หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระ 4
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
บ่าง
ชะนี เสือ ช้าง อีเห็น ไก่ป่า ไก่ฟ้า หมี เม่น กระจ้อน กระแต เว้นสัตว์เล็ก ๆ
ที่เที่ยวหากินเป็นประจำเสีย สัตว์นอกนั้นยังพากันมาเที่ยวหากินในเวลากลางวัน
ท่านเคยเจอเขาบ่อย ซึ่งเขาก็ไม่แสดงอาการกลัวท่านนัก
ป่าแถบนี้แต่ก่อนไม่มีบ้านผู้บ้านคน
ถึงมีก็อยู่ห่าง ๆ กันและมีเพียง ๓-๔ หลังคาเรือน ตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ
ซึ่งอาศัยทำไร่ข้าวและปลูกสิ่งต่าง ๆ เป็นอาชีพ ตั้งอยู่ตามชายเขาระหว่างที่ผ่านไป
ท่านอาศัยชาวบ้านเหล่านั้นเป็นโคจรบิณฑบาตไปเป็นระยะ ๆ หมู่บ้านที่อยู่แถบนั้นเขามีศรัทธาในพระธุดงค์ดีมาก
พวกนี้อาศัยสัตว์ป่าเป็นอาหาร เพราะสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ มีมาก
เวลาพักอยู่กับเขาได้รับความสะดวกแก่การบำเพ็ญมาก เขาไม่มารบกวนให้เสียเวลาเลย
ต่างคนต่างอยู่และต่างทำหน้าที่ของตน
ปรากฏว่าการเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวกราบรื่น ทั้งทางกายและทางใจ จนถึงกรุงเทพฯ
ด้วยความสวัสดี
ท่านเข้าพักวัดปทุมวัน
ท่านว่าการขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพฯ กับภาคอีสาน ท่านขึ้นล่องเสมอ
บางเที่ยวขึ้นรถไฟไปลงเอาที่สุดรถไฟไปถึง เพราะแต่ก่อนรถไฟยังไม่ทันถึงที่สุดทาง
บางเที่ยวก็เดินธุดงค์ไปมาเรื่อย ๆ ก็มี เวลาท่านพักและจำพรรษาที่วัดปทุมวัน
ได้ไปศึกษาอรรถธรรมกับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ วัดบรมนิวาสเสมอ ออกพรรษาแล้วหน้าแล้ง
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ จะไปเชียงใหม่ ท่านนิมนต์ท่านอาจารย์ไปเชียงใหม่ด้วย
ท่านเลยไปเที่ยวทางเชียงใหม่กับท่านเจ้าคุณ
อุบาลีฯ ขณะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ ท่านเล่าว่าท่านเข้าสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ
เกือบตลอดทาง มีพักนอนบ้าง ก็เวลารถไฟออกจากกรุงเทพฯ ไปถึงลพบุรี พอถึงอุตรดิตถ์
รถจะเริ่มเข้าเขา ท่านก็เริ่มเข้าสมาธิภาวนาแต่บัดนั้นเป็นต้นไป
จนจะถึงสถานีเชียงใหม่ถึงได้ถอนจิตออกจากสมาธิ เพราะขณะจะเริ่มทำสมาธิภาวนา
ท่านตั้งจิตไว้ว่า จะให้จิตถอนจากสมาธิต่อเมื่อรถไฟจวนเข้าถึงตัวเมืองเชียงใหม่
แล้วก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่ภาวนาต่อไป โดยมิได้สนใจกับอะไรอีก
ขณะนั่งทำสมาธิไม่นาน
ประมาณ ๒๐ นาที จิตก็รวมลงสู่ความสงบถึงฐานของสมาธิอย่างเต็มที่
จากขณะนั้นแล้วก็ไม่ทราบว่ารถไฟวิ่งหรือไม่ มีแต่จิตที่แน่วลงสู่ความสงบระงับตัวจากสิ่งภายนอกทั้งมวล
ไม่มีอะไรปรากฏ แม้ที่สุดกายก็ได้หายไปในความรู้สึก
เป็นจิตที่ดับสนิทจากการรับรู้และรบกวนจากสิ่งต่าง ๆ
เป็นเหมือนโลกธาตุไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ประหนึ่งได้ดับไปพร้อมกับความคิดปรุงและความสำคัญรับรู้ต่าง ๆ ของขันธ์โดยสิ้นเชิง
ขณะนั้นเป็นความรู้สึกว่ากายหายไป รถไฟและเสียงรถหายไป ผู้คนโดยสารในรถไฟหายไป
ตลอดสิ่งต่าง ๆ ที่เคยเกี่ยวข้องกันกับจิตได้หายไปจากความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
สิ่งที่เหลืออยู่ในเวลานั้นก็น่าจะเป็นสมาธิสมาบัติอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะในขณะนั้นมิได้สำคัญตนว่าอยู่ในที่เช่นไร
จิตทรงตัวอยู่ในลักษณะนี้ตลอดมาแต่
๒๐ นาทีแรกเริ่มสมาธิ จนถึงชานเมืองเชียงใหม่จึงได้ถอนตัวออกมาเป็นปกติจิต
ลืมตาขึ้นมองดูสภาพทั่วไป ก็พอดีเห็นตึกรามบ้านช่องขาวดาดาษไปทุกทิศทุกทาง
จากนั้นก็เริ่มออกจากที่และเตรียมจะเก็บสิ่งของบริขาร มองดูผู้คนในรถรอบ ๆ ข้าง
ต่างพากันมองมา นัยน์ตาจับจ้องมองดูท่านอย่างพิศวงสงสัยไปตาม ๆ กัน
รู้สึกจะเป็นที่ประหลาดใจของคนในรถไฟทั้งขบวน
นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่รถไฟลงมาไม่น้อยเลย
มาทราบได้ชัดเจนเอาตอนท่านจะขนสิ่งของบริขารลงจากรถ
ขณะที่รถจะถึงที่เจ้าหน้าที่รถไฟต่างมาช่วยขนสิ่งของลงรถช่วยท่านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
ทั้งคนโดยสารและเจ้าหน้าที่รถไฟต่างยืนมองท่านจนวาระสุดท้ายอย่างไม่กะพริบตาไปตาม
ๆ กัน
แม้ก่อนจะลงจากรถก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟและคนโดยสารมาถามท่านว่า
ท่านอยู่วัดไหน และท่านจะเดินทางไปไหนต่อไป ท่านก็ได้ตอบว่าท่านเป็นพระอยู่ตามป่า
ไม่ค่อยมีหลักฐานวัดวาแน่นอนนัก และตั้งใจจะมาเที่ยววิเวกตามเขาแถบนี้
เจ้าหน้าที่รถไฟและผู้โดยสารบางคนก็ถามท่านด้วยความเอื้อเฟื้อเลื่อมใสว่า
ขณะนี้ท่านจะไปพักวัดไหนและมีผู้มารับหรือตามส่งหรือยัง ท่านแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่รถไฟ
และเรียนว่ามีผู้มารับเรียบร้อยแล้ว เพราะท่านไปกับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่และเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง
นับแต่เจ้าผู้ครองนครลงมาถึงพ่อค้าประชาชน
ขณะนั้นปรากฏว่ามีผู้คนพระเณรไปรอรับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
อยู่คับคั่ง แม้รถยนต์ซึ่งเป็นของหายากในสมัยนั้น
แต่ก็ปรากฏว่ามีรถไปรอรับอยู่หลายคัน ทั้งรถข้าราชการและพ่อค้าประชาชน
รับท่านเจ้าคุณฯ จากสถานีมาวัดเจดีย์หลวง
เมื่อประชาชนทราบว่า
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาพักที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
ต่างก็มากราบนมัสการเยี่ยมและฟังโอวาทท่าน ในโอกาสที่ประชาชนมามากนั้น
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ได้อาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นเป็นองค์แสดงธรรมให้ประชาชนฟัง
ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมไพเราะเพราะพริ้งจับใจท่านผู้ฟังมากมาย ไม่อยากให้จบลงง่าย ๆ
เทศน์กัณฑ์นั้นทราบว่า ท่านเริ่มแสดงมาแต่ต้นอนุปุพพิกถาขึ้นไปเป็นลำดับ
จนจบลงในท่ามกลางแห่งความเสียดายของพุทธศาสนิกชนที่กำลังฟังเพลิน พอเทศน์จบลง
ท่านลงมากราบพระเถระ แล้วหลีกออกไปหาที่พักผ่อนตามอัธยาศัย
ขณะนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
กล่าวชมเชยธรรมเทศนาของท่านในท่ามกลางบริษัทว่า ท่านมั่นแสดงธรรมไพเราะมาก
หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก และแสดงธรรมเป็นมุตโตทัย คือแดนแห่งความหลุดพ้น
ที่ผู้ฟังไม่มีที่น่าเคลือบแคลงสงสัย นับว่าท่านแสดงได้อย่างละเอียดลออดีมาก
แม้แต่เราเองก็ไม่อาจแสดงได้ในลักษณะแปลก ๆ และชวนให้ฟังเพลินไปอย่างท่านเลย
สำนวนโวหารของพระธุดงคกรรมฐานนี้แปลกมาก ฟังแล้วทำให้ได้ข้อคิดและเพลินไปตาม
ไม่มีเวลาอิ่มพอและเบื่อง่ายเลย
ท่านเทศน์ในสิ่งที่เราเหยียบย่ำไปมาอยู่นี่แล
คือสิ่งที่เราเคยเห็นเคยได้ยินอยู่เป็นประจำ แต่มิได้สนใจคิดและนำมาทำประโยชน์
เวลาท่านเทศน์ผ่านไปแล้วถึงระลึกได้
ท่านมั่นท่านเป็นพระกรรมฐานองค์สำคัญที่ใช้สติปัญญาตามทางมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้จริง
ๆ ไม่นำมาเหยียบย่ำทำลายให้กลายเป็นโลก ๆ เลว ๆ ไปเสียดังที่เห็น ๆ กัน
ท่านเทศน์มีบทหนักบทเบาและเน้นหนักลงเป็นตอน ๆ
พร้อมทั้งการคลี่คลายความสลับซับซ้อนแห่งเนื้อธรรมที่ลึกลับ
ซึ่งพวกเราไม่อาจแสดงออกมาได้อย่างเปิดเผย และสามารถแยกแยะธรรมนั้น ๆ
ออกมาชี้แจงให้เราฟังได้อย่างถึงใจโดยไม่มีปัญหาอะไรเลย
นับว่าท่านฉลาดแหลมคมมากในเชิงเทศนา วิธีซึ่งหาตัวจับได้ยาก
อาตมาแม้เป็นอาจารย์ท่าน แต่ก็ยกให้ท่านสำหรับอุบายต่าง ๆ
ที่เราไม่สามารถซึ่งมีอยู่เยอะแยะ
เฉพาะท่านมั่นท่านสามารถจริง
อาตมาเองยังเคยถามปัญหาขัดข้องใจที่ตนไม่สามารถแก้ได้โดยลำพังกับท่าน
แต่ท่านยังสามารถแก้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวด้วยปัญญา
เราพลอยได้คติจากท่านไม่มีประมาณ อาตมาจะมาเชียงใหม่จึงได้นิมนต์ท่านมาด้วย
ซึ่งท่านก็เต็มใจมาไม่ขัดข้อง ส่วนใหญ่ท่านอาจเห็นว่าที่เชียงใหม่เรามีป่า มีภูเขามาก
สะดวกแก่การแสวงหาที่วิเวก ถึงได้ตกลงใจมากับอาตมาก็เป็นได้
เป็นแต่ท่านมิได้แสดงออกเท่านั้นเอง พระอย่างท่านมั่นเป็นพระที่หาได้ยากมาก
อาตมาแม้จะเป็นผู้ใหญ่กว่าท่าน แต่ก็เคารพเลื่อมใสธรรมของท่านอยู่ภายใน
ท่านเองก็ยิ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่ออาตมามากจนละอายท่านในบางคราว
ท่านพักอยู่ที่นี่พอสมควรก็ออกแสวงหาที่วิเวกต่อไป
อาตมาก็จำต้องปล่อยตามอัธยาศัยท่าน ไม่กล้าขัดใจ
เพราะพระจะหาแบบท่านมั่นนี้รู้สึกจะหาได้ยากอย่างยิ่ง
เมื่อท่านมีเจตนามุ่งต่อธรรมอย่างยิ่ง เราก็ควรอนุโมทนา
เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ตนและประชาชน พระเณรในอนาคตอันใกล้นี้
ท่านผู้ใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการอบรมภาวนาก็เชิญไปศึกษาไต่ถามท่าน
จะไม่ผิดหวังแน่นอน แต่กรุณาอย่าไปขอตะกรุดวิชาคาถาอาคมอยู่ยงคงกระพันชาตรี
ความแคล้วคลาดปลอดภัยต่าง ๆ ที่ผิดทาง จะเป็นการไปรบกวนท่านให้ลำบากโดยมิใช่ทาง
บางทีท่านอาจใส่ปัญหาเจ็บแสบเอาบ้างจะว่าอาตมาไม่บอก
เพราะท่านมั่นมิใช่พระประเภทนั้น ท่านเป็นพระจริง ๆ และสั่งสอนคนให้เห็นผิดเห็นถูก
เห็นชั่วเห็นดีและเห็นบาปเห็นบุญจริง ๆ มิได้สั่งสอนออกนอกลู่นอกทางไปจากคลองธรรม
ท่านเป็นพระปฏิบัติจริงและรู้ธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้จริง ๆ
เท่าที่ได้สนทนาธรรมกับท่านแล้วรู้สึกได้ข้อคิดอย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งใคร ๆ ไม่อาจพูดได้อย่างท่านเลยเท่าที่ผ่านมาในสมัยปัจจุบัน
อาตมาเคารพเลื่อมใสท่านมากภายในใจ โดยที่ท่านไม่ทราบว่าอาตมาเคารพท่าน
ถ้าท่านไม่ทราบด้วยญาณเอง เพราะมิได้พูดให้ท่านฟัง ท่านเป็นพระที่น่าเคารพบูชาจริง
ๆ และอยู่ในข่ายแห่งปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส ขั้นใดขั้นหนึ่งแน่นอนไม่สงสัย
แต่ท่านเองมิได้แสดงตัวว่าเป็นพระที่ตั้งอยู่ในธรรมขั้นนั้น ๆ
หากพอรู้ได้ในเวลาสนทนากันโดยเฉพาะ ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
อาตมาเองเชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในอริยธรรมขั้นสามอย่างเต็มภูมิ
ทั้งนี้ทราบจากการแสดงออกแห่งธรรมที่ท่านรู้เห็น
แม้ท่านจะไม่บอกภูมิที่บรรลุว่าภูมินั้น ๆ แต่ก็ทราบได้อย่างไม่มีข้อสงสัย
เพราะธรรมที่ท่านแสดงให้ฟังเป็นธรรมในภูมินั้น ๆ แน่นอน
ไม่ผิดกับปริยัติที่แสดงไว้ ท่านเป็นพระที่มีความเคารพและจงรักภักดีต่ออาตมามากตลอดมา
ไม่เคยแสดงอากัปกิริยากระด้างวางตัวเย่อหยิ่งแต่อย่างใดให้เห็นเลย
นอกจากวางตัวแบบผ้าขี้ริ้ว ซึ่งเห็นแล้วอดเลื่อมใสอย่างจับใจไม่ได้ทุก ๆ
ครั้งไปเท่านั้น นี่เป็นคำของเจ้าคุณอุบาลีฯ
กล่าวชมเชยท่านพระอาจารย์มั่นในที่ลับหลังให้ญาติโยมและพระเณรฟัง
หลังจากท่านแสดงธรรมจบลงแล้วหลีกไป
พระที่ได้ยินคำชมเชยนี้แล้วนำไปเล่าให้ท่านฟัง
ท่านจึงนำเรื่องนี้มาเล่าให้คณะลูกศิษย์ฟังเวลามีโอกาสดี ๆ คำว่า “มุตโตทัย” ที่มีในชีวประวัติย่อของท่าน
ซึ่งพิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพท่าน ก็เป็นนิมิตตกนามไปจากคำชมเชยของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ครั้งนั้นสืบต่อมา ทราบว่าท่านไปพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๒ จนถึงพ.ศ. ๒๔๘๓ จึงได้ไปจังหวัดอุดรตามคำอาราธนาของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์
วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี ตอนเกี่ยวกับอุดรจะรอเขียนลงข้างหน้า
เมื่อเรื่องท่านดำเนินไปถึง
ท่านพักอยู่วัดเจดีย์หลวง
จังหวัดเชียงใหม่ พอสมควรแล้ว ก็กราบลาท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
เพื่อไปเที่ยวแสวงหาที่วิเวกตามอำเภอต่าง ๆ ที่มีป่ามีเขามาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ก็อนุญาตตามอัธยาศัย ท่านเริ่มออกเที่ยวครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่
