หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระ 5
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
รับว่าเป็นความจริง
เพราะอยู่ด้วยกันในวัดตลอดเวลา มิได้ไปไหนมาไหนพอจะหลวมตัว
ทั้งก็อยู่กับท่านพระอาจารย์เสียเอง
อันเป็นสถานที่ให้ความปลอดภัยตลอดมาไม่มีข้อที่น่าสงสัย
นอกจากเจ้ากรรมหรือคู่บาปคู่บุญมาถึงเข้าเท่านั้น เธอเล่าให้พระเคยอนุเคราะห์ฟังว่า
เพียงประสาททางตากระทบกันเท่านั้น มันเหมือนดมยาสลบเข้าไปไม่ได้สติสตังเอาเลย
ปรากฏแต่ความรักความผูกพันมัดจิตใจจนแทบจะหายใจไม่ออก
ทำให้จิตใจเซ่อซ่าไปตามอารมณ์นั้นจนตัวไม่เป็นตัวของตัว
และไม่มีเวลาลดหย่อนผ่อนคลายลงบ้างเลย เมื่อเห็นท่าไม่ได้การก็พยายามปลีกตัวหนีไป
เจ้าของยาก็ตามไปเยี่ยมคนไข้อีก เรื่องก็เสร็จกันเท่านั้นเองจะไปที่ไหนรอด
ใครไม่เคยถูกก็ดูยิ้มได้ ถ้าถูกเข้าก็รู้เอง
เพราะมิใช่พระสุนทรสมุทรพอจะเหาะออกจากทางทวารบนแห่งบ้านได้
ตามปกติพวกนี้ไม่คุ้นกับพระแต่หากกรรมพาเป็นไปเอง
เรื่องกรรมนี้จึงไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใด
เพราะกรรมมีอำนาจเหนือใครในโลกที่สร้างกรรม
พระอาจารย์ท่านทราบอย่างเต็มใจจึงต้องมีอุบายปฏิบัติต่อเธออย่างนั้น ทั้ง ๆ
ที่ไม่เคยทำต่อผู้ใดมาก่อนเลย แต่ก็คงสุดวิสัย
ท่านจึงมิได้แนะอุบายอะไรเพื่อเธอให้ยิ่งไปกว่าที่อนุเคราะห์มาแล้วนั้น
เรื่องก็ลงเอยกันตรงที่เมื่อไปไม่รอดก็จำต้องจอดเรือ
ซึ่งเป็นคติธรรมของโลกที่อยู่ใต้อำนาจของกรรม
ดังนั้นจึงได้นำเรื่องนี้มาลงไว้เพื่อเป็นคติเตือนใจพวกเราที่อาจเป็นได้
หากเป็นการไม่สมควรประการใดก็หวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านตามเคย
ก่อนจะมาถึงเรื่องนี้
ได้กล่าวถึงความรู้พิเศษของท่านพระอาจารย์มั่นที่เคยดักจับขโมยพระได้ผลดี
และเป็นเครื่องมือดักใจทายใจที่คิดออกนอกลู่นอกทางให้รู้สึกและระมัดระวังตัวได้ดี
เวลาท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่
เมื่อมีพระปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญทางความเพียรไปหา ท่านมักจะใช้วิชาแขนงนี้ช่วยในการสั่งสอนเสมอ
ไม่ค่อยระวังว่าจะเกิดผลเสียหายตามมาดังที่ใช้กับผู้ไม่ตั้งใจจริงจัง
โดยมากพระที่ไปอบรมเป็นผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริง ๆ พอรู้ตัวว่าผิดและท่านตักเตือน
จะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ก็พร้อมที่จะแก้ไขความผิดของตนอย่างเต็มสติกำลัง
ไม่ละอายและกลัวท่านในสิ่งที่ตนพลั้งเผลอ
เมื่อได้รับคำตักเตือนจากท่านโดยอุบายต่าง ๆ
การอบรมสั่งสอนท่านเมตตาแสดงอย่างถึงใจผู้ฟังจริง ๆ
ไม่ปิดบังลี้ลับทั้งความรู้ภายใน
และการชี้แจงก็ชี้แจงไปตามความบกพร่องของผู้มาศึกษา
ผิดถูกอย่างไรก็ว่ากล่าวสั่งสอนกันไปตามเรื่อง เจตนาหวังสงเคราะห์จริง ๆ
ผู้มาศึกษาก็ไม่แสดงอาการกระด้างวางตัวในลักษณะผู้ไม่ยอมรับความจริง
หรือหยิ่งในภูมิว่าตนได้รับการศึกษามามาก ซึ่งตามธรรมดามักมีแทรกอยู่เสมอ
การอธิบายธรรมของท่านกำหนดแน่นอนไม่ได้
ต้องขึ้นอยู่กับผู้ไปศึกษาเป็นราย ๆ ไป ผู้ไปศึกษามีภูมิธรรมขั้นใดก็อธิบายให้ฟังตามจุดที่สำคัญ
ๆ ทั้งจุดที่เห็นว่าถูกต้องแล้วเพื่อส่งเสริมให้ยิ่งขึ้นไป
ทั้งจุดที่เห็นว่าไม่ถูกและล่อแหลมต่ออันตราย
เพื่อผู้นั้นจะมีทางลดละปล่อยวางไม่ดำเนินต่อไป
การแสดงธรรมแก้จิตใจของนักปฏิบัติธรรมที่ไปศึกษาไต่ถาม นับว่าท่านอธิบายอย่างมั่นเหมาะตามจุดแห่งความสงสัยไม่ผิดพลาด
ผู้ไปศึกษาไม่ผิดหวังเท่าที่ทราบมา ซึ่งควรจะพูดได้ว่า ร้อยทั้งร้อยต้องมีหวัง
ถ้าเป็นทางจิตตภาวนา เพราะท่านชำนิชำนาญทางจิตตภาวนามาก
นับแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูงสุดไม่มีอะไรบกพร่อง
