนผู้ใดไม่กลัวตายผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลงถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแลจะเป็นผู้ไปไม่กลับหลังมาหาบทุกข์อีก
ตัวผมเองสลบไปถึง ๓ หน เพราะความเพียรกล้าเวทนาทับถม
ยังไม่เห็นตายและยังรอดมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะอยู่ได้
หมู่เพื่อนทำความเพียรยังไม่ถึงขั้นสลบไสลเลย ทำไมจึงกลัวตายกันนักหนาเล่า
ถ้าไม่ตายไปพักหนึ่งก่อนก็น่ากลัวไม่เห็นธรรมชาติอัศจรรย์
ใครจะเชื่อหรือไม่ผมก็ได้ทำมาอย่างนี้
รู้เห็นธรรมมาบ้างตามกำลังก็ด้วยวิธีนี้ แล้วจะให้สอนหมู่คณะว่าค่อยเป็นค่อยไปนะ
ฉันให้มาก นอนให้มาก ขี้เกียจให้มาก กิเลสจะได้กลัว อย่างนี้ผมสอนไม่ได้
เพราะไม่ใช่ทางกิเลสจะกลัว นอกจากมันจะหัวเราะเยาะเอาวันยังค่ำ
ว่านึกว่าพากันมาทำความพากเพียร แต่แล้วทำไมจึงพากันมานอนตายอยู่อย่างนี้ ทั้ง ๆ
ที่ยังหายใจอยู่
หรือพระพวกนี้พร้อมกันตายด้วยทั้งยังมีลมหายใจอยู่อย่างนี้เท่านั้น
ไม่มีอะไรน่าชมเชย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น