ทราบว่าท่านไปเที่ยวองค์เดียว จึงเป็นโอกาสอันเหมาะอย่างยิ่ง
ที่ช่วยให้ท่านมีตนเป็นผู้เดียวในการบำเพ็ญเพียรอย่างสมใจที่หิวกระหายมานาน
นับแต่สมัยที่อยู่เกลื่อนกล่นกับหมู่คณะมาหลายปี
เพิ่งได้มีเวลาเป็นของตนในคราวนั้น ทราบว่าท่านเที่ยววิเวกไปทางอำเภอแม่ริม
เชียงดาว เป็นต้น เข้าไปพักในป่าในเขาตามนิสัย ทั้งหน้าแล้งหน้าฝน
การบำเพ็ญเพียรคราวนี้ท่านเล่าว่าเป็นความเพียรขั้นแตกหัก
ท่านพร่ำสอนตนว่าคราวนี้จะดีหรือไม่ดี จะเป็นหรือจะตายต้องเห็นกันแน่นอน
เรื่องอื่น ๆ ไม่มียุ่งเกี่ยวแล้ว
เพราะความสงสารหมู่คณะและการอบรมสั่งสอนก็ได้ทำเต็มความสามารถแล้วไม่มีทางสงสัย
ผลเป็นประการใดก็เห็นประจักษ์มาบ้างแล้ว บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะสงสารตัวเอง
อบรมสั่งสอนตัวเอง ยกตัวเองให้พ้นจากสิ่งมืดมิดปิดบังที่มีอยู่ภายในให้พ้นไป
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่มีภาวะเกี่ยวข้องด้วยหมู่คณะ
เป็นชีวิตที่เกลื่อนกล่นทนทุกข์จนเหลือทน แทบไม่มีเวลาปลีกตัวออกได้
แม้จะมีสติปัญญาพอเป็นเครื่องพาหลบซ่อนผ่อนคลายความทุกข์ได้บ้างไม่เผาลนจนเกินไปก็ตาม
แต่ก็จำต้องยอมรับว่าเป็นชีวิตที่กระเสือกกระสนอดทนต่อความทุกข์ร้อนอยู่นั่นเอง
การบำเพ็ญก็น้อย ผลที่จะพึงได้รับก็นิดเดียว ไม่สมกับความเหนื่อยยากลำบากมานาน
บัดนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่ได้หลีกออกมาบำเพ็ญอยู่คนเดียว
ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด
นี่คือชีวิตของบุคคลผู้เดียวไม่เกี่ยวเกาะ
นี่คือสถานที่อยู่ที่บำเพ็ญที่เป็นและที่ตายของบุคคลผู้มุ่งตัดความเยื่อใยทั้งภายในภายนอกออกจากใจ
มิให้มีสิ่งกังวลเศษเหลืออยู่พอเป็นเชื้อแห่งภพชาติ
อันเป็นที่ไหลมาแห่งกองทุกข์ทั้งมวล
ซึ่งจะตามมาบีบบังคับให้จำต้องทรมานต่อไปไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้
นี่คือสถานที่ของผู้มีความเพียรตามติดเพื่อประชิดต่อสิ่งที่เคยก่อภพก่อชาติ
อันเป็นจอมฉลาดทางปลิ้นปล้อนหลอกลวงให้พลอยหลงตามอยู่ภายใน
ให้ขาดกระเด็นไปจากใจในไม่ช้า
อย่ามัวพะว้าพะวังกับสิ่งโน้นสิ่งนี้
คนโน้นคนนี้ อันเป็นเรื่องของเรือพ่วงที่เพียบด้วยภาระหนัก
จะไปไม่ถึงไหนและใกล้ต่อความอับปาง ทั้งห่างเหินต่อฝั่งแห่งพระนิพพาน
เมื่อถึงที่หมายตามใจหวังแล้ว ความเมตตาสงสารจะดับไปตามกิเลสความเห็นแก่ตัว
ไม่เหลียวแลผู้ใดที่กำลังตกทุกข์
ก็ขอให้รู้กันในวงแห่งความบริสุทธิ์ที่กำลังมุ่งมั่นหวั่นเกรงกลัวจะไม่ถึงอยู่เวลานี้
ขณะนี้จงห่วงใยตัวเอง เมตตาตัวเอง
ให้พอกับความหวังด้วยความเพียรของผู้เป็นศิษย์พระตถาคตผู้ปรากฏเด่นทางความเพียรไม่ลดละและถอยกำลัง
เราทราบหรือยังว่าเวลานี้เรามาทำความเพียรพยายามเพื่อข้ามโลกข้ามสงสาร
มีพระนิพพานเป็นหลักชัย
ไกลกังวลและพ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง
ถ้าทราบแล้วประโยคพยายามของผู้จะข้ามโลกสมมุติท่านดำเนินกันอย่างไรบ้าง
พระศาสดาผู้ทรงพาดำเนินและประกาศสอนธรรมไว้ ท่านพาดำเนินและสอนไว้อย่างไร
ท่านสอนไว้ว่าพอรู้เห็นอรรถธรรมบ้างแล้วให้เริ่มห่วงนั้นห่วงนี้จนลืมตัวหรืออย่างไร? แรกเริ่มที่พระองค์ทรงประกาศพระศาสนาแก่หมู่ชน
โดยมีพระองค์และพระสาวกไม่กี่องค์ที่ควรช่วยพุทธภาระให้เบาลง
และเพื่อพระศาสนาได้แพร่ไปในหมู่ชนกว้างขวางโดยรวดเร็ว ข้อนั้นควรอย่างยิ่ง
สำหรับเราไม่เข้าในลักษณะนั้น จึงควรเห็นตนเป็นสำคัญในขณะนี้ เมื่อตนชอบยิ่งแล้ว
ประโยชน์เพื่อผู้อื่นจะค่อยตามมาอย่างแยกไม่ออก
นี่จัดว่าเป็นผู้รอบคอบและไม่เนิ่นช้า ควรนำมาขบคิดเพื่อเป็นคติแก่ตัวเรา
เวลานี้เรากำลังเข้าอยู่ในสนามรบ
เพื่อชิงชัยระหว่างกิเลสกับมรรค คือข้อปฏิบัติ
เพื่อช่วงชิงจิตให้พ้นจากความเป็นสมบัติสองเจ้าของ มาครองเป็นเอกสิทธิ์แต่ผู้เดียว
ถ้าความเพียรย่อหย่อน ความฉลาดไม่พอ จิตจำต้องหลุดมือตกไปอยู่ในอำนาจของฝ่ายต่ำ
คือกิเลส และพาให้เป็นวัฏจักรหมุนเพื่อความทุกข์ร้อนไปตลอดอนันตกาล
ถ้าเราสามารถด้วยความเพียรและความฉลาดแหลมคม
จิตจำต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือและเป็นสมบัติอันล้นค่าของเราแต่ผู้เดียว
คราวนี้เป็นเวลาที่เรารบรันฟันแทงกับกิเลสอย่างสะบั้นหั่นแหลก
ไม่รีรอย่อหย่อนอ่อนกำลัง โดยเอาชีวิตเข้าประกัน ถ้าไม่ชนะก็ยอมตายกับความเพียรโดยถ่ายเดียว
ไม่ยอมถอยหลังพังทลายให้กิเลสหัวเราะเยาะเย้ยซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอายไปนาน
ถ้าชนะเราก็ครองอิสระอย่างสมบูรณ์ไปตลอดกาล ทางเดินของเรามีทางเดียวเท่านี้
คือต้องสู้จนถึงตายกับความเพียรเพื่อชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น
ไม่มีทางอื่นเป็นทางออกตัว
เหล่านี้เป็นโอวาทที่ท่านพร่ำสอนตัวเองให้เกิดความกล้าหาญ
เพื่อชัยชนะอันเป็นความสมหวังดังใจหมายต่อไป
ก็เป็นประโยคแห่งความเพียรที่ดำเนินตามกฎข้อบังคับแบบตายตัวทั้งกลางวันกลางคืน ยืน
เดิน นั่ง นอน เว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น นอกนั้นเป็นความเพียรไปตลอดสาย สติกับปัญญาหมุนรอบความสัมผัสภายนอกและความคิดภายใน
มีสติกับปัญญาเป็นผู้วินิจฉัยไต่สวนเรื่องที่เกิดกับใจไม่ยอมให้ผ่านไปได้
เพราะสติปัญญาขั้นนี้เป็นธรรมจักรหมุนรอบตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่นิยมอิริยาบถ
ท่านเล่าความเพียรตอนนี้
ผู้ฟังทั้งหลายต่างนั่งตัวแข็งเหมือนไม่มีลมหายใจไปตาม ๆ กัน เพราะเกิดความอัศจรรย์ในธรรมท่านอย่างสุดขีด
เหมือนท่านเปิดประตูพระนิพพานออกให้ดู ทั้งที่ไม่เคยรู้ว่าพระนิพพานเป็นเช่นไรเลย
แม้องค์ท่านเองก็ปรากฏว่ากำลังเร่งฝีเท้าคือความเพียรเพื่อบรรลุพระนิพพานอย่างรีบด่วนอยู่เช่นกันในขณะนั้น
หากแต่ธรรมที่ท่านเล่าเพียงขั้นกำลังดำเนินนั้น
เป็นธรรมที่ผู้ไม่เคยได้ยินมาก่อนจะทรงตัวอยู่ไม่ได้
จำต้องไหวตามด้วยความอัศจรรย์อยู่ดี
ท่านเล่าว่า
จิตท่านทรงอริยธรรมขั้น ๓ อย่างเต็มภูมิมานานแล้ว
แต่ไม่มีเวลาเร่งความเพียรตามใจชอบ เพราะภารกิจเกี่ยวกับหมู่คณะมีมากตลอดมา
พอได้โอกาสคราวไปพักที่เชียงใหม่ จึงได้เร่งความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย
และก็ได้อย่างใจหมายไปทุกระยะ สถานที่บรรยากาศก็อำนวย
พื้นเพของจิตที่เป็นมาดั้งเดิมก็อยู่ในขั้นเตรียมพร้อม
สุขภาพทางร่างกายก็สมบูรณ์ควรแก่ความเพียรทุก ๆ อิริยาบถ ความหวังในธรรมขั้นสุดยอด
ถ้าเป็นตะวันก็กำลังทอแสงอยู่แล้วทุกขณะจิต
ว่าแดนพ้นทุกข์กับเราคงเจอกันในไม่ช้านี้
ท่านเทียบจิตกับธรรมและกิเลสขั้นนี้เหมือนสุนัขไล่เนื้อ
ตัวอ่อนกำลังเต็มที่แล้วเข้าสู่ที่จนมุม
รอคอยแต่วาระสุดท้ายของเนื้อจะตกเข้าสู่ปากและบดเคี้ยวให้แหลกละเอียดอยู่เท่านั้น
ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เพราะเป็นจิตที่สัมปยุตด้วยมหาสติมหาปัญญา
ไม่มีเวลาพลั้งเผลอตัว แม้ไม่ตั้งใจระวังรักษา
เนื่องจากเป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องไปโดยลำพังตนเอง เมื่อทราบเหตุผลแล้วปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง
ไม่ต้องมีการบังคับบัญชาเหมือนขั้นเริ่มแรกปฏิบัติ ว่าต้องพิจารณาสิ่งนั้น
ต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้ อย่าเผลอตัวดังนี้
แต่เป็นสติปัญญาที่มีเหตุมีผลอยู่กับตัวอย่างพร้อมมูลแล้ว
ไม่จำต้องหาเหตุหาผลหรืออุบายต่าง ๆ มาพร่ำสอนสติปัญญาขั้นนี้ให้ออกทำงาน
เพราะในอิริยาบถทั้งสี่เว้นแต่หลับเท่านั้น
เป็นเวลาทำงานของสติปัญญาขั้นนี้ตลอดไป ไม่ขาดวรรคขาดตอน
เหมือนน้ำซับน้ำซึมที่ไหลรินอยู่ตลอดหน้าแล้งหน้าฝน
โดยถือเอาอารมณ์ที่คิดปรุงจากจิตเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา
เพื่อหามูลความจริงจากความคิดปรุงนั้น ๆ ขันธ์สี่คือนามขันธ์ได้แก่ เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ นี่แลคือสนามรบของสติปัญญาขั้นนี้
ส่วนรูปขันธ์เริ่มหมดปัญหามาแต่ปัญญาขั้นกลางที่ทำหน้าที่เพื่ออริยธรรมขั้น ๓ คือ
อนาคามีธรรมนั้นแล้ว
อริยธรรมขั้น
๓ นี้ ต้องถือรูปขันธ์เป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณาอย่างเต็มที่
และละเอียดถี่ถ้วนจนหมดทางสงสัยแล้วผ่านไปอย่างหายห่วง เมื่อถึงขั้นสุดท้าย นามขันธ์เป็นธรรมจำเป็นที่ต้องพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง
ทั้งที่ปรากฏขึ้น ตั้งอยู่และดับไป โดยมีอนัตตาธรรมเป็นที่รวมลง คือ
พิจารณาลงในความว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล หญิง ชาย เรา เขา ไม่มีคำว่าสัตว์ บุคคล
เป็นต้น เข้าไปแทรกสิงอยู่ในนามธรรมเหล่านั้นเลย การเห็นนามธรรมเหล่านี้ต้องเห็นด้วยปัญญาหยั่งทราบตามหลักความจริงจริง
ๆ
ไม่เพียงเห็นด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเดาเอาตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบด้นเดามาประจำสันดาน
ความเห็นตามสัญญากับความเห็นด้วยปัญญาต่างกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน
ความเห็นด้วยสัญญาพาให้ผู้เห็นมีอารมณ์มาก มักเสกสรรตัวว่ามีความรู้มากทั้งที่กำลังหลงมาก
จึงมีทิฐิมานะมากไม่ยอมลงใครง่าย ๆ
เราพอทราบได้เวลาสนทนาธรรมกันในวงนักศึกษาที่ต่างรู้ด้วยความจดจำด้วยกัน
สภาธรรมมักจะกลายเป็นสภามวยฝีปากกันอยู่เสมอ โดยไม่จำกัดชาติชั้นวรรณะและเพศวัยเลย
เพราะความสำคัญตนพาให้เป็นไป จนลืมมรรยาทความเคารพอันดีงามต่อกันตามประเพณีของมนุษย์ผู้มีธรรม
ส่วนความเห็นด้วยปัญญาเป็นความเห็นซึ่งพร้อมที่จะถอดถอนความสำคัญมั่นหมายต่าง ๆ
อันเป็นตัวกิเลสทิฐิมานะน้อยใหญ่ออกไปโดยลำดับที่ปัญญาหยั่งถึง
ถ้าปัญญาหยั่งลงโดยทั่วถึงจริง ๆ กิเลสทั้งมวลก็พังทลายไปหมด ไม่มีกิเลสชนิดใดจะทนต่อสติปัญญาขั้นยอดเยี่ยมไปได้
ฉะนั้น
สติปัญญาจึงเป็นอาวุธชั้นนำของธรรมที่กิเลสทั้งมวลไม่หาญสู้ได้แต่ไหนแต่ไรมา
พระศาสดาได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะสติปัญญา
พระสาวกได้บรรลุถึงพระอรหัตก็เพราะสติปัญญาความรู้จริงเห็นจริง มิได้ถอดถอนกิเลสด้วยสัญญาความคาดหมายหรือเดาเอาเฉย
ๆ เลย นอกจากนำมาใช้พอเป็นแนวทางในขั้นเริ่มแรกเท่านั้น
แม้เช่นนั้นก็จำต้องระวังสัญญาจะแอบแฝงตัวขึ้นมาเป็นความจริงให้หลงตามอยู่ทุกระยะมิได้นิ่งนอนใจ
การประกาศพระศาสนาเพื่อความจริงแก่โลก ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสาวกทรงประกาศด้วยปัญญาความรู้จริงเห็นจริงทั้งนั้น
ดังนั้นผู้ปฏิบัติทางจิตตภาวนาจึงควรระวังเจ้าสัญญาจะแอบเข้าทำหน้าที่แทนปัญญา
โดยรู้เอาหมายเองเฉย ๆ แต่กิเลสแม้ตัวเดียวก็ไม่ถอดออกจากใจบ้างเลย
และอาจกลายเป็นทำนองว่า “ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไปไม่รอด” ก็ได้
ธรรมขั้นรู้เห็นด้วยปัญญานี่แลที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่กาลามชนว่า
ไม่ให้เชื่อแบบสุ่มเดา แบบคาดคะเน ไม่ให้เชื่อตาม ๆ กันมา
ไม่ให้เชื่อตามครูอาจารย์ที่ควรเชื่อได้ เป็นต้น
แต่ให้เชื่อด้วยปัญญาที่หยั่งลงสู่หลักความจริงด้วยตัวเอง
ซึ่งเป็นความรู้ที่แน่ใจอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ท่านมิได้มีคนประกันรับรองว่า ท่านได้บรรลุธรรมจริงอย่างนั้น ไม่จริงอย่างนี้
แต่ สนฺทิฏฺฐิโกมีอยู่กับทุกคน ถ้าปฏิบัติตามธรรมที่แสดงไว้โดยสมควรแก่ธรรม
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า
ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ มีความเพลิดเพลินจนลืมเวล่ำเวลา ลืมวันลืมคืน
ลืมพักผ่อนหลับนอน ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
จิตตั้งท่าแต่จะสู้กิเลสทุกประเภทด้วยความเพียร เพื่อถอดถอนมันพร้อมทั้งราก
โดยไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นเกรงอะไรเลย
นับแต่ออกจากวัดเจดีย์หลวงไปบำเพ็ญโดยลำพังองค์เดียวด้วยเวลาเป็นของตนทุก ๆ ระยะ