การแสดงออกแห่งธรรมแต่ละประโยคจึงจับใจไพเราะ หาทางเสมอได้ยากในสมัยปัจจุบัน
แสดงเรื่องศีลก็น่าฟัง แสดงสมาธิทุกขั้นและปัญญาทุกภูมิก็ถึงใจอย่างยิ่ง
ฟังแล้วทำให้อิ่มเอิบเพลิดเพลินไปหลายวัน กว่าความรู้สึกนั้นจะจางลง
ปกติที่ท่านอยู่ในป่าในเขาโดดเดี่ยวแต่ผู้เดียว
ในเวลาบำเพ็ญเพื่อธรรมเบื้องสูง ท่านว่าท่านอยู่กับความเพียรทางใจแทบตลอดเวลา
จะมีเวลาว่างเฉพาะเวลาหลับนอนเท่านั้น นอกนั้นเป็นความเพียรล้วน ๆ
โดยมิได้กำหนดอิริยาบถใด ๆ เลย
การพิจารณาธรรมภายในเพื่อถอดถอนกิเลสมีสติปัญญาเป็นเพื่อนสอง คือ
ท่านพูดคุยโต้ตอบกับกิเลสด้วยสติปัญญา มีความมุ่งมั่นเพื่อแดนพ้นทุกข์เป็นสื่อชวนให้คุยกับสิ่งเหล่านั้น
แต่มิได้พูดคุยด้วยปากเหมือนเราคุยกันหลายคน หากแต่พูดคุยด้วยการคิด
การไตร่ตรองการโต้ตอบกับกิเลสภายในด้วยสติปัญญา
กิเลสผู้คอยหาช่องหาทางออกตัวจะออกทางใดช่องใด หรือตบต่อยผูกมัดท่านด้วยกลอุบายใด
ท่านก็ใช้สติปัญญาตามต้อนตบตีขยี้ขยำกิเลสโดยอุบายต่าง ๆ จนเอาชนะไปได้เป็นพัก ๆ
จุดใดที่ท่านทราบว่ากิเลสยังเหนือกว่าอยู่ก็พยายามส่งเสริมอาวุธ
คือ สติปัญญาศรัทธาความเพียรให้มีกำลังกล้าขึ้นโดยลำดับ
จนกว่าจะเหนือกว่ากำลังของกิเลสที่เป็นฝ่ายข้าศึก
จนเอาชนะไปได้โดยตลอดถึงขั้นโลกธาตุหวั่นไหวภายในใจ ขณะเจ้าผู้ครองวัฏจิตถูกทำลายลงด้วยมรรคญาณ
ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว นี่เป็นวิธีดำเนินความเพียรท่านในขั้นสุดท้าย
คือ
การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา ท่านมิได้กำหนดเวลา
แต่ถือเอาความเพียรเพื่อชัยชนะเป็นที่ตั้งไปตลอดสาย มีสติปัญญาเป็นเครื่องดำเนิน
พอพ้นจากดงหนาป่าทึบไปได้แล้ว
ท่านว่าเครื่องมือเข้าสู่สงครามคือสติปัญญาประเภทนั้น ย่อมหมดปัญหาไปเอง
เหลือแต่สติปัญญาที่ใช้อยู่ประจำขันธ์เท่านั้น
เวลาต้องการใช้เพื่อคิดอรรถคิดธรรมลึกตื้นหยาบละเอียด
หรือธุระอย่างอื่นก็นำมาใช้เป็นคราว ๆ ไป พอสิ้นเรื่องแล้วก็ระงับไปในที่นั้นเอง
ไม่มีการเตรียมรุกเตรียมรบกับอะไรดังที่เคยเป็นมา
ถ้าไม่มีข้ออรรถข้อธรรมมาสัมผัสจิตพอจะให้คิดอ่านไตร่ตรองไปตาม
ก็อยู่ไปเหมือนคนไม่มีสติปัญญา
หรือเหมือนคนโง่แบบไม่เอาเรื่องเอาถ่านกับอะไรที่เคยเกี่ยวข้องกันมาอย่างชุลมุนวุ่นวายนั่นเลย
ปรากฏมีแต่ความสงบสุขเด่นอยู่ในใจประเภท อกาลิโก เท่านั้น ไม่มีอะไรมายุ่งเกี่ยว
ถ้าอยู่ลำพังใจที่สงบราบคาบจากสิ่งทั้งหลาย
ไม่คิดไปถึงเรื่องเคยมีเคยเป็นที่อยู่ตามธรรมชาติของเขาทั่วไตรโลกธาตุ
ก็เป็นเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ประหนึ่งดับไปพร้อมกับกิเลสโดยสิ้นเชิง
เวลามีหมู่คณะเข้าไปอาศัยอบรมด้วยก็มีการประชุมให้โอวาทสั่งสอน
คอยตักเตือนว่ากล่าวในเวลาที่เห็นว่ารายใดไม่สู้งามตางามใจ
หรือทราบเรื่องของใครในทางจิตตภาวนา
โดยการแสดงภาพนิมิตของผู้นั้นให้ปรากฏเป็นความไม่ดีไม่งามก็ดี
โดยการรู้ขณะจิตที่คิดไปนอกลู่นอกทางก็ดี ก็ต้องแสดงอุบายเป็นเชิงเปรียบเปรยให้เจ้าตัวรู้
เพื่อทำความสำรวมระวังต่อไป
การแสดงภาพนิมิตให้ปรากฏแก่จิตตภาวนานั้น
จะขอยกตัวอย่างมาให้ท่านผู้อ่านทราบพอเป็นเครื่องเทียบเคียงกับนิมิตทั้งหลาย
ที่เคยปรากฏแก่จิตตภาวนาของท่านพระอาจารย์มั่นเสมอมา ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ
กันตามรูปการณ์ของผู้เป็นต้นเหตุแห่งนิมิตนั้น ๆ
คือมีพระรูปหนึ่งเมื่อเป็นฆราวาสเธอเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในวงการมวย
เวลาบวชแล้วเกิดความเลื่อมใสอยากออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน
ได้ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่นว่า