ไม่ปล่อยให้วันคืนผ่านไปเปล่า ไม่นานนักเลยก็ไปถึงบึงใหญ่ชื่อ “หนองอ้อ” และ “อ้อนี่เอง” คือนับแต่ขณะปลีกออกไป
จิตท่านเริ่มแสดงตัวอย่างผาดโผนเหมือนม้าอาชาไนยตัวองอาจ
ทั้งจะเหาะเหินเดินฟ้า
ทั้งจะดำดินและบินขึ้นบนอากาศ ทั้งจะออกรู้สิ่งต่าง ๆ
ไม่มีประมาณบรรดามีอยู่ในโลกธาตุ ทั้งจะขุดค้นรื้อถอนกิเลสภายในใจให้หมดสิ้นไป
ประหนึ่งในอึดใจเดียว
เพราะความสามารถอาจหาญของสติปัญญาที่ถูกกักขังบังคับไว้ด้วยภาระเกี่ยวกับหมู่คณะเป็นเวลานาน
มิได้ออกแล่นในห้วงมหาสมมุติมหานิยม
เพื่อชมและเลือกเฟ้นกลั่นกรองให้สุดสติปัญญาที่แสนอยากรู้มานาน
คราวนั้นจึงสบโอกาสวาสนาอำนวย สติปัญญาจึงแผลงฤทธิ์ทะยานออกล่องหนค้นดูไตรโลกธาตุ
ทั้งภายในภายนอก วิ่งออกวิ่งเข้า แหวกว่ายผุดขึ้นดำลง ทั้งปลดทั้งปลง ทั้งปล่อยทั้งวาง
ทั้งตัดทั้งฟัน ทั้งขยี้ทำลายสิ่งจอมปลอมทั้งหลายอย่างสุดกำลัง
เหมือนปลาใหญ่สนุกแหวกว่ายหัวหางกลางตัวในทะเลหลวงฉะนั้น
จิตมองคืนไปข้างหลังที่ผ่านมาแล้ว
เห็นแต่ความตีบตันมืดมิดและเต็มไปด้วยภัยนานาชนิดสุดที่จะรั้งรออยู่ได้ ใจสั่นริก
ๆ เพื่อหาทางรอดพ้น มองไปข้างหน้าเห็นมีแต่ความสง่าผ่าเผยเวิ้งว้างสว่างไสว
สุดความรู้ความเห็นที่จะพรรณนาให้จบสิ้นลงได้
และยากที่จะนำมาเขียนลงเพื่อท่านได้อ่านอย่างสมใจ
จึงขออภัยไว้ด้วยในตอนที่ไม่สามารถจะนำมาลงซึ่งมีอยู่มากมายตามที่ท่านเล่าให้ฟัง
ในเวลาไม่นานนักนับแต่ท่านออกรีบเร่งตักตวงความเพียรด้วยมหาสติมหาปัญญา
ซึ่งเป็นสติปัญญาธรรมจักรหมุนรอบตัวและรอบสิ่งเกี่ยวข้องไม่มีประมาณตลอดเวลา ในคืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัด
ท่านนั่งสมาธิภาวนาอยู่ชายภูเขาที่มีหินพลาญกว้างขวางและเตียนโล่ง
อากาศก็ปลอดโปร่งดี ท่านว่าท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงต้นเดียว
มีใบดกหนาร่มเย็นดี ซึ่งในตอนกลางวันท่านก็เคยอาศัยนั่งภาวนาที่นั้นบ้างในบางวัน
แต่ผู้เขียนจำชื่อต้นไม้และที่อยู่ไม่ได้ว่า เป็นตำบล อำเภอและชายเขาอะไร
เพราะขณะฟังท่านเล่าก็มีแต่ความเพลิดเพลินในธรรมท่านจนลืมคิดเรื่องอื่น ๆ
ไปเสียหมด หลังจากฟังท่านผ่านไปแล้วก็นำธรรมที่ท่านเล่าให้ฟังไปบริกรรมครุ่นคิดแต่ความอัศจรรย์แห่งธรรมนั้นถ่ายเดียวว่า
ตัวเรานี้จะเกิดมาเสียชาติและจะนำวาสนาแห่งความเป็นมนุษย์นี้ไปทิ้งลงในตมในโคลนที่ไหนหนอ
จะมีวาสนาบารมีพอมีวันโผล่หน้าขึ้นมาเห็นธรรมดวงเลิศดังท่านบ้างหรือเปล่าก็ทราบไม่ได้
ดังนี้ จึงลืมไปเสียสิ้น
มิได้สนใจว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องราวกับท่านในวาระต่อไป
ดังได้นำประวัติท่านมาลงอยู่ขณะนี้
นับแต่ตอนเย็นไปตลอดจนถึงยามดึกสงัดของคืนวันนั้น
ท่านว่าใจมีความสัมผัสรับรู้อยู่กับปัจจยาการ คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น
เพียงอย่างเดียว ทั้งเวลาเดินจงกรมตอนหัวค่ำ ทั้งเวลานั่งเข้าที่ภาวนา
จึงทำให้ท่านสนใจพิจารณาในจุดนั้นโดยมิได้สนใจกับหมวดธรรมอื่นใด
ตั้งหน้าพิจารณาอวิชชาอย่างเดียวแต่แรกเริ่มนั่งสมาธิภาวนา
โดยอนุโลมปฏิโลมกลับไปกลับมาอยู่ภายในอันเป็นที่รวมแห่งภพชาติ กิเลสตัณหามีอวิชชาเป็นตัวการ
เริ่มแต่ ๒๐ น. คือ ๒ ทุ่ม ที่ออกจากทางจงกรมแล้วเป็นต้นไป ตอนนี้เป็นตอนสำคัญมาก
ในการรบของท่านระหว่างมหาสติมหาปัญญาอันเป็นอาวุธคมกล้าทันสมัย
กับอวิชชาซึ่งเป็นข้าศึกที่เคยทรงความฉลาดในเชิงหลบหลีกอาวุธอย่างว่องไว
แล้วกลับยิงโต้ตอบให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับพ่ายแพ้ยับเยินไม่เป็นท่า
และครองตำแหน่งกษัตริย์วัฏจักรบนหัวใจสัตว์โลกต่อไปตลอดอนันตกาล
ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับฝีมือได้
แต่ขณะที่ต่อยุทธสงครามกันกับท่านพระอาจารย์มั่นในคืนวันนั้น
ประมาณเวลาราวตี ๓ ผลปรากฏว่า ฝ่ายกษัตริย์วัฏจักรถูกสังหารทำลายบัลลังก์ลงอย่างพินาศขาดสูญ
ปราศจากการต่อสู้และหลบหลีกใด ๆ ทั้งสิ้น กลายเป็นผู้สิ้นฤทธิ์ สิ้นอำนาจ
สิ้นความฉลาดทั้งมวลที่จะครองอำนาจอยู่ต่อไป
ขณะกษัตริย์อวิชชาดับชาติขาดภพลงไปแล้ว
เพราะอาวุธสายฟ้าอันสง่าแหลมคมของท่านสังหาร ท่านว่าขณะนั้นเหมือนโลกธาตุหวั่นไหว เสียงเทวบุตรเทวธิดาทั่วโลกธาตุประกาศก้องสาธุการเสียงสะเทือนสะท้านไปทั่วพิภพ
ว่าศิษย์พระตถาคตปรากฏขึ้นในโลกอีกหนึ่งองค์แล้ว
พวกเราทั้งหลายมีความยินดีและเป็นสุขใจกับท่านมาก แต่ชาวมนุษย์คงไม่มีโอกาสทราบ
อาจมัวแต่เพลิดเพลินหาความสุขทางโลกเกินขอบเขต ไม่มีใครสนใจทราบว่าธรรมประเสริฐในดวงใจเกิดขึ้นในแดนมนุษย์เมื่อสักครู่นี้
พอขณะอัศจรรย์กระเทือนโลกธาตุผ่านไป
เหลือแต่วิสุทธิธรรมภายในใจอันเป็นธรรมชาติแท้ซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ร่างกายและจิตใจ
แผ่กระจายไปทั่วโลกธาตุในเวลานั้น ทำให้ท่านเกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ตัวเองมากมาย
จนไม่สามารถจะบอกกับใครได้
ที่เคยมีเมตตาต่อโลกและสนใจจะอบรมสั่งสอนหมู่คณะและประชาชนมาดั้งเดิม
เลยกลับกลายหายสูญไปหมด เพราะความเห็นธรรมภายในใจว่าเป็นธรรมละเอียดและอัศจรรย์
จนสุดวิสัยของมนุษย์จะรู้เห็นตามได้ และเกิดความท้อใจจนกลายเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย
ไม่คิดจะสั่งสอนใครต่อไปในขณะนั้น
คิดจะเสวยธรรมอัศจรรย์ในท่ามกลางโลกสมมุติแต่ผู้เดียว
ใจหนักไปทางรำพึงรำพันถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู
ทรงรู้จริงเห็นจริง และสั่งสอนเวไนยเพื่อวิมุตติหลุดพ้นจริง ๆ
ไม่มีคำโกหกหลอกลวงแฝงอยู่ในพระโอวาทแม้บทเดียวบาทเดียวเลย
แล้วกราบไหว้บูชาพระคุณท่านไม่มีเวลาอิ่มพอตลอดคืน
จากนั้นก็คิดเมตตาสงสารหมู่ชนเป็นกำลังที่เห็นว่าสุดวิสัยจะสั่งสอนได้
โดยถือเอาความบริสุทธิ์และอัศจรรย์ภายในใจมาเป็นอุปสรรค
ว่าธรรมนี้มิใช่ธรรมของคนมีกิเลสจะครองได้
ถ้าสั่งสอนใครก็เกรงจะถูกหาว่าเป็นบ้า ว่าไปหาเรื่องอะไรมาสั่งสอนกัน คนดี
ๆ มีสติสตังอยู่บ้างเขาจะไม่นำเรื่องทำนองนี้มาสอนกันดังนี้กันทั่วโลก
จะไม่มีใครอาจรู้เห็นตามได้พอเป็นพยานให้เกิดกำลังใจในการสั่งสอน
นอกจากอยู่ไปคนเดียวอย่างนี้พอถึงวันตายเท่านั้น
ก็พอแล้วกับความหวังที่อุตส่าห์เสาะแสวงมาเป็นเวลานาน
อย่าหาเรื่องร้ายใส่ตัวเองเลย จะกลายเป็นว่าทำคุณกลับได้โทษ
โปรดสัตว์กลับได้บาปไปเปล่า ๆ
นี้เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกับท่านขณะที่ค้นพบธรรมอัศจรรย์ใหม่
ๆ ยังมิได้คิดอะไรให้กว้างขวางออกไป
พอมีทางเชื่อมโยงถึงการอบรมสั่งสอนตามแนวศาสนธรรมที่พระศาสดาพาดำเนินมา
ในวาระต่อมาค่อยมีโอกาสทบทวนธรรมที่รู้เห็นและปฏิปทาเครื่องดำเนิน
ตลอดตัวเองที่รู้เห็นธรรมอยู่ขณะนั้นว่า
ก็เป็นมนุษย์เดินดินกินผักกินหญ้าเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป
ไม่มีอะไรพิเศษแตกต่างกันพอจะเป็นบุคคลพิเศษสามารถอาจรู้เฉพาะผู้เดียว
ส่วนผู้อื่นไม่สามารถ ทั้งที่มีอำนาจวาสนาสามารถรู้ได้อาจมีอยู่จำนวนมาก
จึงเป็นความคิดเห็นที่เหยียบย่ำทำลายอำนาจวาสนาของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เพราะความไม่รอบคอบกว้างขวางซึ่งไม่เป็นธรรมเลย
เพราะปฏิปทาเครื่องดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพาน
พระศาสดามิได้ประทานไว้เฉพาะบุคคลเดียว แต่ประทานไว้เพื่อโลกทั้งมวล
ทั้งก่อนและหลังการเสด็จปรินิพพาน
ผู้ตรัสรู้มรรคผลนิพพานตามพระองค์ด้วยปฏิปทาที่ประทานไว้มีจำนวนมหาศาลเหลือที่จะนับจะประมาณ
มิได้มีเฉพาะเราคนเดียวที่กำลังมองข้ามโลกว่าไร้สมรรถภาพอยู่เวลานี้
พอพิจารณาทบทวนทั้งเหตุและผลทั้งต้นและปลายแห่งพระโอวาท
ที่ประกาศปฏิปทาทางดำเนินเพื่อมรรคเพื่อผล
ว่าเป็นธรรมสมบูรณ์สุดส่วนควรแก่สัตว์โลกทั่วไป
ไม่ลำเอียงต่อผู้หนึ่งผู้ใดที่ปฏิบัติชอบอยู่
จึงทำให้เกิดความหวังที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นขึ้นมา
มีความพอใจที่จะอบรมสั่งสอนแก่ผู้มาเกี่ยวข้องอาศัยเท่าที่จะสามารถทั้งสองฝ่าย แต่การแสดงธรรมผู้แสดงต้องมีความเคารพต่อธรรม
ไม่แสดงแก่บุคคลไม่มีความเคารพและไม่สนใจที่จะฟัง
ขณะฟังมีผู้ส่งเสียงอื้ออึงไม่สนใจว่าธรรมมีคุณค่าเพียงไร
ขณะนี้เป็นเวลาเช่นไรและกำลังอยู่ในสถานที่เช่นไร
ควรจะใช้กิริยามรรยาทอย่างใดถึงจะเหมาะสมกับกรณี เห็นเป็นธรรมดา ๆ
แบบโลกที่ชินชาต่อธรรมมาจนจำเจ ชินชาต่อวัด ชินชาต่อพระ ชินชาต่อธรรม
เหมือนสิ่งธรรมดาทั่วไป อย่างนี้ก็แสดงไม่ลง เราก็เป็นโทษ
ผู้ฟังก็ไม่ได้รับประโยชน์ที่ควรจะได้
กว่าจะได้ธรรมมาแสดงก็แทบกระอักเลือดตายอยู่กลางป่ากลางเขาอยู่แล้ว
เพราะความพยายามตะเกียกตะกายสุดกำลัง แถมยังนำธรรมมาละลายกับน้ำในทะเลเสียอีก
ซึ่งมีที่ไหนท่านพากันทำสืบมาพอจะไม่คิดคำนึงบ้าง
สำหรับสมณะซึ่งเป็นเพศที่ใคร่ครวญ แม้แต่กะปิเขายังรู้จักที่ที่ควรละลาย
ธรรมมิใช่กะปิจึงควรพิจารณาด้วยดีก่อนจะนำออกทำประโยชน์
มิฉะนั้นจะกลายเป็นโทษโดยไม่รู้สึกและไม่มีอะไรสำคัญในโลกเลย
การแสดงธรรมก็เพื่ออนุเคราะห์โลก เหมือนหมอวางยาแก่คนไข้เพื่อหายโรคและทุกขเวทนา
หวังความอยู่สบายเป็นผล
ถ้าเขาไม่สนใจอยากฟังก็จะไปกระวนกระวายแสดงธรรมหาประโยชน์อะไร
ถ้าเรามีธรรมในใจจริง
อยู่คนเดียวก็สบายพอแล้ว ไม่จำต้องไปแสวงหาเพื่อนหรือใคร ๆ
มาคุยด้วยเพื่อแก้รำคาญหรือบรรเทาทุกข์
เพราะความอยากเทศน์อยากคุยซึ่งเป็นการเสริมทุกข์แก่ตัวเปล่า ๆ
ผู้ทรงธรรมในลักษณะเช่นนั้นก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้น
ไม่เป็นความจริงใจในธรรมอย่างแท้จริง
ที่ว่ารู้ธรรมเห็นธรรมดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทรงรู้เห็น สำหรับผมเองอยู่คนเดียวเป็นความสนิทใจว่าได้ปรับตัวทั้งทางกายและทางใจได้ดีพอ
เพราะผู้มีธรรมก็คือผู้ไม่กระเพื่อมคะนองทางใจนั่นเอง ธรรมคือความสงบ
ใจที่มีธรรมบรรจุอยู่ก็คือใจดวงสงบระงับจากเรื่องทั้งปวงนั่นแล
ด้วยความรู้สึกประจำใจอย่างนี้แล
จึงชอบอยู่แต่ป่าแต่เขาประจำนิสัย เพราะเป็นที่ให้ความสุขทางวิหารธรรมได้ดีกว่าที่ทั้งหลาย
การสงเคราะห์โลกเป็นกรณีพิเศษที่มีเป็นบางกาล ไม่ถือเป็นความจำเป็นเสมอไป
ดังสุขวิหารธรรมที่จะควรทำให้มีอยู่เสมอในเวลาขันธ์ยังครองตัวอยู่
ไม่เช่นนั้นย่อมไม่สะดวกในการครองตัว ธรรมเมื่อมีอยู่กับเรา เรารู้อยู่ เห็นอยู่
ทรงอยู่ จะกระวนกระวายไปไหน ซึ่งล้วนเป็นการแส่หาทุกข์ทั้งนั้น
ธรรมอยู่ที่ไหนความสงบสุขก็อยู่ที่นั่น
ตามหลักธรรมชาติแล้วธรรมอยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติธรรม
ความสงบสุขจึงมักเกิดขึ้นที่นั้น ที่อื่นไม่มีทางเกิดความสงบสุขได้
การแสดงธรรมผมระวังเอานักเอาหนา
ไม่แสดงแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะธรรมมิใช่ธรรมสุ่มสี่สุ่มห้า
การปฏิบัติธรรมก็มิได้ปฏิบัติแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ปฏิบัติอย่างมีกฎเกณฑ์
มีข้อบังคับ มีระเบียบแบบแผนตำรับตำราพาดำเนิน เวลารู้ก็มิได้รู้สุ่มสี่สุ่มห้า
แต่รู้ตามหลักความจริง ตามความสามารถมากน้อยเพียงไร พระนักปฏิบัติจึงควรระวังและสำนึกตัวเสมอว่า
เรามิใช่พระสุ่มสี่สุ่มห้า
แต่เป็นพระที่มีระเบียบธรรมวินัยคือองค์แทนของศาสดาเป็นเครื่องปฏิบัติดำเนิน
ความสงบเสงี่ยมเจียมตัวระวังกายวาจาใจไม่ให้เคลื่อนไปในทางผิด
นั่นแลคือพระที่ทรงมรรค ทรงผล ทรงธรรม ทรงวินัย จะสามารถทรงตนได้ดีทั้งปัจจุบันและอนาคตไม่เสื่อมเสีย
ท่านว่าท่านพูดถึงการแสดงธรรม
แล้วก็ย้อนมาหาธรรมภายในอีกว่า ขณะที่ธรรมแสดงขึ้นกับใจอย่างเต็มที่
โดยมิได้คิดอ่านไตร่ตรองไว้ก่อนเลยนั้น
เป็นขณะที่ผิดคาดผิดหมายและสุดวิสัยที่จะคาดคะเนหรือด้นเดาให้ถูกกับความจริงของธรรมจริง
ๆ ได้ รู้สึกเหมือนเราตายแล้วเกิดชาติใหม่ขึ้นมาในขณะนั้น
ซึ่งเป็นการตายและการเกิดที่อัศจรรย์ไม่มีอะไรจะเทียบได้
ความรู้ซึ่งเปลี่ยนตัวขึ้นมาที่ว่าเกิดใหม่นี้ เป็นความรู้ที่ไม่เคยพบเคยเห็นทั้ง