เป็นพระปฏิบัติดีและเชี่ยวชาญทางจิตตภาวนาน่าเคารพเลื่อมใสมาก
จึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปสำนักท่านพระอาจารย์มั่น แต่ขณะที่จะออกเดินทางไปหาท่าน
มิได้นึกเฉลียวใจเรื่องของตัว คือเธอได้ถ่ายภาพนักมวยชกกันท่าต่าง ๆ
ไว้ในกระเป๋าราว ๑๐ กว่าแผ่นติดย่ามไปด้วย
แต่ตอนเธอถ่ายภาพนั้นจะถ่ายแต่เมื่อไรท่านมิได้เล่าให้ฟัง
เวลาเธอออกเดินทางจากพระนครไปเชียงใหม่หาท่านพระอาจารย์มั่นที่อยู่ในภูเขาลึก
จึงนำติดตัวไปด้วย พอไปถึงก็กราบรายงานตัวและความประสงค์ถวายท่านให้ทราบ
ขณะนั้นท่านก็มิได้พูดเป็นเชิงตำหนิหรือชมเชยแต่อย่างใด
เป็นอันว่าท่านรับให้อยู่ในสำนักด้วย ตกกลางคืนท่านคงพิจารณาเรื่องพระรูปนั้นอย่างละเอียดแน่นอน
พอตอนเช้าเวลาพระมารวมกันที่บริเวณที่ฉัน ท่านก็ออกมาพอดี
และเริ่มพูดเรื่องพระรูปนั้นออกมาทันทีว่า ท่าน…..นี้ตามเจตนาเดิมก็มุ่งมาเพื่อศึกษาอรรถธรรม
มองดูอากัปกิริยาที่แสดงออกก็ไม่แสลงหูแสลงตา เป็นกิริยาที่น่าสงสาร
แต่คืนนี้ทำไมท่านนี้แสดงกิริยาน่ากลัวพิลึก คือผมกำลังนั่งภาวนาอยู่ ปรากฏว่าท่าน…..เดินมาอยู่ตรงหน้าผม
ห่างกันประมาณหนึ่งวาเศษ แล้วตั้งหมัดตั้งมวยออกท่านั้นท่านี้ให้ผมดูอยู่พักใหญ่
แล้วค่อยถอยห่างออกไป จากนั้นก็เดินชกลมชกแล้งเตะเมฆเตะหมอก
เตะซ้ายถีบขวาไปจนลับสายตา ท่านนี้เคยเป็นนักมวยมาหรืออย่างไรก่อนจะมาบวช
ถึงได้แสดงลวดลายนักมวยให้ดูเป็นการใหญ่
ขณะนั้นพระที่อยู่กับท่านและพระที่เป็นนักมวย
ต่างนั่งนิ่งเงียบด้วยความฉงนสนเท่ห์ เฉพาะรูปนั้นมองดูหน้าซีดเซียวไปหมด
ว่าอย่างไรท่าน…… ท่านเป็นอย่างไรในความรู้สึกถึงได้มาทำอย่างนั้นให้ผมดู
แต่ดีอยู่หน่อยที่ไม่มาต่อยเอาผมเข้า
เช้าวันนั้นท่านพูดเพียงเท่านั้นก็ยุติเพราะได้เวลาออกบิณฑบาต
หลังจากนั้นก็มิได้พูดอะไรต่อไปอีก
ตกกลางคืนท่านอบรมพระเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป เรื่องก็ไม่มีอะไร
พอตกกลางคืนท่านคงพิจารณาพระรูปนั้นอีก จึงได้เรื่องพระรูปนั้นมาพูดอีกในเช้าวันต่อมาว่า
ท่าน….นี้ท่านมาหาผมเพื่ออะไรแน่
คืนนี้ท่านก็มาตั้งหมัดตั้งมวยโดดโน้นเตะนี้ให้ผมดูเกือบตลอดคืน
เรื่องท่านแสดงความผิดปกติของพระผู้มาด้วยเจตนาหวังดีมาได้สองคืนแล้ว
ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ทั้งก่อนจะมาหาผมและขณะที่มาอยู่กับผมขณะนี้
นิมนต์ท่านเล่าความจริงให้ผมฟังด้วย ไม่เช่นนั้นผมเห็นจะรับท่านไว้ในสำนักไม่ได้
เพราะเป็นมาได้สองคืนแล้ว ที่ผมไม่เคยปรากฏลักษณะนี้มาก่อนเลย
พระรูปนั้นนั่งตัวสั่นเทา ๆ มองดูหน้าซีดไปหมดเหมือนคนจะเป็นลมและจะล้มลงในขณะนั้น
พอดีมีพระรูปหนึ่งท่านเห็นท่าไม่ดี เลยรีบกราบเรียนขอโอกาสท่านอาจารย์มั่นพูดกับเธอ
ซึ่งกำลังจะสลบอยู่ในขณะนั้นว่า
นิมนต์ท่านกราบเรียนท่านอาจารย์โดยตรงตามเรื่องที่ท่านมีความรู้สึกอย่างไร
เพราะเท่าที่ท่านอาจารย์ถามก็เพื่อทราบความจริงเท่านั้น
มิได้มุ่งความเสียหายแก่ท่านแม้น้อยแต่อย่างไร เท่าที่พวกผมอยู่กับท่านมาก็ใช่อยู่กันด้วยความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสโดยไม่มีความผิดที่จะมิให้ท่านดุด่าว่ากล่าวอะไรได้
แต่อยู่ด้วยกันในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ซึ่งเหมือนพ่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน
ย่อมมีการดุด่าว่ากล่าวกันตลอดมา ในเมื่อผู้ใดทำผิดหูผิดตาท่านในฐานะที่ท่านเป็นครูอาจารย์ผู้สอดส่องมองดูเพื่อความดีงามของบรรดาศิษย์
ก็จำต้องมีการสอบถามและว่ากล่าวสั่งสอนไปตามเหตุการณ์
พวกผมเคยถูกดุด่าว่ากล่าวจากท่านมาเป็นประจำยิ่งกว่าที่ท่านว่าให้ท่านเสียอีก
ขนาดไล่หนีจากวัดในเดี๋ยวนั้นก็ยังมี แต่ก็ยังอยู่กับท่านมาได้จนทุกวันนี้ เมื่อรู้สึกโทษและยอมตนว่าผิดแล้ว