ๆ ที่มีอยู่กับตัวมาดั้งเดิม แต่เพิ่งมาปรากฏอย่างตื่นเต้นและอัศจรรย์เหลือประมาณเอาขณะนั้นนั่นเอง
จึงทำให้เกิดความคิดเห็นไปต่าง ๆ ซึ่งออกจะนอกลู่นอกทางไปบ้าง
ตอนคิดว่าไม่มีทางจะสั่งสอนคนอื่นให้รู้ตามได้ เพราะธรรมนี้สุดวิสัยที่ใคร ๆ
จะรู้ได้ ดังนี้
ท่านพระอาจารย์มั่น
ท่านมีนิสัยผาดโผนมาดั้งเดิมนับแต่เริ่มออกปฏิบัติใหม่ ๆ ดังที่เรียนแล้ว
แม้ขณะจิตจะเข้าถึงจุดอันเป็นวาระสุดท้ายก็ยังแสดงลวดลายให้องค์ท่านเองระลึกอยู่ไม่ลืม
ถึงกับได้นำมาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังพอเป็นขวัญใจ คือ
พอจิตพลิกคว่ำวัฏจักรออกจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว
ยังแสดงขณะเป็นลักษณะฉวัดเฉวียนเวียนรอบตัววิวัฏจิตถึงสามรอบ
รอบที่หนึ่งสิ้นสุดลงแสดงบทบาลีขึ้นมาว่า “โลโป” บอกความหมายขึ้นมาพร้อมว่า
ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือการลบสมมุติทั้งสิ้นออกจากใจ
รอบที่สองสิ้นสุดลงแสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “วิมุตติ” บอกความหมายว่า
ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือความหลุดพ้นอย่างตายตัว
รอบที่สามสิ้นสุดลงแสดงคำบาลีขึ้นมาว่า “อนาลโย” บอกความหมายขึ้นมาว่า
ขณะใหญ่ของจิตที่ทำหน้าที่สิ้นสุดลงนั้น คือการตัดอาลัยอาวรณ์โดยสิ้นเชิง
เป็นเอกจิต เอกธรรม จิตแท้ ธรรมแท้มีอันเดียว ไม่มีสองเหมือนสมมุติทั้งหลาย
นี่คือวิมุตติธรรมล้วน ๆ ไม่มีสมมุติเข้าแอบแฝง จึงมีได้เพียงอันเดียว
รู้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่มีสองมีสามมาสืบต่อสนับสนุนกัน
พระพุทธเจ้าและพระสาวกล้วนแต่รู้เพียงครั้งเดียวก็เป็นเอกจิตเอกธรรมอันสมบูรณ์
ไม่แสวงเพื่ออะไรอีก สมมุติภายในคือขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ
ไม่เป็นพิษเป็นภัยและทรงตัวอยู่ตามปกติเดิม
ไม่มีการเพิ่มขึ้นและลดลงตามความตรัสรู้ คือขันธ์ที่เคยนึกคิด เป็นต้น
ก็ทำหน้าที่ของตนไปตามคำสั่งของจิตผู้บงการ
จิตที่เป็นวิมุตติก็หลุดพ้นจากความคละเคล้าพัวพันในขันธ์ ต่างอันต่างอยู่
ต่างอันต่างจริง ต่างไม่หาเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นกันดังที่เคยเป็นมา
ต่างฝ่ายต่างสงบอยู่ตามธรรมชาติของตน
ต่างฝ่ายต่างทำธุระหน้าที่ประจำตนจนกว่าจะถึงกาลแยกย้ายจากส่วนผสม
เมื่อกาลนั้นมาถึงจิตที่บริสุทธิ์ก็แสดง ยถาทีโป จ นิพฺพุโต
เหมือนประทีปดวงไฟที่หมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ไปตามความจริง
เรื่องของสมมุติที่เกี่ยวข้องกันก็มีเพียงเท่านี้
นอกนั้นไม่มีสมมุติจะติดต่อกันให้เกิดเรื่องราวต่อไป
นี่คือธรรมแสดงในจิตท่านขณะแสดงลวดลายเป็นขณะสามรอบจบลง
อันเป็นวาระสุดท้ายแห่งสมมุติกับวิมุตติทำหน้าที่ต่อกัน
และแยกทางกันเดินตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ตลอดคืนวันนั้นท่านว่าท่านปลงความสลดสังเวชในความโง่เขลาเต่าตุ่น
ซึ่งเปรียบเหมือนหุ่นตัวท่องเที่ยวในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีประมาณ จนน้ำตาไหลตลอดคืน
ในขณะที่เดินทางมาพบบึงใหญ่ มีน้ำใสสะอาดรสชาติมหัศจรรย์ที่ไม่เคยพบมาก่อน ชื่อว่า
“หนองอ้อ” และ “อ้อนี้เองหรือ” ที่พระพุทธเจ้าและสาวกท่านค้นพบว่าหนองอ้อ
และประกาศธรรมสอนโลกมาได้ตั้ง ๒,๐๐๐
กว่าปีแล้ว เพิ่งมาพบวันนี้ และกราบพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์อย่างถึงใจ โดยกราบแล้วกราบเล่าอยู่ทำนองนั้นไม่อิ่มพอ
ถ้ามีคนไปพบเห็นเข้า
ซึ่งกำลังนั่งปลงธรรมสังเวชด้วยทั้งน้ำตาและก้มกราบแล้วกราบเล่าอยู่เช่นนั้น
คงจะมีความรู้สึกผิดปกติขึ้นมาทันทีว่า
สมณะรูปนี้เห็นท่าจะมีทุกข์มากถึงกับน้ำตาร่วงไหลออกมา
และคงกราบกรานสารกล่าวเพื่อวิงวอนเทวดาอารักษ์ที่สิงสถิตอยู่ในทิศทั้งหลายให้ช่วยระบายคลายทุกข์ให้อย่างแน่นอน
หรือมิฉะนั้นคงจวนเข้าขั้น……แล้วเป็นแน่ ดังนี้แน่นอน
เพราะเป็นกิริยาที่ผิดปกติเอามากในเวลานั้น ความจริงก็คือท่านถึงพุทธะ ธรรมะ สังฆะ
ประจักษ์ใจในคำว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต และเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ ทางมรรยาทของบุคคลผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมในใจจะพึงทำ
ฝืนทนอยู่มิได้
ในคืนวันนั้นชาวเทพทั้งหลายทั้งเบื้องบนชั้นต่าง
ๆ ทั้งเบื้องล่างทุกทิศทุกทาง
หลังจากพร้อมกันให้สาธุการประสานเสียงสำเนียงไพเราะเสนาะโสตจนสะเทือนโลกธาตุ
เพื่อประกาศอนุโมทนากับท่านแล้ว ยังพร้อมกันมาเยี่ยมฟังธรรมท่านอีกวาระหนึ่ง
แต่ท่านไม่มีเวลารับแขก เพราะภารกิจเกี่ยวกับธรรมขั้นสูงสุดยังไม่ยุติลงเป็นปกติ
ท่านเป็นเพียงให้อาณัติสัญญาณบอกชาวเทพทั้งหลายให้ทราบว่าท่านไม่ว่าง
โอกาสหน้าค่อยมาใหม่ ชาวเทพทุกภูมิพากันกลับไปด้วยความโสมนัสยินดีโดยทั่วกัน
ที่ได้มาพบเห็นวิสุทธิเทพในคืนแรกที่ท่านเห็นธรรม
พอสว่างออกจากที่ภาวนาแล้ว
ท่านยังหวนระลึกถึงธรรมที่แสดงความอัศจรรย์ในตอนกลางคืนอยู่มิได้ลืม
ทั้งขณะที่แสดงความหลุดพ้น ทั้งขณะที่แสดงสามรอบตอนสุดท้ายที่แสดงความหมายต่าง ๆ
ให้ท่านเห็นอย่างละเอียดลออ
ทั้งหวนระลึกคุณของต้นไม้ที่ท่านอาศัยนั่งภาวนาและสถานที่อยู่อาศัย
ตลอดชาวบ้านที่ให้ทานอาหารปัจจัยความเป็นอยู่ทุกอย่างตลอดมา
จนถึงเวลาบิณฑบาตซึ่งทีแรกท่านนึกจะไม่ไปบิณฑบาตมาฉัน
โดยคิดว่าเท่าที่เสวยวิมุตติสุขตอนกลางคืนมาถึงบัดนี้ก็พอกับความต้องการอยู่แล้ว
แต่อดคิดเมตตาสงสารชาวบ้านป่าบ้านเขาที่เคยมีบุญคุณต่อท่านมิได้
เลยจำต้องไปทั้งที่ไม่ประสงค์จะไป
ขณะออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวเขา
สายตาปรากฏว่า ตั้งหน้าตั้งตาจับจ้องมองดูชาวบ้านทั้งที่มาใส่บาตร ทั้งที่อยู่ตามบ้านตามเรือน ตลอดเด็กเล็ก ๆ
ที่เล่นคลุกฝุ่นอยู่ตามหน้าบ้านหลังเรือนด้วยความสนใจและเมตตาสงสารเป็นพิเศษ
ทั้งที่แต่ก่อนไม่ค่อยมองดูใคร
แม้ประชาชนทั้งบ้านก็รู้สึกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ
มองเห็นท่านแล้วต่างยิ้มย่องผ่องใสไปตาม ๆ กัน กลับมาถึงที่พักแล้วใจก็อิ่มธรรม
ธาตุขันธ์ก็อิ่มพอในอาหารทั้งที่ยังมิได้ลงมือฉัน
จิตใจและธาตุขันธ์ไม่รู้สึกหิวโหยอะไรเลย
แต่ก็ฝืนฉันไปตามจารีตของขันธ์ที่มีความสืบต่อกันด้วยอาหารปัจจัยเป็นเครื่องประสาน
ขณะฉันอาหารก็ไม่มีรสชาติ มีแต่รสแห่งธรรมท่วมท้นไปหมดทั่วร่างกายจิตใจ
เข้าในบทธรรมว่า รสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวง
ในคืนต่อมาชาวเทพทั้งหลายที่มีความหิวกระหายในธรรม
ได้พากันมาเยี่ยมท่านเป็น พวก ๆ
ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างแทบทุกทิศทุกทาง ต่างพวกก็มาเล่าความอัศจรรย์แห่งรัศมีและอานุภาพแห่งธรรมของคืนวันนั้นให้ท่านฟังว่า
เหมือนสวรรค์วิมานพิภพ ครุฑ นาค เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์
ทุกชั้นทุกภูมิในแดนโลกธาตุ สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปตาม ๆ กัน
พร้อมกับความอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ส่งแสงสว่างไปทั่วพิภพเบื้องบนเบื้องล่างไม่มีประมาณ
ผู้มีญาณหยั่งทราบต้องสามารถมองเห็นกันได้ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรปิดบัง
เพราะความสว่างไสวแห่งธรรมที่พุ่งออกจากกายจากใจของพระคุณเจ้า
ยิ่งกว่าความสว่างของดวงอาทิตย์ร้อยดวงพันดวงเป็นไหน ๆ
ใครไม่เห็นและเกิดความอัศจรรย์ก็นับว่าเหลือทน
ที่เกิดเป็นคนเป็นสัตว์นอนค้างโลกอยู่เปล่า ๆ
นอกจากสัตว์ตัวมืดมิดปิดทวารเอาเสียจริง ๆ จนไม่มีช่องว่างเอาเลย
ถึงจะไม่รู้ไม่เห็นความอัศจรรย์ของคืนวันนั้น
ใครอยู่ที่ไหนต่างก็ตะลึงพรึงเพริดเกิดพิศวงงงงันและอัศจรรย์ไปตาม ๆ กัน
พวกเทวดาในภพภูมิต่าง ๆ จึงได้พากันเปล่งเสียงสาธุการ
เพื่ออนุโมทนาโพธิสมภารที่เกิดจากบุญบันดาล
เพราะบารมีของพระคุณเจ้าเป็นเสียงเดียวกัน ถ้าไม่อัศจรรย์ถึงขนาดนั้น
ใครจะได้รู้ทั่วถึงกันเลย นับว่าพระคุณเจ้ามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
มีวาสนาบารมีแก่กล้า สามารถทำให้มวลสัตว์มากมายหลายภพหลายภูมิ ได้อาศัยพึ่งร่มเงาแห่งความร่มเย็นจากบารมีท่านได้เป็นสุขทั่วหน้ากัน
นาน ๆ ทีถึงจะมีสักครั้ง
ผู้ไม่มีบุญวาสนาไม่ว่ามนุษย์มนา
เทวดา อินทร์ พรหม ใต้น้ำบนบกในเวหาอากาศทั่วไตรโลกธาตุ
เกิดมาตายเปล่าไม่ได้พบได้เห็นอย่างง่ายดาย
ทั้งนี้นับว่าพวกข้าพเจ้าทั้งหลายมีบุญชักนำมา วาสนาตามส่งถึงได้พบได้เห็น
ได้กราบไหว้บูชาท่านอย่างสมใจ
และได้ฟังโอวาทคำสั่งสอนที่ท่านเมตตาชี้แจงพอเป็นแสงสว่างแก่จิตใจ
และทางดำเนินเพื่อภพเพื่อภูมิอันสูงส่งขึ้นไปด้วยความสดชื่นตื่นตัว
พอพวกเทวดาที่มาจากชั้นและที่ต่าง
ๆ กลับไปตามวาระของตน ซึ่งมาในเวลาต่าง ๆ กันแล้ว
ท่านก็เริ่มรำพึงธรรมที่ได้รู้เห็นมาด้วยความทุกข์ยากลำบาก
ปรากฏได้ความสำหรับท่านผู้ค่อนข้างปฏิบัติยากผิดธรรมดาว่า “ธรรมรอดตาย” ถ้าไม่รอดตายก็คงไม่ได้พบเห็นแน่นอน
เมื่อพยายามแหวกว่ายจนถึงฝั่งแห่งความปลอดภัยไร้ทุกข์แล้ว
จากนั้นพอเริ่มทำภาวนาทีไร ทำให้ท่านหวนระลึกถึงสิ่งที่ไม่ควรระลึกแทบทุกครั้งไป
ทั้งที่แต่ก่อนท่านไม่เคยสนใจเลย
ตอนนี้ต้องขออภัยจากท่านผู้อ่านมาก
ๆ ด้วยที่จำต้องนำเรื่องนี้มาลง โดยเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน
ถ้าไม่นำมาลงก็รู้สึกจะขาดเรื่องน่าคิดไป ซึ่งเรื่องทำนองนี้อาจเป็นเงาเทียมตัวอยู่กับทุกท่านก็ได้
นอกจากไม่รู้เรื่องของตัวเท่านั้น
หากเป็นการไม่งามก็กรุณาตำหนิผู้นำมาลงซึ่งไม่มีความรอบคอบพอ
เพราะเรื่องนี้ท่านผู้อ่านก็คงทราบดีว่า
ต้องเป็นเรื่องภายในที่ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์พูดต่อกันโดยเฉพาะเท่านั้น
แต่ผู้นำมาลงก็พยายามปราบความอยากเขียนอยากนำลงตัวนี้อย่างเต็มกำลังเหมือนกัน
จึงขอความเห็นใจว่าเราพยายามปราบเท่าไร ความอยากตัวนี้ก็รู้สึกยิ่งอยากมากขึ้น
เลยจำต้องปล่อยให้ลองดู พอได้เขียนเรื่องนี้แล้วความอยากค่อยหายไป
ดังนี้จึงสารภาพตัวว่าเหลวจริง ๆ และหวังว่าคงได้รับอภัยจากท่านโดยทั่วกัน
และอาจเป็นข้อคิดสำหรับชาวเราที่อยู่ในกฎแห่งความหมุนเวียนด้วยกัน
สิ่งนั้นเกี่ยวกับคู่บารมีท่านมาดั้งเดิม
ท่านเล่าว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ถึงธรรมขั้นนี้
คู่บารมีที่เคยปรารถนาพุทธภูมิมาด้วยกันแต่สมัยก่อนโน้น ก็เคยมาเยี่ยมท่านทางสมาธิภาวนาเสมอ
ท่านแสดงธรรมให้ฟังเล็กน้อยแล้วสั่งให้กลับไป นาน ๆ มาครั้งหนึ่ง
แต่มาในรูปแห่งวิญญาณ มองร่างไม่ปรากฏเหมือนภพอื่น ๆ
เวลาท่านถามก็ตอบว่าเป็นห่วงท่านมาก
ยังมิได้ตั้งใจไปเกิดในภพภูมิที่เป็นหลักเป็นฐานใด ๆ ทั้งสิ้น
ทั้งกลัวท่านจะหลงลืมความสัมพันธ์ และความปรารถนาที่เคยพาปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต
จึงต้องมาคอยฟังเรื่องราวอยู่เสมอด้วยความเป็นห่วงและเสียดาย
ท่านก็ได้บอกว่าได้ของดความปรารถนานั้นไปแล้ว
และได้ตั้งใจปฏิบัติตนให้พ้นจากทุกข์ในชาตินี้ ไม่ขอเกิดอีก
ซึ่งเท่ากับขอเอาทุกข์ภัยที่เคยพบเคยเห็นมากับชาตินั้น ๆ มาแบกหามต่อไปอีก
แม้มิได้ตอบให้ท่านทราบว่าหายห่วงหรือยังห่วงอยู่ในเรื่องนั้น
แต่ก็ยังเป็นห่วงคิดถึงท่านตลอดมามิได้หลงลืมจืดจาง แต่นาน ๆ
มาเยี่ยมท่านหนหนึ่งดังนี้
พอมาถึงระยะนี้องค์ท่านเองนึกเป็นห่วงและสงสาร
ที่เคยรับความทุกข์ยากลำบากในภพชาตินั้น ๆ มาด้วยกันตามที่ท่านพิจารณารู้เห็น
จึงนึกวิตกอยากพบเพื่อจะได้ปรับปรุงความเข้าใจและเล่าอะไรที่จำเป็นให้ฟัง
จะได้หายสงสัยหมดกังวลความผูกพันในความหลัง เพียงนึกวิตกเท่านั้น
พอตกกลางคืนยามดึกสงัด คู่บารมีท่านก็มาจริง ๆ และมาในรูปแห่งวิญญาณตามเดิม ท่านเริ่มถามถึงภพชาติที่กำลังเป็นอยู่ว่า
ทำไมมีแต่ดวงวิญญาณไม่มีร่างเหมือนภูมิอันเป็นทิพย์ทั่ว ๆ ไป
เวลานี้เกิดเป็นอะไรจึงได้มาในลักษณะวิญญาณเช่นนี้
ดวงวิญญาณตอบท่านว่า
นี่เป็นภพย่อยอันละเอียดอีกภพหนึ่งในบรรดาภพทั้งหลาย