ท่านเองก็ไม่เห็นขับไล่ไสส่งไปไหนอีก คงอยู่ด้วยกันมาดังที่ท่านเห็นอยู่ขณะนี้แล
คำที่ท่านกำลังเตือนท่านอยู่ขณะนี้ขอนิมนต์พิจารณาด้วยดี
ตามที่พวกผมฟังดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรพอจะกลัวท่านจนเลยขอบเขตแห่งความพอดี
ถ้าท่านมีอะไรก็นิมนต์กราบเรียนท่านตามความจริง
เมื่อไม่มีอะไรผิดหรือสุดวิสัยที่จะคิดค้นมาเล่าถวายได้
ก็กราบเรียนท่านโดยตรงว่าสุดวิสัยที่จะตามรู้ในเรื่องอดีตที่ล่วงมาแล้ว
ท่านจะฆ่าก็ยอมตาย ท่านจะขายก็ยอมเป็นสินค้า
ท่านจะขับไล่ไสส่งไปไหนก็สุดแต่กรรมของตัวจะพาให้เป็นไป ดังนี้แล้วเรื่องก็จะยุติลงได้
พอท่านองค์นั้นพูดจบลง
ท่านอาจารย์ก็ถามเธอซ้ำอีกว่า ว่าอย่างไรเล่าท่าน? ผมเองก็มิได้คิดจะหาเรื่องหาราวอะไรใส่ท่านโดยไม่มีสาเหตุ
แต่พอหลับตาลงไปก็เห็นแต่เรื่องท่านมาขวางหน้าอยู่แทบทั้งคืน
จนเกิดความสลดสังเวชใจว่า พระทั้งองค์ทำไมมาเป็นได้อย่างนี้
และเป็นได้ทุกคืนที่ท่านมาอยู่กับผมที่นี่แล้ว ก็ต้องถามท่านผู้เป็นต้นเหตุว่า
ท่านจะมีอะไรที่ไม่ดีไม่งามอยู่บ้างจึงมาแสดงเหตุอย่างนั้นไม่ยอมลดละ
หรือว่าความรู้ผมซึ่งเคยเชื่อแน่ในใจตลอดมานั้นมันหลอกลวงผมและทำให้ท่านเสื่อมเสียไปด้วย
จึงขอให้ท่านพูดตามความสัตย์จริงให้ผมฟัง ถ้าท่านยังบริสุทธิ์ดีอยู่
เป็นแต่ความรู้ผมมันพาให้เป็นบ้าไปเอง ก็เท่ากับผมก็เป็นพระบ้าองค์หนึ่ง
ซึ่งไม่ควรอยู่กับหมู่คณะต่อไป จะทำให้หมู่พวกล่มจมไปด้วย
ต้องหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัวอยู่ตามแบบบ้าของตน และต้องระงับการอบรมสั่งสอนใคร ๆ ทันที
ขืนสั่งสอนต่อไปโลกจะฉิบหายล่มจมไปเสียหมด เพราะความรู้บ้า ๆ
ของผมเพียงคนเดียวเป็นสาเหตุ
ท่านที่เคยเตือน
ๆ เธอซ้ำอีก
เธอจึงเริ่มกราบเรียนเรื่องราวต่อท่านอาจารย์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแทบไม่เป็นเสียงผู้เสียงคนว่า
“ผมเป็นนักมวย” เท่านี้ก็หยุดเอาอย่างห้วน ๆ ท่านถามย้ำอีกว่า
ท่านเป็นนักมวยใช่ไหม เธอตอบว่าใช่เพียงคำเดียวเท่านั้น ท่านถามว่า
ก็ท่านกำลังเป็นพระอยู่แล้วไปเป็นนักมวยได้อย่างไรกัน
หรือเวลาท่านมาที่นี่ก็ชกมวยหาเงินมาตามทางด้วยอย่างนั้นหรือ? ท่านถามอะไรเธอเป็นเหมือนไม่มีสติรับทราบเรื่องผิดถูกดีชั่วอะไรเลย
มีแต่ครับเอาเสียเรื่อย
ท่านที่เคยพูดกับเธอจึงถามเป็นเชิงชักจูงให้เธอได้สติรับทราบบ้างว่า
มิใช่ท่านเคยเป็นนักมวยแต่คราวเป็นฆราวาสโน้น
เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอย่างนั้นอีกมิใช่หรือ? เธอตอบว่าใช่
เป็นนักมวยมาแต่คราวเป็นฆราวาส แต่เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอีก
ท่านอาจารย์มั่นเห็นอาการไม่ดี
จึงหาอุบายว่าได้เวลาบิณฑบาต หลังจากนั้นท่านก็สั่งพระให้ไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ
เพราะเธอพูดกับท่านอาจารย์ไม่ได้เรื่องเนื่องจากเธอกลัวท่านมาก
หลังจากฉันเสร็จแล้วพระที่เคยพูดกับเธอจึงถือโอกาสไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ
ก็ได้ความว่าเธอเคยเป็นนักมวยสวนกุหลาบผู้มีชื่อเสียงมาหลายปี
เกิดความเบื่อหน่ายทางฆราวาสจึงออกบวชเป็นพระ มุ่งหน้ามาหาท่านอาจารย์
พอได้ทราบความชัดเจนจากเธอแล้ว ก็มากราบเรียนท่านอาจารย์ให้ทราบตามเรื่องที่เป็นมา
ท่านก็มิได้ว่าอะไรต่อไป เรื่องของเธอก็เป็นอันผ่านไป
นึกว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องของเธอไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะตอนกลางคืนท่านให้โอวาทเธอองค์นั้นบ้างแล้วก็คงจะไม่ปรารภอะไรอีก
แต่ที่ไหนได้ ตอนกลางคืนท่านพิจารณาเรื่องของเธออีก
ตอนเช้าก็ได้เรื่องเธอมาพูดในท่ามกลางหมู่คณะอีกตามเคยว่า เรื่องท่าน…..นี้ยังไม่มีแต่ความเคยเป็นนักมวยเท่านั้น
แต่ยังมีอะไรแฝงอยู่อีก ขอให้ท่านไปพิจารณาให้ดีอีกที
เพียงเคยเป็นนักมวยมาแต่ฆราวาสเท่านั้น เรื่องก็ควรยุติไปแล้วไม่ควรมาปรากฏซ้ำ ๆ
ซาก ๆ อีกทำนองนี้ พูดเพียงเท่านั้นก็หยุด
พอได้โอกาสพระองค์ที่คุ้นเคยกับเธอก็ไปหาเธอและถามเรื่องราวนั้นอีก ก็ทราบว่าเธอมีรูปภาพคนชกมวยท่าต่าง
ๆ ติดมาด้วย จึงให้เธอเอาออกมาดู ก็ได้เห็นภาพมวยท่าต่าง ๆ ราว ๑๐ กว่าแผ่น
พระที่ไปดูก็ปักใจลงว่า ต้องเป็นภาพนี้แน่นอนที่ทำให้ท่านเดือดร้อนอยู่ไม่หยุด
จงเอาไปทิ้งหรือเผาไฟเสีย เธอก็ปฏิบัติตามและพากันเอาภาพนั้นไปเผาไฟทิ้งจนหมด
จากนั้นก็มิได้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป
ต่างอยู่ด้วยความสงบสุข เธอเองก็เป็นพระปฏิบัติดีมีมรรยาทที่น่าเลื่อมใส
ท่านอาจารย์เองก็เมตตาเธอมากตลอดมา โดยมิได้พูดถึงเรื่องอดีตของเธออีกต่อไป
จากนั้นเธอก็อยู่ด้วยความผาสุก เวลามีโอกาสพระก็ถามเป็นเชิงล้อเล่นกับเธอเกี่ยวกับเรื่องอดีต
เธอพูดให้พระฟังถึงเรื่องท่านอาจารย์ดุเธอว่า
เธอตายไปครึ่งหนึ่งแทบไม่มีความรู้สึกรับรู้เรื่องดีชั่วอะไรเลย
จึงได้ตอบท่านไปแบบคนตายครึ่งมิใช่คนเต็มเต็ง
ถ้าท่านไม่ช่วยเมตตาอนุเคราะห์แล้วคงจะเป็นบ้าไปเลย
(คำว่าท่านหมายถึงพระองค์ที่ช่วยพูดแทน) ไม่มีวันกลับเป็นคนดีได้แน่ ๆ
แต่ท่านอาจารย์เองท่านก็ฉลาดมาก พอเห็นเราจะเป็นบ้าและตายต่อหน้าท่าน
ท่านก็รีบระงับเรื่องลงทันที แล้วพูดเรื่องอื่นมากลบเสีย
ทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องนี้อยู่ในใจท่านเลย
นี้คือภาพที่ปรากฏทางนิมิตภาวนาที่ท่านเคยใช้เป็นคู่เคียงกันตลอดมามิได้ลดละ
เพราะเป็นธรรมจำเป็นไม่ด้อยกว่าปรจิตตวิชชา การกำหนดรู้วาระจิตของผู้อื่น
ท่านเล่าว่า
ท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่มีประสบเหตุการณ์ทั้งภายในโดยเฉพาะ
และเกี่ยวกับสิ่งภายนอกมากมายกว่าที่ทั้งหลายที่เคยผ่านมาในชีวิตแห่งนักบวช
สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้เห็นขึ้นมาเป็นขึ้นมา ทั้งน่าตื่นเต้นอัศจรรย์ตลอดมา
ยิ่งเวลาพักอยู่คนเดียวด้วยแล้วก็ยิ่งพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของลึกลับมากมาย
แม้ตัวเองก็ไม่อาจจะประมาณได้
เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติรู้เห็นตามวิสัยของตนหากรู้เห็นอยู่ทำนองนั้น
รู้เห็นในเวลาเข้าที่ก็มี เวลาธรรมดาก็มี จึงน่าแปลกประหลาดและอัศจรรย์
จิตดวงที่เคยโง่และมืดมิดปิดทวารมาแต่ก่อน
ซึ่งไม่คาดฝันว่าจะสามารถรู้เห็นได้ดังที่รู้ ๆ เห็น ๆ
อยู่กับเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องในปัจจุบัน ประหนึ่งสิ่งที่มาเกี่ยวข้องนั้น ๆ
เพิ่งจะมีขึ้นในปัจจุบัน ทั้งที่เคยมีอยู่ดั้งเดิมแต่กาลไหนกาลไรมา
นอกจากเวลาจิตเข้าพักสงบเต็มที่
ล่วงเลยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องถึงเท่านั้น
จึงไม่มีอะไรปรากฏในเวลานั้น จิตพักอยู่ด้วยธรรม ธรรมอยู่ด้วยจิต จิตเป็นธรรม
ธรรมเป็นจิต เป็นเอกภาพ คือธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน ไม่มีสองกับอะไร
ไม่มีสมมุติใด ๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง กาลไม่มี สถานที่ไม่ปรากฏ
ขันธ์ไม่มีในความรู้สึก สุขทุกข์ที่เป็นสมมุติไม่ปรากฏ
ถ้าจิตไม่ถอนขึ้นมาจะอยู่ไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือกี่กัป กี่กัลป์
ก็ไม่ปรากฏสมมุติ มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นต้น เข้าไปรบกวน
เพราะเป็นความดับสมมุติอย่างสนิท
แม้สมมุติทั้งหลายมีขันธ์ที่กำลังครองตัวอยู่เป็นต้น เกิดขโมยแตกสลายไป