ที่มารออยู่ในภพนี้ก็เพราะความเป็นห่วงดังที่เคยเรียนแล้วนั่นเอง
ที่มานี้ก็ทราบว่าท่านอยากให้มาถึงได้มา
ไม่กล้ามาบ่อยนักเพราะเป็นความกระดากอายอยู่ภายใน ทั้ง ๆ ที่อยากมาบ่อยที่สุด
แม้มาแล้วจะไม่มีความเสียหายอะไรทั้งสองฝ่าย
เพราะมิใช่วิสัยจะทำให้เกิดความเสียหายได้ก็ตาม แต่ความรู้สึกอันดั้งเดิมที่เคยมีต่อกัน
หากทำให้เกิดความตะขิดตะขวงใจไม่กล้ามาไปเอง ทั้งท่านก็เคยบอกว่าไม่ให้มาบ่อยนัก
แม้ไม่เสียหายก็อาจเป็นอารมณ์เครื่องทำให้เนิ่นช้าแก่การปฏิบัติได้
เพราะใจเป็นสิ่งละเอียดอาจรับเอาอารมณ์อันละเอียดมาเป็นอุปสรรคแก่การดำเนินของตนได้
ก็เชื่อว่าอาจเป็นได้ดังที่บอก จึงมิได้มาบ่อยนัก
คืนวันท่านตัดขาดจากภพจากชาติจากญาติมิตรสหาย
จากสายบารมีผู้หวังพึ่งเป็นพึ่งตายอย่างไม่อาลัยเสียดายเลยนั้นก็ทราบ
เพราะเรื่องกระเทือนไปทั่วโลกธาตุต้องทราบกันทุกแห่งหน
แต่แทนที่จะเกิดความชื่นบานหรรษาอนุโมทนาด้วยดังที่เคยมีเคยเป็นมาแต่ก่อนนั้น
เลยกลับเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจด้วยความวิปริตคิดไปต่าง ๆ ว่า ท่านไปแบบไม่เหลียวแล
แม้คู่บารมีที่เคยทุกข์เคยตะเกียกตะกายถวายความจงรักภักดีในภพน้อยภพใหญ่มาด้วยกันก็ไม่เหลือบมอง
ชาติวาสนาของตัวนี้แสนอาภัพก็อยู่ไปตามกรรม มีแต่ลูบคลำทุกข์ไม่มีวันปล่อยวางอย่างนี้แล
ผู้พ้นไปก็ไกลทุกข์ แต่ผู้ที่กำลังตกอยู่ในกองทุกข์ก็อดทนไป
คิดไปมากเท่าไรก็เหมือนคนไม่มีปัญญาแต่อยากขึ้นไปชมเดือนดาวบนฟ้า
สุดท้ายก็กลับมานั่งนอนกอดกับทุกข์ไปตามแบบของคนมีกรรมหนาหาทางออกไม่ได้
ผู้อาภัพชาติวาสนาที่กำลังดิ้นรนทนทุกข์บ่นหาความสุขอยู่เวลานี้
ก็คือผู้กำลังเสียใจ ร้องไห้อยากขึ้นไปชมเดือนชมดาวบนฟ้า
ซึ่งแสนน่าทุเรศเอาหนักหนา น่าเวทนาเหลือประมาณ ผู้นี้เองจะเป็นผู้อื่นใดที่ไหนกัน
ท่านผู้เป็นเสมือนเดือนดาวบนฟ้าส่งสว่างจ้าทั่วสารทิศ
จะสถิตอยู่ที่ใดก็ไม่อับเฉาเขลาในธรรม มีแต่ความสว่างไสวไปทุกทิศทุกทางโดยรอบขอบเขตจักรวาล
สนุกอยู่ด้วยความสำราญบานใจ
หากบุญวาสนาของดวงวิญญาณข้าบาทบริจาริกายังพอมีอยู่บ้างไม่ขาดสูญพูนทุกข์
ก็ขอท่านได้โปรดเมตตาแผ่กระแสธรรมไปบันดาล
พร้อมทั้งดวงปัญญาญาณอันบริสุทธิ์ผ่องใสไปโปรดประทานพอได้พ้นจากโทษในสงสาร บรรลุพระนิพพานตามไปในไม่ช้านี้เถิด
จะไม่อดรนทนทุกข์ทรมานจิตใจไปช้านาน ขอคำวิงวอนสัตยาธิษฐานนี้
จงมีกำลังบันดาลให้เป็นไปดังใจหมายของข้าอย่าเนิ่นนาน
ได้โพธิสมภารอย่างใกล้ชิดเร็วพลันเถิด
นี่เป็นคำของดวงวิญญาณวิงวอนอธิษฐานหวังโพธิสมภาร หมายปองด้วยความละล่ำละลัก
ซึ่งเป็นคำที่น่าสมเพชเวทนาเอานักหนา
ท่านตอบว่าเท่าที่นึกวิตกอยากให้มา
ก็มิได้มุ่งเจตนาให้เกิดความเสียใจดังที่เป็นอยู่เวลานี้ ซึ่งเป็นทางที่ผิด
สัตว์โลกที่มีอยู่ทั่วโลกธาตุซึ่งมีความหวังดีต่อกัน
เขามิได้นำเรื่องทำนองนี้มาคิดกัน คำว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ในพรหมวิหารก็เคยบำเพ็ญมามิใช่หรือ ดวงวิญญาณตอบว่าเคยบำเพ็ญมาช้านาน
จึงอดคิดถึงความผูกพันที่เคยบำเพ็ญธรรมทั้งสี่นี้มาด้วยกันไม่ได้
เมื่อผู้หนึ่งเอาตัวรอดไปเสียเพียงคนเดียวเช่นนี้
ธรรมดาสัตว์ที่มีกิเลสเช่นวิญญาณนี้จึงอดกลั้นความเสียใจไม่ได้ แล้วก็ได้รับความทุกข์
เพราะความสลัดปัดทิ้งไม่เหลียวแลนั้น
จนเวลานี้ก็ยังมองไม่เห็นความสว่างสร่างซาแห่งความทุกข์นั้นลงบ้างเลย
ท่านพูดตอบว่า
การสร้างความดีมาทั้งมวล ทั้งที่สร้างโดยลำพังตนเอง
ทั้งที่ผู้อื่นพาสร้างก็เพื่อแก้ความกังวลขนทุกข์ออกจากตัว มิได้สร้างเพื่อความร้อนรนขนทุกข์เข้าใส่ตัวจนถึงต้องได้รับความเดือดร้อนวุ่นวายมิใช่หรือ
ดวงวิญญาณตอบว่าใช่
แต่วิสัยของผู้มีกิเลสเมื่อไม่สามารถเลือกทางเดินที่ราบรื่นปลอดภัยได้
ก็จำต้องลูบคลำไปตามประสา
โดยไม่ทราบว่าที่ทำไปนั้นถูกหรือผิดจะพาให้ตนเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ส่วนที่เป็นทุกข์ก็รู้อยู่แก่ใจ
แต่ไม่ทราบจะหาทางออกด้วยวิธีใด
ก็จำต้องดิ้นรนบ่นทุกข์ไปทำนองดังที่เห็นอยู่เวลานี้
ท่านเล่าว่าวิญญาณทำความเหนียวแน่นแม่นมั่นปรับทุกข์ปรับร้อนกับท่านอย่างเอาจริงเอาจัง
หาว่าท่านหลบหลีกปลีกตัวไปเสียคนเดียว ปราศจากความเมตตาสงสารกับผู้ที่เคยตะเกียกตะกายเสือกคลานผ่านทุกข์มาด้วยกัน
ไม่เหลือบมองเพื่ออนุเคราะห์ส่งเสริมพอให้มีทางผ่านพ้นไปด้วยได้
ตอนนี้ท่านพูดเป็นประโยคแทรกในระหว่าง
จากนั้นก็อนุสนธิสืบต่อกับดวงวิญญาณต่อไป ท่านพูดปลอบโยนกับดวงวิญญาณว่า
การรับประทานแม้จะรับอยู่ร่วมวงในภาชนะหรือในโต๊ะเดียวกัน
ก็ยังมีผู้อิ่มก่อนผู้อิ่มทีหลัง จะให้อิ่มในขณะเดียวกันย่อมไม่ได้
การบำเพ็ญความดีทั้งหลายแม้จะบำเพ็ญมาด้วยกัน
ดังพระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพายโสธราคู่พระบารมีก็ยังปรากฏว่า
พระองค์ทรงบรรลุถึงแดนพ้นทุกข์ก่อน แล้วเสด็จกลับมาประทานพระโอวาทแก่พระนาง
แล้วค่อยสำเร็จในวาระต่อไป
เรื่องเช่นนี้ก็ควรนำไปคิดอ่านไตร่ตรองยึดเป็นคติ
ย่อมจะเกิดประโยชน์มหาศาลแก่เราเอง ดีกว่าจะมาปรับทุกข์ปรับร้อนแก่ฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งกำลังพยายามคิดหาทางช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มใจ
และเสาะแสวงหาทางเพื่อช่วยให้หลุดพ้นอย่างเต็มกำลัง มิหนำยังถูกหาว่ามีใจจืดจางวางปล่อยไม่เหลียวแล
ก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ทั้งสองฝ่ายเข้าไปอีก ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่เหมาะสมเลย
ควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ตามแบบพระชายาของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นทางให้เกิดความสุขและเป็นแบบฉบับที่ถูกต้องดีงามแก่ผู้อื่นด้วย
การวิตกอยากให้มาก็เพื่อจะอนุเคราะห์
มิได้เพื่อจะขับไล่ไสส่ง
การสั่งสอนตลอดมาก็เพื่ออนุเคราะห์ส่งเสริมตามแบบฉบับแห่งธรรมแก่ผู้ควรอนุเคราะห์
คำว่าปล่อยปละละเลยไม่เหลียวแลนี้
ยังมองไม่เห็นว่าได้ทอดธุระปล่อยวางห่างเหินอย่างไร
ความคิดและอุบายที่แสดงออกทุกขณะจิตที่คิดเพื่ออนุเคราะห์ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยเมตตากรุณาจริง
ๆ เพื่อผลที่ผู้รับไปปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด
ก็รอคอยจะแสดงมุทิตาจิตไปด้วยอยู่เสมอ
หากได้ผลเป็นที่พึงพอใจไม่มีข้องแวะที่ไหนแล้ว ผู้ให้ความอนุเคราะห์ก็เบาใจหายห่วง
จิตกับอุเบกขาธรรมก็เข้ากันได้สนิท
การที่พาปรารถนาพุทธภูมิก็มุ่งจะพาข้ามโลกสงสาร
การของดจากพุทธภูมิมาตั้งความปรารถนาเป็นสาวกภูมิ อันเป็นภูมิของผู้สิ้นกิเลสอาสวะ
ก็เป็นความมุ่งหมายเพื่อจะพาสิ้นกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล
ก้าวเข้าสู่บรมสุขคือพระนิพพานอันเป็นจุดอันเดียวกัน การพาบำเพ็ญกุศลในชาติต่าง ๆ
ตลอดมาจนชาติปัจจุบันได้มาบวชบำเพ็ญในศาสนา มีสติปัญญาเพียงใด
พอติดต่อข่าวสารถึงได้ก็พยายามเสมอมา
จนได้มาพบเห็นกันในภพนี้และได้ให้โอวาทสั่งสอนเต็มสติปัญญาตลอดมาถึงปัจจุบันบัดนี้
ล้วนเป็นอุบายวิธีอนุเคราะห์ด้วยความเมตตาสงสารสุดที่จะประมาณอยู่แล้ว
ไม่มีขณะจิตใดที่จะทอดอาลัยหมายหลีกปลีกตัวให้พ้นไปแต่ผู้เดียว
แต่เป็นขณะจิตที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงสงสาร
หวังจะฉุดจะลากจะพรากออกจากกองทุกข์ภพชาติในสงสาร
ให้ถึงพระนิพพานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ความคิดวิปริตไปในทางน้อยเนื้อต่ำใจ
ที่สำคัญว่าทอดทิ้งปล่อยวางไม่เหลียวแลนี้ เป็นความคิดที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสองฝ่าย
จึงควรระงับดับมันเสีย อย่าให้เกิดมีขึ้นมาเหยียบย่ำทำลายจิตใจอีกต่อไป
ผลคือความทุกข์จะตามมาอีกไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้ตลอดกาล
และผิดกับความมุ่งหมายของผู้หวังอนุเคราะห์ด้วยใจเมตตาสงสารตลอดมา
คำว่าหลุดพ้นไปไม่อาลัยอาวรณ์นั้น หลุดพ้นไปไหน? และไม่อาลัยผู้ใด? เพราะขณะนี้กำลังช่วยฉุดลากช่วยถากช่วยถาง
ช่วยอนุเคราะห์กันอยู่อย่างเต็มกำลัง
แม้การอบรมสั่งสอนทั้งมวลก็ล้วนออกจากความอาลัยสงสารโดยถ่ายเดียวมิใช่หรือ? จะหาความอาลัยสงสารจากที่ไหนให้ยิ่งกว่าที่กำลังให้และกำลังได้รับอยู่เวลานี้
การอบรมบ่มนิสัยเพื่อการเชิดชูส่งเสริมตลอดมา
ก็ได้ถอดออกมาจากดวงใจที่เปี่ยมด้วยความสงสารยิ่งกว่าน้ำในทะเลมหาสมุทร
และได้ทุ่มเทลงอย่างไม่อัดไม่อั้นไม่คิดเป็นคิดตาย
และคิดจะหมดหรือยังเหลืออยู่ในบรรดาธรรมที่มีอยู่ภายในใจ
ขอได้เข้าใจตามเจตนาที่หวังอนุเคราะห์อยู่เสมอมา และรับไปเป็นสิริมงคลแก่ตนตามธรรมที่อบรมสั่งสอนมานี้
ผลคือความสุขใจจะเป็นที่ยอมรับอยู่กับตัวผู้เชื่อถือและปฏิบัติตาม
นับแต่ออกบวชและปฏิบัติธรรมแทบเป็นแทบตาย
แม้แต่ขณะจิตหนึ่งที่คิดขึ้นเพื่อเป็นคนใจดำน้ำขุ่นยังไม่เคยปรากฏว่ามีเลย
การวิตกคิดถึงอยากให้มาหาก็มิได้หวังเพื่อจะต้มตุ๋นหลอกลวงให้ล่มจมเสียหาย
แต่หวังจะอนุเคราะห์อย่างสมใจที่เมตตาสงสารอย่างเดียวเท่านั้น
ถ้ายังเป็นที่เชื่อถือไม่ได้อยู่แล้ว
ก็ยากที่จะไปแสวงหาความเชื่อถือที่ไว้วางใจได้จากผู้ใด
ที่เห็นว่าดีเยี่ยมและซื่อสัตย์สุจริตยิ่งกว่านี้
ที่ว่าทราบเรื่องสะเทือนโลกธาตุในคืนวันนั้น
นั้นเป็นการทราบความสะเทือนแห่งธรรมประเภทหลอกลวงต้มตุ๋นให้โลกล่มจมปรากฏขึ้นหรืออย่างไร? จึงไม่แน่ใจและปลงใจที่จะยอมเชื่อถือตามคำอบรมสั่งสอนที่ตั้งใจอนุเคราะห์ด้วยความเมตตา
ถ้าเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรมแล้ว ความสะเทือนโลกธาตุนั้นก็ควรนำมาคิดเพื่อปลงจิตปลงใจเชื่อถือ
และเย็นใจว่าเรายังมีวาสนาบารมีอยู่มาก
แม้มาอุบัติในภพชาติที่ลึกลับควรจะสุดวิสัยแล้ว
แต่ยังได้รับฟังสิ่งดีชั่วของตัวจากธรรมที่มีผู้เมตตาแสดงให้ฟังได้ไม่เสียกาลไปเปล่า
นับว่าเป็นโชควาสนาของเราที่เคยสั่งสมอบรมมา
และควรจะภาคภูมิใจในวาสนาของตัวที่มีผู้มาฉุดมาลาก
มาช่วยพรากจากความมืดมนอนธการ พอได้รู้ความผิดพลาดของตัวบ้าง
ไม่มืดบอดจอดจมไปถ่ายเดียว
หากคิดอย่างนี้ก็น่าอนุโมทนาสาธุการและพลอยเบาใจหายห่วงไปด้วย
ไม่เป็นความคิดที่ให้ทุกข์ผูกมัดรัดตัวจนพากันหาทางออกมิได้ เพราะธรรมกลายเป็นโลก
ความห่วงใยสงสารกลายเป็นศัตรูคู่ก่อเวร
ขณะที่ฟังท่านสั่งสอนด้วยความเมตตาสงสาร
เหมือนสายน้ำทิพย์ในลำธารประพรมโสรจสรงด้วยทั้งเหตุและผลระคนคละเคล้ากันไปไม่หยุดหย่อน
บาทบริจาริกาคู่บารมีกลับได้สติ
กลายเป็นผู้มีใจอ่อนน้อมยอมรับธรรมด้วยความซาบซึ้งเพลิดเพลินจนลืมเวล่ำเวลา พอจบเทศนาวินิจฉัยปัญหาก็ยอมตนเป็นผู้ผิด
ว่ามาทำให้ท่านได้รับความลำบากลำบน เพราะความมืดมนด้วยความรักความอาลัย
โดยเข้าใจว่าท่านปล่อยท่านวางไปกับดินกับหญ้าไม่เมตตาเอื้อเฟื้ออาลัย
จึงเกิดความเสียอกเสียใจจนไม่มีที่ปลงที่วาง นึกว่าตนไร้ญาติขาดมิตรปลิดชีวิตชีวา
ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย มาบัดนี้ได้รับความสว่างจากดวงธรรม ใจเกิดความเย็นฉ่ำเป็นสุข
ทุกข์ที่เคยแบกหามมาก็ปลงวางลงได้
เพราะธรรมเหมือนน้ำอมฤตรดโสรจสรงชะล้างให้เกิดความสว่างไสวขึ้นมา
โทษใดที่ได้ล่วงเกินพระคุณท่านด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ขอได้โปรดประทานโทษนั้นให้แก่ข้าบาทดวงวิญญาณ
เพื่อจะได้ตั้งหน้าสำรวมระวังต่อไปตลอดอวสาน ไม่หลงลืมผิดพลาดขลาดเขลาอีกต่อไป
จากนั้น
ท่านก็อธิบายแนะนำเกี่ยวกับภพกำเนิดว่า
ขอให้ไปเกิดในภพที่เป็นหลักฐานอันสมควรแก่ภาวะของตน
ไม่ควรมากังวลวกเวียนเกี่ยวข้องกับความเป็นห่วงใยดังที่เคยเป็นมาอีกต่อไป
ดวงวิญญาณยินดีรับคำท่านด้วยความเคารพนบน้อม ก่อนจะจากไปได้กราบขอพรว่า
เมื่อได้ไปเกิดในภพที่เหมาะสมแล้ว
ขอให้ได้มารับฟังโอวาทตามความปรารถนาดังที่เคยทำมา
ขอได้โปรดประทานพรตามใจหวังเถิด
เมื่อท่านอนุญาตแล้วก็หายไปในขณะนั้น พอดวงวิญญาณจากไปแล้ว จิตถอนขึ้นมาราวตี
๕ จวนสว่าง คืนนั้นท่านมิได้พักผ่อนร่างกายเลย
เพราะเริ่มนั่งสมาธิภาวนาแต่ขณะออกจากทางจงกรมราว ๒๐ น.