ในขณะที่จิตกำลังพักอยู่ในนิโรธธรรม คือความดับสมมุติทั้งหลายก็คงไม่มีทางทราบได้
จิตคงเป็นสภาพนั้นไปเลย
นี่เป็นเพียงพูดตามความเป็นของจิตในเวลาเข้าพักระงับดับสมมุติชั่วคราว
คงไม่พักตลอดไปเป็นปี ๆ ดังที่ว่านั้น
เช่นเดียวกับคนนอนหลับสนิทย่อมหมดการรับทราบในขันธ์
แม้จะหลับไปกี่วันก็คงเป็นทำนองคนนอนหลับอยู่นั่นเอง
นอกจากเวลาตื่นนอนขึ้นมาแล้วถึงจะรับทราบความสุขทุกข์ไปตามหน้าที่ที่เคยรับ
แต่การเข้าพักสงบจิต
จะเป็นพักสงบธรรมดาหรือพักในนิโรธสมาบัติ ก็เป็นสมมุติอยู่โดยดี
เป็นแต่ผู้เข้าพักเป็นผู้พ้นจากสมมุติแล้วเท่านั้น
กิริยาแห่งสมมุติทั้งปวงจึงไม่สามารถทำวิสุทธิจิตนั้นให้กำเริบเป็นอื่นได้
คงเป็นวิมุตติจิตอยู่ตามเดิมในฐานะเป็น อกาลิกจิต
คือจิตที่พ้นจากกาลสถานที่เป็นต้นไปแล้ว เป็นจิตที่หมดความคาดหมายด้นเดาใด
ๆ ทั้งสิ้น จึงไม่ควรคาดหมายด้นเดาให้เสียเวลาและลำบากเปล่า
ขณะจิตที่พักตัวอยู่ในความสงบลบสมมุติทั้งมวลแล้ว ไม่รับธุระหน้าที่ใด ๆ
ฉะนั้นสิ่งที่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องให้รู้เห็นจึงระงับดับสูญไปหมดเวลานั้น ต่อเมื่อถอนออกจากสมาธิสมาบัติออกมาอยู่ขั้นอุปจารสมาธิ
หรือเป็นวิสุทธิจิตธรรมดาแล้ว ถ้ามีเหตุควรรู้
จิตควรรู้และรับทำธุระไปตามหน้าที่และกำลังของตนต่อไปตามกาลอันควร
ท่านว่าจิตท่านเปิดเผยต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ
ทั้งอยู่ในอุปจารสมาธิและอยู่ปกติธรรมดา
ต่างกันเพียงลึกตื้นหยาบละเอียดหรือกว้างแคบเท่านั้น ถ้าต้องการความละเอียดและกว้างขวางต้องเข้าอุปจารสมาธิพิจารณา
เรื่องเกี่ยวกับตาพิเศษ
หูพิเศษก็เช่นกัน ต้องเข้าอุปจารสมาธิสงบอารมณ์น้อย ๆ แล้วคอยรับทราบ
จะทราบทางรูปคนเสียงคน หรือรูปสัตว์เสียงสัตว์ หรือมากไปกว่านั้น
ตามแต่ความประสงค์จะทราบก็ทราบได้ เหมือนเห็นด้วยตาเนื้อ ฟังด้วยหูหนัง
เรื่องทั้งนี้ท่านเคยเล่าให้ฟังเวลาท่านไปพักอยู่กับพวกชาวเขา
ซึ่งไม่เคยเห็นพระสงฆ์เป็นส่วนมาก
นอกจากผู้มีโอกาสได้ลงมาเมืองหรือหมู่บ้านที่มีพระสงฆ์ถึงจะมีโอกาสได้เห็นบ้าง
ขณะท่านไปถึงทีแรกสององค์ด้วยกัน
ก็พากันพักอยู่ชายภูเขา ห่างจากหมู่บ้านชาวเขาราวสองกิโลเมตร พักอยู่ร่มไม้ธรรมดา
ตอนเช้าพากันเข้าไปบิณฑบาต คนชาวเขาเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตก็ถามท่านว่า
ตุ๊เจ้ามาธุระอะไร ท่านก็บอกว่ามาบิณฑบาต เขาถามว่ามาบิณฑบาตอย่างไร? เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ
ท่านบอกว่าบิณฑบาตข้าว เขาถามว่าข้าวสุกหรือข้าวสาร ท่านบอกว่าข้าวสุก
เขาก็บอกกันให้หาข้าวสุกมาใส่บาตรท่าน ได้แล้วก็กลับมาที่พัก และฉันแต่ข้าวเปล่า ๆ
อยู่นาน
ขณะไปพักอยู่ที่นั้น
ทีแรกชาวบ้านเขาไม่มีความเลื่อมใสและไว้วางใจท่านเลย
ตกกลางคืนหัวหน้าบ้านตีเกราะนัดให้ชาวบ้านมาประชุมรวมกันและประกาศว่า
ขณะนี้มีเสือเย็นสองตัว (หมายถึงท่านอาจารย์กับพระที่อยู่ด้วยกันสององค์)
มาพักอยู่ในป่าแห่งนั้น จะเป็นเสือเย็นประเภทใดก็ยังทราบไม่ได้
พวกเราไม่ไว้ใจเสือเย็นสองตัวนั้น จึงห้ามไม่ให้เด็กและผู้หญิงเข้าไปในป่านั้น
แม้ผู้ชายจะไปก็ควรมีพวกมีเพื่อนและมีเครื่องมือติดตัวไปด้วย ไม่ควรไปคนเดียวและไปแต่ตัวเปล่า
ๆ เดี๋ยวเสือเย็นสองตัวนั้นเอาไปกินจะว่าไม่บอก
ขณะที่เขากำลังประชุมประกาศเรื่องเสือเย็นให้ชาวบ้านทราบ
ก็เป็นเวลาที่ท่านอาจารย์กำลังเข้าที่ภาวนาอยู่พอดี
เรื่องที่เขาประกาศให้ชาวบ้านทราบทั้งหมด
จึงเป็นเหมือนประกาศให้ท่านซึ่งกำลังตกอยู่ในคำกล่าวหาว่าเป็นเสือเย็นทราบด้วยโดยตลอด
ท่านเกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่งที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่า
ตนจะเป็นพระประเภทเสือเย็นดังคำกล่าวหา
ขณะนั้นแทนที่ท่านจะโกรธและเสียใจในคำกล่าวหาของเขา
แต่กลับเกิดความเมตตาสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก กลัวเขาผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มีจำนวนมาก
จะพลอยเชื่อตามคำเหลวไหลนั้น และพลอยเป็นบาปหาบกรรมไปตาม ๆ กัน
เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้ว เขาจะไปเกิดเป็นเสือกันทั้งบ้าน
พอตื่นเช้าท่านก็รีบบอกกับพระที่อยู่ด้วยว่า
คืนนี้พวกชาวบ้านเขาประชุมประกาศกันว่า
เราทั้งสององค์เป็นเสือเย็นที่ปลอมแปลงตัวเป็นพระมาหลอกลวงอย่างแยบยลลึกลับ
เพื่อให้เขาตายใจเชื่อถือ แล้วกลับทำลายชีวิตและทรัพย์สินเขาด้วยวิธีต่าง ๆ
ฉะนั้นเขาจึงไม่เลื่อมใสและไว้ใจพวกเราทั้งสองเลยเวลานี้
หากว่าเราทั้งสองหนีไปจากที่นี่เสียในเวลาที่เขากำลังคิดไม่ดีอยู่ขณะนี้
เวลาเขาตายไปจะพากันไปเกิดเป็นสัตว์เป็นเสือกันทั้งบ้าน
ซึ่งนับว่าเป็นกรรมเก่าเขาไม่เบาเลย
เพื่อความอนุเคราะห์เขาซึ่งควรแก่สมณกิจที่พอทำได้ จึงควรอดทนอยู่ที่นี่ไปก่อน
แม้จะทุกข์ลำบากก็พยายามอดทนไปจนกว่าเขาจะพากันกลับใจได้
แล้วจะไปที่ไหนค่อยไปกันดังนี้
นอกจากเขาไม่ไว้ใจและเลื่อมใสแล้ว
พวกผู้ชายยังพากันมาคอยสังเกตการณ์ตามสถานที่ที่ท่านพักอยู่บ่อย ๆ ครั้งละ ๓-๔
คนโดยมีเครื่องมือติดตัวมาด้วย มายืนลอบ ๆ มอง ๆ อยู่แถวบริเวณใกล้ ๆ บ้าง
มายืนอยู่ข้างทางจงกรมบ้าง มายืนอยู่ที่หัวจงกรมบ้าง มายืนอยู่กลางทางจงกรมบ้าง
ในเวลาท่านกำลังเดินจงกรมทำความเพียรอยู่
ต่างคนต่างจ้องและสอดส่ายสายตามองมายังท่านและเหลือบมองไปรอบ ๆ บริเวณ
เขาใช้เวลาสังเกตการณ์ด้วยความไม่ไว้ใจอยู่ทำนองนั้นนานประมาณครั้งละ ๑๐ นาทีบ้าง
๑๕ นาทีบ้างแทบทุกวัน
และไม่พูดจาไต่ถามอะไรกับท่านในระยะเริ่มแรกแล้วก็พากันกลับไป วันหลังได้โอกาสก็พากันมาใหม่
เขาใช้เวลาสังเกตท่านอยู่นานวันพอสมควร
ส่วนอาหารปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นอยู่หลับนอนของพระเสือเย็นทั้งสองตัว
จะขาดตกบกพร่องหรือจะเป็นจะตายอย่างไรบ้างนั้น
เขามิได้พากันสนใจคิดและขวนขวายกันเลย ฉะนั้นการเป็นอยู่ของท่านทั้งสองที่เขาให้นามว่าเสือเย็นจึงลำบากอัตคัดมาก
อาหารบิณฑบาตอย่างมากก็ได้ข้าวเปล่า ๆ มาฉัน บางวันรวมทั้งฉันน้ำด้วยก็อิ่มพอเบาะ
ๆ บางวันรวมทั้งฉันน้ำก็ไม่พอ
ที่อยู่หลับนอนก็อาศัยโคนไม้เป็นประจำทั้งแดดทั้งฝนก็ทนเอา เพราะที่นั้นไม่มีถ้ำหรือเงื้อมผาพอได้อาศัย
ถ้าฝนตกชุกมาก ในบางวันตกทั้งวัน
พอฝนเบาลงบ้างก็พยายามเที่ยวเก็บใบไม้แห้งหญ้าแห้งมาทำเป็นจากมุงพอบังแดดบังฝนไปพลาง
พอประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยความทุกข์ลำบากมากมาย
ขณะฝนตกก็เข้าหลบซ่อนอยู่ในกลดในมุ้งพอบรรเทาความหนาว
เวลาลมพัดจากภูเขามาอย่างแรงฝนก็สาด กลดก็จะปลิวหลุดมือ
องค์ท่านและบริขารก็เปียกตัวสั่นเหมือนลูกนกลูกกา ถ้าเป็นตอนกลางวันก็พอทำเนา
มองเห็นที่ไป ที่หลบซ่อนและที่เก็บบริขารต่าง ๆ บ้าง
แต่ฝนตกเอาตอนกลางคืนรู้สึกลำบากมาก ตาก็มองไม่เห็นอะไรทั้งฝนกระหน่ำลง
ลมกระหน่ำมาประดังกัน กิ่งไม้ที่ถูกลมพัดอย่างแรงต่างก็ขาดตกลงข้างหน้าข้างหลังตูมตาม
ๆ ไม่แน่ใจว่าชีวิตจะต้านทานฝน ต้านทานลม
ต้านทานความเหน็บหนาวหรือจะต้านทานกิ่งไม้น้อยใหญ่ที่หักตกลงและโหมกันมาจากทิศต่าง
ๆ ในขณะนั้น
เมื่อชีวิตยังอยู่ก็ทนกันไป
ร้อนก็ทนไป หนาวก็ทนไป หิวก็ทนไป กระหายก็ทนไป อดบ้างอิ่มบ้างก็ทนไป
จนกว่าจะหมดกลิ่นแห่งความระแวงสงสัยของชาวบ้านที่หวาดระแวงต่อท่าน
ว่าเป็นเสือเย็นคอยหลอกลวงกินเนื้อกินหนังเขา การขบฉันแม้เพียงข้าวเปล่า ๆ