ตอนดึกก็รับแขกวิญญาณเสียหลายชั่วโมง
ท่านเล่าว่า
ต่อมาไม่นานนัก ดวงวิญญาณก็มาเยี่ยมฟังเทศน์ท่านอีก
คราวนี้มาในร่างแห่งเทวดาผู้มีรูปสวยงามมาก แต่มิได้ตกแต่งด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ
ตามปกติของพวกเทวดาที่ทำกัน
เพราะมาหาพระองค์สำคัญซึ่งเทวดาถือเป็นความเคารพมากโดยทั่วไป
พอเทวดามาถึงก็เล่าถวายท่านว่า
พอได้รับคำชี้แจงจากท่านให้หายสงสัยไร้ทุกข์ที่เคยทรมานใจมาแล้ว
ก็ไปอุบัติเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพ ซึ่งมีความสุขสนุกสนานด้วยเครื่องบำรุงบำเรอต่าง
ๆ ที่ล้วนแต่สำเร็จไปจากการบำเพ็ญเมื่ออยู่กับท่านในเมืองมนุษย์ทั้งนั้น
แม้จะมีความสุขสบายตามวิบากกรรมอำนวยก็ตาม แต่ก็อดระลึกมิได้ว่า
วิบากสมบัติที่ปรากฏให้ได้รับเสวยเหล่านั้น
ล้วนเป็นสาเหตุไปจากพระคุณท่านเป็นผู้พาริเริ่มบำเพ็ญแต่ต้นมา
เพียงลำพังตัวผู้เดียวไม่มีปัญญาสามารถคิดอ่านบำเพ็ญให้สำเร็จเป็นสมบัติที่พึงพอใจอย่างมหาศาลเช่นนั้นได้
เวลามีวาสนาได้ไปเกิดในกองมหาสมบัติอันเป็นทิพย์และมีความสุขสบายหายโกรธแค้นน้อยใจแล้ว
จึงได้ระลึกถึงพระคุณของท่านที่มีแก่ตนอย่างมากมายเหลือที่จะประมาณได้
ฉะนั้นการเลือกเฟ้นในทุกสิ่ง
ไม่ว่าการงาน อาหารและสิ่งของนานาชนิด ตลอดมิตรสหายเพื่อนหญิงเพื่อนชายที่ควรก่อน
เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ต้องการครองตัวด้วยความราบรื่นจะพึงถือเป็นกิจจำเป็น
เฉพาะอย่างยิ่งการเลือกคู่ครองเพื่อหวังพึ่งเป็นพึ่งตายจริง ๆ
ควรถือเป็นกรณีพิเศษกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะคู่ครองนั้นเป็นเหมือนกับใช้ลมหายใจและความเป็นอยู่ทุกด้านร่วมอันเดียวกัน
ความสุข ทุกข์ น้อยมากย่อมเป็นสิ่งกระเทือนถึงกันทุกระยะ ผู้ได้คู่ครองที่ดี
แม้ตัวจะต่ำบ้างทางฐานะความรู้ความฉลาด การประพฤติ จริตนิสัย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คอยฉุดคอยลากคอยให้คติเตือนใจเสมอ
และพาประพฤติดำเนินในกิจการต่าง ๆ
ทั้งทางโลกอันเป็นเครื่องส่งเสริมครอบครัวให้มั่นคงและสงบสุข
และทางธรรมซึ่งเป็นความดีงามแก่จิตใจ ตลอดการงานอย่างอื่นที่พลอยมีส่วนดีงามไปด้วย
ไม่มืดมิดปิดตากำดำกำขาวไปถ่ายเดียว โดยหาความแน่นอนและรับรองผลไม่ได้
ถ้าต่างฝ่ายต่างดีด้วยกันก็เท่ากับต่างช่วยกันสร้างวิมานหลังใหญ่ในครอบครัว
ให้อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันไปตลอดอวสาน ไม่มีการทะเลาะวิวาทถกเถียงกัน
ครัวเรือนย่อมเป็นสุข ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมารบกวน
เพราะต่างฝ่ายต่างสร้างสรรค์ ต่างฝ่ายต่างสำรวมระวัง
ต่างฝ่ายต่างตั้งอยู่ในเหตุผลหลักธรรม ไม่ทำตามใจชอบที่ผิดจากหลักศีลธรรม
อันเป็นหลักรับรองความร่มเย็นผาสุกต่อกัน
คู่ครองแต่ละฝ่ายจึงเป็นผู้ช่วยกันสร้างกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ บุญ บาป นรก
สวรรค์เกี่ยวเนื่องกันแต่เริ่มต้นชีวิตร่วมกันเป็นต้นไปเหมือนลูกโซ่
ทั้งปัจจุบันชาตินี้ตลอดอนาคตของภพชาติต่อไปดังข้าบาทได้เห็นประจักษ์กับตัวเอง
(คำว่า ข้าบาทเป็นคำแทนชื่อที่ถนัดใจของเทวดา เรียกตัวเองกับท่านพระอาจารย์มั่น)
ที่ได้มีบุญติดสอยห้อยตามบาทไปในภพชาติต่าง ๆ
ด้วยการนำของพระคุณท่านพาสร้างแต่ความดีมาประจำนิสัย
ไม่พาสร้างบาปกรรมทำชั่วมัวหมองเลย จึงพลอยได้เป็นคนดีติดตามบาทมาแทบทุกชาติทุกภพ
และพาให้แคล้วคลาดจากภัยเวรทั้งหลายตลอดมา
นึกถึงพระคุณแล้วทำให้ซึ้งในจิตใจสุดที่จะเรียนได้ถูก
คราวนี้ข้าบาทได้เห็นโทษของตัวที่เคยผิดพลาดล่วงเกินพระคุณท่านมาในอดีต ทั้งชาติแห่งวิญญาณและอดีตกาลที่ผ่านมานาน
ขอท่านได้โปรดเมตตาอโหสิกรรมนำเสียซึ่งโทษ
อย่าได้มีกรรมมีเวรสืบต่อเกี่ยวข้องอีกต่อไป
ท่านได้อโหสิกรรมแก่เทวดาตามความปรารถนา
และได้แสดงธรรมอบรมส่งเสริมบารมีให้เป็นที่รื่นเริงจนควรแก่กาลแล้ว
เทวดานมัสการลากระทำประทักษิณสามรอบ หลีกออกห่างจากท่านพอประมาณ
แล้วเหาะลอยขึ้นสู่อากาศด้วยความโสมนัสศรัทธาเป็นล้นพ้น
ระหว่างวิญญาณมาปรับทุกข์ด้วยความน้อยอกน้อยใจกับท่าน
รู้สึกว่าพิสดารเหลือจะพรรณนา ผู้เขียนไม่สามารถนำมาลงได้ทุกประโยคไป
จึงขออภัยท่านไว้ด้วย เท่าที่จำได้และนำมาลงนี้ก็ไม่ค่อยสนิทใจนัก
ถ้าจะผ่านไปก็รู้สึกจะขาดเนื้อเรื่องที่น่าคิดไป
ดังที่เรียนไว้แล้วตอนก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้
หลังจากท่านเดินทางถึงแดนแห่งวิมุตติแล้ว
คืนต่อ ๆ
มามีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำนวนมากเสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่านเสมอมิได้ขาด
คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับพระสาวกบริวารเป็นจำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม
คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับสาวกบริวารจำนวนแสนเสด็จมาเยี่ยม
คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีสาวกเท่านั้นเสด็จมาเยี่ยมอนุโมทนา
จำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์นั้นมีจำนวนไม่เท่ากัน
ทั้งนี้ท่านว่าขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เหมือนกัน
ที่พระสาวกตามเสด็จมาด้วยแต่ละพระองค์นั้น
มิได้ตามเสด็จมาทั้งหมดในบรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์ที่มีอยู่
แต่ที่ตามเสด็จมามากน้อยต่างกันนั้น พอแสดงให้เห็นภูมิพระวาสนาบารมีของแต่ละพระองค์นั้นต่างกันเท่านั้น
บรรดาพระสาวกจำนวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตามเสด็จมานั้น
มีสามเณรติดตามมาด้วยครั้งละไม่น้อยเลย ท่านสงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า
คำว่าพระอรหันต์ในนามธรรมนั้นมิได้หมายเฉพาะพระ
แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจดก็นับเข้าในจำนวนสาวกอรหันต์ด้วย
ฉะนั้นที่สามเณรติดตามมาด้วยจึงไม่ขัดกัน
ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่พระอาจารย์มั่นนั้น
ส่วนใหญ่มีว่า
เราตถาคตทราบว่าเธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏทุกข์
จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา ที่คุมขังแหล่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก
และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง
จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้
เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา
ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง
ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น
ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา
สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง
ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไร
สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้
ถ้าไม่รับยาคือธรรมจะไม่มีวันหายได้
ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ
และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล ธรรมแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ
ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม
ธรรมก็อยู่แบบธรรม
สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก
โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงได้เมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้
ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม
พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงไร
ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น
ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอยู่อย่างเดียวกัน
คือสอนให้ละชั่วทำดีทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้
เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้
เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้วเป็นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว
นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัณหาของตัวเสียเอง
แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น
ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประเภทต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม
คนที่คล้อยตามมันจึงเป็นผู้ลืมธรรมไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม
โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นให้โทษ
ประเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกล ย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ
เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน
โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ที่พอจะปลงวางลงได้
จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน โดยไม่นิยมสัตว์น้ำ สัตว์บก
สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน เพราะสิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ
ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น ที่นี่เธอเห็นพระตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ? พระตถาคตแท้คืออะไร
คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้
มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก
เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้
นี่เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุติต่างหาก
ท่านพระอาจารย์กราบทูลว่า
ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยก็คือ
พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่เลย
แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว
แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมุติอยู่
ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน
คือต้องมาในร่างสมมุติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้
ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่
ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก
ฉะนั้นการมาในร่างสมมุตินี้จึงเพื่อสมมุติเท่านั้น
ถ้าไม่มีสมมุติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา
พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต
คือสมมุติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น
ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้น
ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ
เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมุติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย
ก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมุติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้
ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ ต้องอาศัยสมมุติเป็นหลักพิจารณา
ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้
ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ
ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้
เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมุติในเวลาต้องการอยู่
วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะสมกัน ถ้าเป็นวิมุตติล้วน ๆ
เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้น
ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ก็จำต้องนำสมมุติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น
พอมีทางทราบกันได้ว่าวิมุตติมีลักษณะว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวง
มีความสว่างไสวประจำตัว มีความสงบสุขเหนือสิ่งใด ๆ เป็นต้น
พอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมุติทั่ว ๆ ไป
ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว
จึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมุติในบางคราวที่ควรแก่กรณี
และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติ ไม่แสดงอาการ
ที่เธอถามเราตถาคตนั้น
ถามด้วยความสงสัย หรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน ท่านกราบทูลว่า
ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมุติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย
แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมุติเท่านั้น
แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัยว่าพระพุทธเจ้า
พระธรรมและพระสงฆ์อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
มีใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมุติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย
แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น
บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้น
มิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลย
มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียว
ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
น่าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้น แม้สามเณรองค์เล็ก ๆ
ที่น่ารักมากกว่าจะน่าเคารพเลื่อมใส ก็นั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม
เช่นเดียวกับพระสาวกทั้งหลาย อันเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสมากและน่ารักมากด้วย
ซึ่งยังอยู่ในวัยเล็กมากก็มี อายุราว ๙ ขวบ ๑๐ ขวบ ๑๑–๑๒ ขวบ ซึ่งน่ารักมาก
ท่านเล่าว่าพอเห็นสามเณรอรหันต์แล้ว ท่านเกิดความรู้สึกรักมากและสงสารมาก
ถ้าตามภาษาของผู้ใหญ่พูดกับเด็กธรรมดาทั่วไปก็ว่า เณรตัวเล็ก ๆ ตาใสแจ๋ว
ใครเห็นแล้วก็อดที่จะรักไม่ได้
ดีไม่ดีถ้าไม่ทราบไว้ก่อนว่าท่านเป็นสามเณรอรหันต์แล้ว น่ากลัวจะดื้อ มือไปคว้าเอาศีรษะท่านขยี้เขย่าเล่นโดยมิได้สำนึกในบาปแน่
ท่านพูดมาตอนนี้เลยนึกคันมือขึ้นมาว่า
ถึงผู้เขียนก็เถอะอาจเป็นผู้หนึ่งก่อนใครที่จะอดคว้าไม่ได้ เป็นอะไรเป็นกัน
แล้วค่อยขอขมาโทษท่านทีหลัง เพราะอดรักอดเล่นไม่ได้
ท่านว่าแม้ท่านจะเป็นสามเณรองค์เล็ก ๆ ก็ตาม แต่มรรยาทท่านเป็นผู้ใหญ่สงบเสงี่ยมสวยงามมากเหมือนพระสาวกทั้งหลาย
สรุปแล้วบรรดาพระสาวกอรหันต์และสามเณรที่ตามเสด็จมากับพระพุทธเจ้าแต่ละครั้ง
ล้วนมีมรรยาทอันสวยงามน่าเคารพเลื่อมใสมาก
เหมือนผ้าที่ถูกพับและเก็บไว้เป็นระเบียบงามตา
ฉะนั้นเวลาท่านเกิดความสงสัยเกี่ยวกับระเบียบขนบประเพณีดั้งเดิม
เช่น การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ความเคารพต่อกันระหว่างผู้อาวุโสกับภันเต
และการครองผ้าเวลานั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมจำเป็นทุกครั้งไปหรือไม่อย่างไร
ขณะนั่งภาวนาท่านนึกวิตก
อยากทราบความจริงที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกพาดำเนินมาก่อนท่านทำกันอย่างไรดังนี้
ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงวิธีให้ดูเอง
ก็เป็นพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งมาแสดงให้ดูตัวอย่างจนได้ เช่น
การเดินจงกรมจะควรปฏิบัติตัวอย่างไรในขณะเดินถึงจะถูกต้อง
และเป็นความเคารพธรรมตามหน้าที่ของผู้สนใจเคารพธรรมในเวลาเช่นนั้น
ท่านก็เสด็จมาแสดงวิธีวางมือ วิธีก้าวเดิน วิธีสำรวมตนในเวลาเดินให้ดูอย่างละเอียด
บางครั้งก็ประทานพระโอวาทประกอบกับวิธีแสดงด้วย บางครั้งก็แสดงเพียงวิธีต่าง ๆ
ให้ดู แม้พระสาวกอรหันต์มาแสดงให้ดูก็ทำในลักษณะเดียวกัน การนั่งทำสมาธิทำอย่างไร
ควรหันหน้าไปทางทิศใดเป็นการเหมาะกว่าทิศอื่น ๆ
ท่านั่งจะตั้งตัวอย่างไรเป็นการเหมาะสมในขณะนั้น ท่านแสดงให้ดูทุกวิธี
ความเคารพต่อกันระหว่างอาวุโสกับภันเต
ตอนนี้ท่านเล่าแปลกอยู่บ้าง คือขณะที่ท่านนึกวิตกอยากทราบว่า
ครั้งพุทธกาลท่านปฏิบัติต่อกันอย่างไรที่เป็นสามีจิกรรมต่อกันโดยชอบธรรม
พอวิตกไม่นาน ก็ปรากฏมีพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหนุ่มทั้งแก่และแก่จนหง่อมศีรษะหงอกขาวไปหมด
ตลอดสามเณรเล็ก ๆ และโตพอประมาณ ซึ่งล้วนอยู่ในวัยที่น่ารักตามเสด็จมามากมาย
แต่การเสด็จมาของพระพุทธเจ้ากับการมาของพระสาวกทั้งหลายมิได้มาพร้อมกัน
ต่างองค์ต่างมา องค์ใดมาถึงก่อนองค์นั้นก็นั่งอาสนะข้างหน้า
องค์มาที่สองที่สามก็นั่งรองกันลงมาตามลำดับที่มาถึง ไม่นิยมวัยและอาวุโสภันเต
แม้สามเณรมาถึงก่อนก็นั่งข้างหน้าพระ จนถึงองค์สุดท้าย องค์แก่ ๆ
รุ่นปู่รุ่นทวดสามเณร มาถึงทีหลังก็ต้องนั่งอาสนะสุดท้าย
โดยมิได้มีองค์ใดแสดงกิริยาขวยเขินกระดากอายต่อกันเลย
แม้องค์พระพุทธเจ้าเองเสด็จมาถึงลำดับใดก็ประทับอาสนะนั้นที่ควรแก่ผู้มาถึงทีหลัง
ท่านเห็นอาการอย่างนั้นจึงเกิดความสงสัยว่า
พระครั้งพุทธกาลไม่มีการเคารพกันบ้างหรืออย่างไรถึงได้ทำอย่างนี้
ดูไม่มีระเบียบงามตาบ้างเลย แล้วพระพุทธเจ้าและพระสาวกทรงประกาศพระศาสนาให้ประชาชนเคารพนับถือได้อย่างไร
เมื่อพระศาสนาและผู้นำของพระศาสนาตลอดผู้ปฏิบัติศาสนาอย่างใกล้ชิด
ประพฤติต่อกันอย่างไม่มีระเบียบเช่นนั้น สักประเดี๋ยวธรรมก็ผุดขึ้นมาในใจท่านเอง
โดยพระพุทธเจ้าและสาวกยังมิได้ประทานโอวาทแต่อย่างใด ว่านี่คือวิสุทธิธรรม ล้วน ๆ ไม่มีสมมุติเข้าเจือปนเลย
จึงไม่มีกฎข้อบังคับหรือระเบียบใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
ที่แสดงอย่างนี้แสดงเรื่องวิสุทธิธรรมที่เป็นความเสมอภาคทั่วกัน ไม่นิยมว่าอ่อน
ว่าแก่ ว่าสูง ว่าต่ำ อันเป็นเรื่องของสมมุติ
นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกอรหันต์องค์สุดท้าย จะเป็นพระหรือเณรไม่จำกัด
แต่มีความเสมอภาคกันด้วยความบริสุทธิ์
ท่านแสดงบุคคลาธิษฐานในลักษณะนี้
เป็นเครื่องบอกถึงความบริสุทธิ์ของกันและกันว่า
ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากันบรรดาพระและเณรที่เป็นอรหันต์ด้วยกัน
พอธรรมที่แสดงขึ้นสงบลง
ท่านนึกวิตกอีกว่า ท่านเคารพกันตามสมมุตินั้นเคารพกันอย่างไรบ้างหนอ
พอความคิดวิตกระงับลง ภาพของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายที่ประทับนั่ง
และนั่งกันอย่างไม่มีระเบียบอยู่ขณะนั้น ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
และเปลี่ยนท่าประทับและท่านั่งใหม่ทันที คราวนี้ปรากฏว่า
พระพุทธเจ้าประทับนั่งเป็นประมุขอยู่ข้างหน้าสงฆ์ สามเณรองค์เล็ก ๆ
ที่มาถึงก่อนและเคยนั่งอยู่ข้างหน้า
ก็ได้เปลี่ยนเป็นนั่งอยู่สุดท้ายอย่างมีระเบียบงามตาน่าเคารพเลื่อมใสมาก
ขณะนั้นธรรมผุดขึ้นในใจท่านว่า
นี่คือระเบียบและขนบประเพณีของพระครั้งพุทธกาลเคารพกัน ท่านเคารพกันอย่างนี้
แม้เป็นพระอรหันต์แล้วแต่ยังอ่อนพรรษาอยู่
ก็จำต้องเคารพพระอาวุโสที่ปฏิบัติดีทั้งที่ยังมีกิเลสภายในใจอยู่
ต่อลำดับนั้นพระองค์ประทานพระโอวาทว่า
พระของเราตถาคตต้องมีความเคารพและสนิทสนมกันประหนึ่งอวัยวะอันเดียวกัน
แต่มิได้สนิทกันแบบโลก หากแต่สนิทกันตามแบบของธรรมซึ่งเป็นความเสมอภาคไม่ลำเอียง
พระของเราตถาคตอยู่ด้วยกัน แม้จำนวนมากก็ไม่ทะเลาะกัน ไม่มีการเผยอเย่อหยิ่งต่อกัน
พระที่ไม่เคารพกันตามหลักธรรมวินัยที่เป็นองค์ศาสดาแทนเราตถาคต มิใช่พระของตถาคต
แม้จะเลียนแบบของลูกศิษย์ตถาคตก็คือพระที่เลียน
ๆ อยู่นั่นแล ไม่จริงดังคำประกาศอวดอ้าง ถ้าพระยังมีความเคารพกันตามหลักธรรมวินัย
คือตถาคต และเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อธรรมวินัยไม่ฝ่าฝืน พระนั้นจะอยู่ที่ใด
บวชเมื่อไร เป็นชาติชั้นวรรณะและออกมาจากสกุลใด
ก็คือพระลูกศิษย์เราตถาคตอยู่นั่นแล ชื่อว่าผู้เดินตามเราตถาคต
ต้องปรากฏความสิ้นสุดทุกข์ในวันหนึ่งแน่นอน พอประทานพระโอวาทย่อจบลง
นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาต่างองค์ต่างหายไปในขณะนั้น
ท่านอาจารย์เองก็สิ้นสงสัยลงในขณะที่นิมิตมาแสดงบอกอย่างชัดเจนนั้นเช่นกัน
แม้การครองผ้าในเวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรม
พระสาวกก็ได้มาแสดงให้ดูตามลำดับที่เกิดความสงสัยไม่แน่ใจ ว่าไม่จำเป็นต้องครองผ้าทุกครั้งไป
โดยท่านมาแสดงการนั่งสมาธิและเดินจงกรมในท่าครองผ้าและไม่ครองผ้าให้ดูจนสิ้นความสงสัยทุกกรณีไป
ตลอดสีผ้าสบง จีวร สังฆาฏิอันเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระ ท่านก็แสดงให้ดู
โดยแสดงผ้าสีกรัก คือสีแก่นขนุนออกเป็นสามสี คือ สีกรักอ่อน สีกรักขนาดกลาง
และสีกรักแก่ให้โดยละเอียด เท่าที่พิจารณาตามท่านเล่าให้ฟังแล้วก็พอทราบได้ว่า
ท่านทำอะไรลงไปมักมีแบบฉบับมาเป็นเครื่องยืนยันรับรองความแน่ใจในการทำเสมอ
มิได้ทำแบบสุ่มเดาที่เรียกว่าเอาตนเข้าไปเสี่ยงต่อกิจการที่ไม่แน่ใจ
ฉะนั้นปฏิปทาท่านจึงราบรื่นสม่ำเสมอตลอดมา ไม่มีข้อที่น่าตำหนิและกระทบกระเทือนใด
ๆ มาแต่ต้นจนอวสาน ซึ่งจะหาผู้เสมอได้ยากในสมัยปัจจุบัน
บรรดาสานุศิษย์ที่ยึดเอาปฏิปทาท่านไปปฏิบัติ
ย่อมเป็นความงามเสมอต้นเสมอปลายแบบลูกศิษย์มีครู
นอกจากที่ชอบแหวกแนวแบบผีไม่มีป่าช้า ลูกไม่มีพ่อแม่ ศิษย์ไม่มีอาจารย์ซึ่งอาจมีได้เท่านั้น
ปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินมาจึงอาจถูกดัดแปลงไปตามความคิดเห็น
นอกนั้นปฏิปทาท่านนับว่าราบเรียบมาก ทั้งนี้ท่านรู้สึกมีอะไร ๆ
ที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่ภายในอย่างลึกลับ เป็นเข็มทิศพาดำเนิน
ซึ่งผู้ปฏิบัติทั้งหลายไม่อาจมีได้อย่างท่าน
การจำพรรษาของท่านในจังหวัดเชียงใหม่ทราบว่าท่านจำที่หมู่บ้านจอมแตง
อำเภอแม่ริม ๑ พรรษา ที่บ้านโป่ง อำเภอแม่แตง ๑ พรรษา ที่บ้านกลอย อำเภอพร้าว ๑
พรรษา ในเขาอำเภอแม่สวย ๑ พรรษา ที่บ้านปู่พระยาอำเภอแม่สวย ๑ พรรษา
ที่วัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา ที่บ้านแม่ทองทิพย์ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑ พรรษา
ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ๑ พรรษา ส่วนที่ท่านเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ
ตามบ้านป่าบ้านเขานั้นจำไม่ได้ทุกสถานที่ไป
และไม่สามารถนำมาเรียงลำดับพรรษาก่อนและหลังกันได้
เพราะท่านเที่ยวอยู่แถบจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายนานถึง ๑๑ ปี
ต่อไปจะขอระบุเฉพาะหมู่บ้านที่ท่านพักซึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เป็นแห่ง
ๆ ไป ที่ไม่จำเป็นจะไม่ขอกล่าวถึง ท่านพักอยู่ในที่นั้น ๆ
ไม่ว่าจำพรรษาหรือเที่ยววิเวกธรรมดา เว้นวัดเจดีย์หลวง
นอกนั้นทราบว่าเป็นป่าเป็นเขาซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ๆ แทบทั้งนั้น
และเป็นการเสี่ยงต่อภยันตรายหลายอย่างมาตลอดระยะที่ท่านเที่ยวบำเพ็ญ
ฉะนั้นประวัติท่านจึงเป็นประวัติที่สำคัญมาก
ทั้งการเที่ยวธุดงคกรรมฐาน และการรู้เห็นธรรมประเภทต่าง ๆ
เป็นเรื่องแปลกและพิสดารผิดกับประวัติของอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นนักท่องเที่ยวบำเพ็ญเหมือนกันอยู่มาก
เริ่มแรกที่ท่านออกปฏิบัติในเขตจังหวัดเชียงใหม่
ท่านไปเที่ยวและพักอยู่เพียงองค์เดียว ถ้าเป็นแบบโลกก็นับว่าเปล่าเปลี่ยวที่สุด
ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงคงแทบไม่หายใจ เพราะความกลัวบังคับอยู่ทั้งวันทั้งคืน
ไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอนได้ แต่สำหรับท่านแล้วในอิริยาบถทั้งสี่ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคลผู้เดียว
ท่านถือว่ามีความสุขทางจิตใจและสะดวกทางความเพียรมาก เพราะการถอดถอนกิเลส
ท่านก็ถอดถอนได้ด้วยอำนาจความเพียรของบุคคลผู้เดียวดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว
ต่อมาค่อยมีพระทยอยไปหาท่าน มีท่านเจ้าคุณเทสก์ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ท่านอาจารย์สาร
ท่านอาจารย์ขาว วัดถ้ำกลองเพล เป็นต้น แต่อยู่กับท่านชั่วระยะกาลเท่านั้น
ท่านก็สั่งให้ออกหาที่วิเวกตามที่ต่าง ๆ แถบหมู่บ้านชาวเขาที่ตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน
ที่ชายเขาบ้าง บนหลังเขาบ้าง หมู่บ้านละ ๔-๕ หลังคาเรือนบ้าง ๙–๑๐ หลังคาเรือนบ้าง พอได้อาศัยเขาไปเป็นวัน
ๆ ท่านเองก็ชอบอยู่ลำพังองค์เดียวตามนิสัย
พระกรรมฐานสมัยท่านเป็นผู้นำพาดำเนินครั้งนั้นปรากฏว่าเด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก
เที่ยวแสวงหาธรรมกันแบบเอาชีวิตเข้าประกันจริง ๆ ไม่อาลัยชีวิตยิ่งกว่าธรรม
ที่ใดมีสัตว์เสือชุม ท่านชอบสั่งให้พระไปอยู่ที่นั้น เพราะเป็นที่ช่วยกระตุ้นเตือนสติปัญญามิให้นิ่งนอนใจ
ความเพียรก็จำต้องติดต่อกันไปเอง
และเป็นเครื่องหนุนจิตใจให้มีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น
ท่านเองก็พักบำเพ็ญเป็นสุขวิหารธรรมอยู่สบาย
ในป่าในเขาที่สงัดปราศจากผู้คนทั้งกลางวันกลางคืน การติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น
เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม พญานาค ภูตผีที่มาจากที่ต่าง ๆ ท่านถือเป็นธรรมดา
เช่นเดียวกับมนุษย์ติดต่อกับพวกมนุษย์ชาติต่าง ๆ ที่รู้ภาษากัน
เพราะท่านชำนิชำนาญในทางนี้มาช้านานแล้ว
ท่านพักอยู่ที่ป่าที่เขา
โดยมากก็ทำประโยชน์แก่พวกกายทิพย์นี้ และพวกชาวเขาซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
ไม่ค่อยมีแง่งอนต่าง ๆ เวลาเขารู้นิสัยและซาบซึ้งในธรรมท่านแล้ว
เขาเคารพเลื่อมใสท่านมากแบบเอาชีวิตเข้าประกันได้เลย คำว่าชาวป่าชาวเขา เช่น
พวกอีก้อ ขมุ มูเซอ แม้ว ยางเหล่านี้ ตามความคาดหมายของคนทั่วไป
เข้าใจว่าเขาเป็นคนป่าคนเขา รูปร่างทั้งหญิงทั้งชายต้องขี้ริ้วขี้เลอะตัวดำกำโคลนราวกับตอตะโกแน่
ๆ แต่ท่านว่าคนพวกนี้รูปร่างหน้าตาสวยงาม และขาวสะอาดสะอ้าน กิริยาเรียบร้อย
มีระเบียบขนบธรรมเนียมดี เคารพนับถือผู้ใหญ่และผู้เป็นหัวหน้าในหมู่บ้านดีมาก
สามัคคีกันดี ไม่ค่อยมีประเภทแหวกแนวแฝงอยู่ในหมู่บ้านเหล่านั้นในสมัยนั้น
มีความเชื่อถือผู้ใหญ่และหัวหน้าบ้านมาก หัวหน้าพูดอะไรชอบเชื่อฟังและทำตาม
ไม่ดื้อดึงฝ่าฝืน สั่งสอนก็ง่ายไม่ค่อยมีทิฐิมานะ
คำว่าป่าแทนที่จะเป็นป่าเถื่อนแบบสัตว์ แต่กลับเป็นป่าแห่งคนดีมีสัตย์มีศีล
ไม่มีการฉกลักขโมยปล้นจี้กันเหมือนป่ามนุษย์ล้วน ๆ
ป่าไม้ป่าสัตว์เป็นป่าที่ไม่ค่อยได้ระเวียงระวังมากเหมือนป่ามนุษย์ล้วน
ๆ ที่เต็มไปด้วยภัยนานาชนิด กิเลส ความโลโภ โทโส โมโห เป็นป่าลึกลับชนิดที่โดนเอา
ๆ ไม่เว้นแต่ละเวลา
เมื่อโดนเข้าแล้วต้องเป็นแผลลึกอยู่ภายใน และคอยทำลายสุขภาพทางร่างกายและจิตใจให้เกิดทุกข์เสียหายไปนาน
ๆ ไม่ค่อยมีวันหายได้เหมือนแผลชนิดอื่น ๆ
และไม่ค่อยสนใจหายามาระงับหรือกำจัดกันด้วยแผลลึกที่กิเลสเหล่านี้ตำ
จึงมักจะเป็นแผลเรื้อรัง ผู้ถูกตำก็มักปล่อยทิ้งไว้ให้หายไปเอง
ป่าประเภทนี้มีอยู่ในใจของมนุษย์หญิงชายพระเณรทุกคนไม่เลือกหน้า ถ้าเผลอก็เสียท่าให้มันจนได้
ท่านว่าเท่าที่ท่านพยายามอยู่ในป่าก็เพื่อ
จะกำจัดตัดป่าเสือร้ายภายในตัวคึกคะนองและโหดร้ายทารุณไม่มีวันสงบซบเซาลงบ้างเลยนี้
ให้สงบหรือตายไปจากใจ พอได้อยู่สบายหายวุ่นบ้าง
สมกับมนุษย์เป็นสัตว์ฉลาดแสวงหาความสุขใส่ตนในเวลาที่ได้เกิดมาเป็นคนทั้งชาติ
ไม่ขาดทุนสูญอำนาจวาสนาแห่งความเป็นมนุษย์ไปเปล่า ๆ
ท่านอยู่ป่าอยู่เขาเช่นนั้น
เวลามีหมู่คณะไปอาศัยท่าน
การอบรมสั่งสอนก็เด็ดเดี่ยวไปตามสถานที่และผู้ไปเกี่ยวข้อง
เพราะผู้ที่ไปหาท่านโดยมากมักมีแต่ผู้กล้าตายแบบเสียสละทุกอย่างแล้วทั้งนั้น
การสั่งสอนจึงทำให้สมภูมิทั้งสองฝ่าย จะตายก็ยอมให้ตายไปด้วยความเพียร
เมื่อชีวิตยังเป็นไปอยู่ก็ขอให้รู้ให้เห็นธรรมและหลุดพ้นจากทุกข์ภายในใจ
ไม่ต้องกลับมาเกิดตายและทนทุกข์ซ้ำซากอยู่ในโลกไม่มีขอบเขตแห่งความสิ้นสุดนี้
การอบรมสั่งสอนพระในคราวอยู่เชียงใหม่ผิดกับแต่ก่อนอยู่
ไม่มีการอนุโลมผ่อนผันใด ๆ เลย แม้พระที่ไปอบรมกับท่านโดยมากก็เป็นพระประเภทปฏิโลม
ฟังกันแบบปฏิโลม คือคอยจ้องมองดูกิเลสของตัวจะแสดงขึ้นมาอย่างไรบ้าง
เพื่อปราบปรามให้หายพยศลดกำลังโดยถ่ายเดียว มิได้ไปสนใจคิดว่าท่านเทศน์หนักไป
เผ็ดร้อนไป ยิ่งท่านเทศน์เผ็ดร้อนเท่าไร ธรรมก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ
ใจก็ยิ่งสงบแนบแน่นดีสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นสงบ
ผู้อยู่ในขั้นปัญญาจิตก็พยายามคิดค้นตามคำเทศน์ท่านไปเรื่อยไม่ลดละ ท่านอยู่เชียงใหม่เทศน์ธรรมสูงมาก
เพราะความรู้ท่านก็เต็มภูมิ ผู้ไปศึกษาอบรมก็มีภูมิจิตสูง
และเป็นไปด้วยความหมายมั่นปั้นมือที่จะให้รู้ให้เห็นขั้นสูงขึ้นไปเป็น
ลำดับจนสุดภูมิ นอกจากเทศน์ธรรมดาแล้ว ยิ่งมีธรรมแปลก ๆ
คอยดักใจผู้คิดออกนอกลู่นอกทางอีกด้วย
ประเภทหลังนี้มีอำนาจมากในการดักจับและปราบโจรภายในของพระที่ชอบขโมยสิ่งของเก่งแบบไม่เลือกกาลสถานที่
คือขโมยคิดเรื่องร้อยแปดตามนิสัยของคนมีกิเลส มิใช่แบบเขาขโมยกันทั่ว ๆ ไป
มาถึงตอนนี้มีเรื่องแปลก
ๆ ที่ไม่น่าจะมีได้
แต่ก็ได้มีแทรกขึ้นในวงกรรมฐานมาแล้วสมัยท่านพักอยู่ในเขาที่เชียงใหม่
จึงขออภัยเขียนไว้บ้างตามที่ได้ยินมา
เพื่อเป็นข้อคิดและเป็นคติเตือนใจแก่ชาวเราต่างก็กำลังตกอยู่ในภาวะทำนองเดียวกัน เรื่องนี้คิดว่าเป็นเรื่องกรรมกันโดยมาก
บรรดาที่ได้ทราบกันในวงใกล้ชิดมีท่านพระอาจารย์มั่น เป็นต้น
ผู้ให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้พอได้เป็นข้อคิดตลอดมา
พระอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งเคยอยู่กับท่านอาจารย์มั่นเล่าให้ฟังว่า บ่าย ๆ
วันหนึ่งท่านกับพระอีกรูปหนึ่งไปอาบน้ำที่แอ่งหิน
ใกล้กับหนทางไปไร่ไปสวนของชาวบ้านแถบนั้น แต่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านมาก
ขณะลงอาบน้ำเผอิญมีพวกสีกามาจากไร่ เดินผ่านมาที่ตรงนั้น ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีเลย
พอพระรูปนั้นเจอเข้าจิตก็เกิดแปรปรวนขึ้นมาทันทีทันใด โดยไม่ทันได้มีสติยับยั้งเอาเลย
จึงเกิดเป็นไฟราคะตัณหาเผาลนตัวเองขึ้นในขณะนั้นและร้อนสุมอยู่ตลอดไป
พยายามแก้ไขเท่าไรก็ไม่ตก ทั้งกลัวท่านอาจารย์จะทราบก็กลัว
ทั้งกลัวเจ้าตัวจะเสียไปเพราะเรื่องนี้ก็กลัว เลยทำให้พระรูปนั้นตั้งตัวไม่ติด
นับแต่ขณะนั้นไปถึงกลางคืน
จนตลอดคืนที่พิจารณากันอยู่อย่างไม่หยุดยั้งลดละ เพราะความไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
เพิ่งมาเจอเอาขณะนั้น ท่านจึงรู้สึกเป็นทุกข์มาก
ในคืนนั้นท่านอาจารย์ก็พิจารณาทราบเช่นกันว่า พระรูปนี้ไปเจอเอาของดีเข้าแล้ว
กำลังเกิดความกระวนกระวายด้วยความรักและความกลัว
ตลอดคืนมิได้หลับนอนด้วยความพยายามแก้ไขอย่างสุดกำลัง
ตื่นเช้าขึ้นมาท่านก็มิได้ว่าอะไร เพราะทราบว่าเจ้าตัวกำลังกลัวท่านมากแล้ว
ถ้าไปว่าเข้าเดี๋ยวเกิดเป็นอะไรไปก็ยิ่งจะแย่เข้าไปอีก
ท่านแสดงอาการยิ้มต่อพระองค์นั้นขณะที่มาพบกันตอนเช้า
ดูอาการของเธอทั้งอายทั้งกลัวท่านมากแทบตัวสั่น ท่านก็ทำอาการเป็นไม่รู้ไม่ชี้เฉย
ๆ ไปเสีย
พอถึงเวลาบิณฑบาต
ท่านเลยหาอุบายพูดเพื่ออะไรก็ยากจะเดาได้ถูก ว่าท่าน….. กำลังเร่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง
จะเร่งต่อไปไม่ต้องไปบิณฑบาตก็ได้ ไปแต่พวกเราก็ยังได้
พระเพียงองค์เดียวจะเลี้ยงไม่ได้อย่างไร ท่านอยากภาวนาต่อก็ไปภาวนาเสีย ภาวนาเผื่อหมู่คณะด้วยนะ
แต่ท่านมิได้มองดูพระรูปนั้นเลย
เพราะท่านทราบดียิ่งกว่าพระรูปนั้นจะทราบเรื่องของตัวอยู่แล้ว
ว่าแล้วท่านก็นำหมู่คณะออกบิณฑบาต ส่วนพระรูปนั้นก็จำใจเข้าทางจงกรมทำความเพียร
ทั้งนี้ท่านทำเพื่ออนุเคราะห์พระที่เป็นขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่มีเจตนา แต่สุดวิสัยจะห้ามได้
ท่านก็ทราบว่าพระรูปนั้นพยายามอยู่อย่างเต็มใจที่จะแก้เรื่องของตัว
จึงต้องหาอุบายช่วยด้วยวิธีต่าง ๆ โดยมิให้กระทบกระเทือนจิตใจเธอแต่อย่างใด
เวลากลับจากบิณฑบาตมาถึงที่พักแล้ว
ก็พร้อมกันจัดอาหารใส่บาตรเธอ และสั่งให้พระไปนิมนต์เธอมาฉัน หรือจะฉัน ณ
ที่อยู่ของตนก็ได้ตามแต่สะดวก พอทราบเธอก็รีบมาฉันร่วมหมู่คณะ
ขณะเธอเดินมาท่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่มอง แต่พูดอย่างนิ่มนวลอ่อนหวาน
เพื่อประสานใจที่เป็นรอยร้าวตลอดมานั้น ไม่ปรารภเรื่องที่จะทำให้เสียใจใด ๆ เลย
แม้เธอจะมาฉันร่วมหมู่คณะ แต่ก็ฉันได้นิดเดียว พอเป็นพิธีไม่ให้เสียมรรยาทเท่านั้น
วันนั้นพระที่อยู่ด้วยกันสองรูปคือรูปที่เล่านี้ด้วย
เพราะแต่ก่อนท่านยังไม่ทราบเรื่อง พากันเกิดความสงสัยโดยคิดว่า
แต่ก่อนท่านอาจารย์ไม่เคยทำอย่างนี้กับใครเลย
แต่มาคราวนี้ท่านทำไมถึงทำอย่างนี้กับท่าน……นี้ ชะรอยท่านคงภาวนาดีแน่ ๆ ท่านถึงได้ช่วยสนับสนุน
พอได้โอกาสก็แอบไปหาท่าน…..นั้น ถามถึงการภาวนาว่า
ท่านอาจารย์ว่าท่านกำลังเร่งความเพียรจึงไม่ให้ไปบิณฑบาต
แต่ท่านมิได้บอกว่าท่านภาวนาดี ที่นี่การภาวนาท่านเป็นอย่างไรบ้าง
นิมนต์เล่าให้ผมฟังบ้าง
พระรูปนั้นก็ยิ้มแห้ง
ๆ แล้วตอบว่าผมจะภาวนาดียังไง
ท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ทำท่าช่วยเสริมไปตามอุบายแห่งความฉลาดของท่านอย่างนั้นเอง
ผู้ถามเซ้าซี้ให้เล่าให้ฟังตามความจริง ต่างก็ไล่กันไปเลี่ยงกันมาอยู่พักหนึ่ง
และถามว่าที่ว่าท่านอาจารย์เห็นคนจะตายท่านก็ช่วยเสริมไว้นั้นจะตายอย่างไร และช่วยเสริมอย่างไร? เมื่อทนไม่ไหวเธอก็กำชับว่า
ไม่ให้เล่าถวายท่านอาจารย์ทราบ เพราะท่านทราบเรื่องของผมละเอียดแล้ว
ยิ่งกว่าผมทราบเรื่องของตัวเป็นไหน ๆ ฉะนั้นผมจึงกลัวและอายท่านมาก
แล้วพูดต่อไปว่า วานนี้เราไปอาบน้ำด้วยกันที่แอ่งหิน ท่านได้เห็นอะไรบ้างขณะกำลังจะอาบน้ำ
รูปที่ถามตอบว่าก็ไม่เห็นเห็นอะไร
นอกจากผู้หญิงที่พากันมาจากไร่ผ่านไปบ้านตอนพวกเรากำลังจะอาบน้ำนั้นเท่านั้น
พระที่ถูกถามตอบว่า
นั่นแลท่านที่ผมจะตายอยู่ขณะนี้ จนถึงกับท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ผมไปบิณฑบาต
ท่านกลัวจะไปสลบหรือตายอยู่ในบ้านขณะที่จะไปเจอเข้าอีกอย่างไรเล่า
ผมจะภาวนาดีอย่างไร ท่านทราบหรือยังว่าคนจะตายนั้นหรือคือคนภาวนาดี
องค์ที่ถามตกตะลึง โอ้โฮตายจริง ท่านไปเป็นอะไรกับเขาพวกนั้นเข้าล่ะ รูปนั้นตอบว่า
ผมจะไปเป็นอะไรกับเขา นอกจากไปขโมยรักเขาเข้าโดยไม่รู้สึกตัว
จนกรรมฐานแตกกระเจิงไปหมด ปรากฏแต่ความสวยงามกับความบ้ารักของผมเท่านั้น
เหยียบย่ำทำลายหัวใจผมแทบตายทั้งคืนเมื่อคืนนี้
แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลดละเรื่องบ้านั่นเลย ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับมัน
ท่านช่วยผมหน่อยได้ไหม นับว่าเมตตาเอาบุญ
องค์ถาม
เวลานี้ก็ยังไม่ลดลงบ้างหรือ? เปล่า
เธอตอบ ซึ่งเป็นคำที่น่าสงสารเอามากมาย องค์ถาม ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยให้อุบายท่าน
คือถ้าท่านไม่สามารรถระงับมันได้
ท่านฝืนอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากมันจะกำเริบขึ้นเท่านั้น
ผมว่าท่านควรหลีกจากที่นี่ไปหาภาวนาเสียที่อื่นจะดีกว่า
ถ้าท่านไม่สามารถกราบเรียนท่านอาจารย์ได้ ผมจะช่วยกราบเรียนท่านให้
ว่าท่านประสงค์จะไปแสวงหาที่วิเวกใหม่ เพราะอยู่ที่นี่ไม่สบาย
เข้าใจว่าท่านคงจะอนุญาตทันที เพราะท่านก็ทราบเรื่องท่านดีอยู่แล้วโดยปริยาย
เป็นแต่ท่านยังไม่พูดเท่านั้น เกรงท่านจะอายท่าน
เธอก็เห็นดีด้วยและตกลงกันในขณะนั้น
พอตกเย็นท่านที่จะช่วยอนุเคราะห์ก็เข้าไปกราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านก็อนุญาตทันที แต่มีปัญหาเหน็บแนมมาด้วยอย่างลึกลับว่า โรคกรรมนี้มันหายยาก
โรคที่มีเชื้อเดิมอยู่แล้วติดต่อลุกลามได้เร็ว
เท่านี้ท่านก็หยุดไม่พูดอะไรต่อไปอีก แม้ผู้ไปกราบเรียนก็ไม่เข้าใจปัญหาท่าน
เรื่องนี้ต่างคนต่างปิดกัน คือผู้เป็นก็ปิดท่านอาจารย์
ผู้อนุเคราะห์ช่วยเหลือก็ปิดท่านอีก แม้ท่านอาจารย์เองก็ปิด
ทั้งที่ทราบอย่างเต็มใจแล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่ทราบ
ต่างคนต่างไม่ยอมบอกความจริงต่อกัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็รู้เรื่องได้ดีด้วยกัน
วันหลังเธอก็เข้าไปกราบนมัสการลาท่าน ท่านก็อนุญาตให้ไปด้วยดี
โดยมิได้พูดเรื่องเธอแต่อย่างใด
เธอไปพักอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากหมู่บ้านนั้นมาก
ถ้ามิใช่กรรมดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ ก็คงหวังพ้นภัยได้แน่
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีก แต่ก็เจ้ากรรม
อนิจจาเป็นดังท่านว่าไม่ผิดแม้กระเบียดเดียว พอเธอหายหน้าไปจากบ้านนั้นไม่นานนัก
ลูกศรที่อยู่ทางนี้ก็คงเจ้ากรรมอย่างเดียวกันอีก
อุตส่าห์ด้นดั้นเปะปะไปหาจนเจอเข้าจนได้
ซึ่งธรรมดาผู้หญิงป่าไม่เคยเป็นไปอย่างนั้น แต่ก็ได้เป็นไปแล้ว
จึงเป็นเรื่องน่าคิดอย่างยิ่ง
หลังจากท่านอาจารย์และหมู่คณะจากหมู่บ้านนั้นไปไม่นานนัก ก็ทราบว่าพระองค์นั้นสึกเพราะดมยาสลบซ้ำ
ๆ ซาก ๆ จนทนไม่ไหว สุดท้ายกรรมก็พาหมุนกลับมาได้เสียเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน
กับสาวงามชาวเขาเผ่ามูเซอคนนั้นที่บ้านนั่นเอง นับว่ากรรมเอาเสียจริง ๆ
ถ้าไม่กรรมแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร
เพราะเท่าที่พระองค์นั้นเล่าให้ฟังขณะที่ใจเริ่มกำเริบทีแรก
ก็เพิ่งเริ่มพบกันขณะเดียวเท่านั้น มิได้เคยพบเห็นและพูดจาพาทีกันที่ไหนมาก่อนเลย
ข้อนี้บรรดาพระที่อยู่ร่วมกันมา ก็ยอม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น