ก็อดมื้ออิ่มมื้อ สิ่งอื่นนั้นไม่จำต้องพูดถึงว่าเขาจะมีความสนใจไยดีให้ท่าน
ที่พักที่อยู่ก็แบบคนอนาถาหาที่เกาะที่พึ่งไม่ได้เราดี ๆ นี่เอง
น้ำก็หิ้วกาน้ำลงไปในคลองซึ่งอยู่ตีนเขา กรองให้เต็มกาแล้วก็หิ้วขึ้นมาฉันมาใช้
หลังจากสรงเสร็จแล้ว แต่ทำความเพียรสะดวกดีมาก หมดกังวลทุกด้านไม่มีอะไรเกาะเกี่ยว
ตอนกลางคืนยามดึกสงัดทำภาวนาฟังเสียงเสือกระหึ่มไปมาทีละหลาย
ๆ ตัว ใกล้ ๆ บริเวณที่ท่านพักใต้ร่มไม้
แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งที่เสือไม่เข้ามาหาท่านเลย
ล้วนเป็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนทั้งนั้น
ท่านว่าท่านเพลิดเพลินไปกับเสียงสัตว์ชนิดต่าง ๆ
แต่บางทีเสือก็เข้ามาหาท่านและลูกศิษย์ท่านเหมือนกัน เขาคงสงสัยว่าเป็นสัตว์ซึ่งควรจะเป็นอาหารได้บ้าง
แล้วแอบเข้ามาดู พอคนกระดุกกระดิกลุกขึ้นเขาร้องโก้กพร้อมกับกระโดดเข้าป่าไป
วันหลังไม่เห็นเขามาหาอีกเลย
พอตกบ่าย
ๆ ก็มีชาวบ้านราว ๓-๔ คนออกมาสังเกตการณ์แทบทุกวัน แต่เขาไม่พูดจาอะไรกับท่าน
ท่านก็มิได้สนใจกับเขา เฉพาะพวกเขาเองบางครั้งมีการพูดกระซิบกระซาบกัน
ขณะที่พวกเขามาที่นั่นท่านกำหนดจิตดูจิตใจเขาที่คิดปรุงอยู่ทุกขณะและทุกเวลาที่เขามา
ส่วนพวกเขาเองก็คงไม่สนใจคิดว่า
ท่านจะรู้เรื่องความคิดปรุงทางใจตลอดคำพูดเขาที่ระบายออกจากใจผู้บงการอะไรเลย
คงเข้าใจว่าตนมีความลับที่ไม่มีใครสามารถสอดรู้อยู่ภายใน จึงสนุกคิดเรื่องต่าง ๆ
อย่างเพลินใจ ซึ่งโดยมากก็เป็นความคิดคอยจับผิดท่านอยู่ภายใน
ท่านกำหนดดูใจของใครที่มาด้วยกันกี่คน
ก็มีความรู้สึกนึกคิดที่คอยจับผิดอยู่ภายในเช่นเดียวกันหมด
สมกับเขาประกาศสั่งพวกเขาให้มาสังเกตการณ์จริง ๆ
ท่านเองแทนที่จะคิดระวังตัวกลัวเขาจะจับผิด
แต่กลับคิดสงสารเขาเป็นกำลัง
ว่าคนในบ้านนั้นมีไม่กี่คนที่เป็นผู้ชักนำชาวบ้านซึ่งมีหลายคนให้เห็นผิดไปด้วย
ท่านพักอยู่ที่นั้นเป็นเดือน ๆ
ยังไม่เห็นเขาลดละความพยายามคอยจับพิรุธความผิดพลาดท่าน
พวกใดมาหาล้วนมีความจ้องมองหาแต่ความผิดกับท่านเช่นเดียวกัน
ท่านว่าเขาช่างพยายามเอาเสียจริง ๆ
แต่ยังดีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาไม่พร้อมใจกันมาขับไล่ท่านให้หนีจากที่นั้น
เป็นเพียงจัดวาระกันมาควบคุมโดยทางลับเท่านั้น เมื่อท่านอยู่นานไป
ทั้งพวกเขาก็มาสังเกตดูอยู่หลายครั้ง เฉพาะพวกหนึ่ง ๆ ยังไม่อาจจับความเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดท่านได้
เขาคงแปลกใจอยู่มาก
ในเวลาต่อมาคืนวันหนึ่งท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่
ได้ยินหรือทราบขึ้นภายในใจว่า
หัวหน้าบ้านประชุมสอบถามผลของการสังเกตการณ์ว่าได้ผลคืบหน้าไปเพียงใดบ้าง
ชาวบ้านบรรดาที่มาสังเกตให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีผลอะไรตามความคิดเห็นของพวกเราที่คิดกัน
ไปทำอย่างนั้นดีไม่ดี น่ากลัวจะเป็นโทษมากกว่าผลที่คาดกัน ผู้สงสัยซักขึ้น
ทำไมว่าอย่างนั้น เขาตอบกันว่า ก็เท่าที่สังเกตดูแล้ว ตุ๊เจ้าสองตนนั้น
(ตุ๊เจ้าหมายถึงพระ) ไม่เห็นมีกิริยาท่าทางใด ๆ ที่เป็นไปดังที่พวกเราคาดกัน
ไปสังเกตดูทีไรก็เห็นแต่ท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่บ้าง
ท่านเดินกลับไปกลับมาในท่าสำรวม ไม่มองโน้นมองนี้อย่างคนทั่ว ๆ ไปบ้าง
คนที่จะเป็นเสือเย็นตั้งท่าคอยฉีกสัตว์กัดคนคงไม่ทำอย่างนั้น
ต้องมีอาการแสดงออกให้พอจับได้บ้าง
แต่ตุ๊เจ้าสองตนนี้ไม่มีกิริยาเช่นนั้นแฝงอยู่บ้างเลย ถ้าขืนไปทำอย่างที่พากันทำอยู่ทุกวันนี้
จึงน่ากลัวเป็นบาป ทางที่ถูกควรไปศึกษาไต่ถามท่านดูให้รู้เหตุผลต้นปลายก่อน อยู่ ๆ
ก็ไปเหมาว่าท่านไม่ดีเอาเลยตามความคิดเห็นเฉย ๆ อย่างนี้น่ากลัวเป็นบาป
บรรดาพวกที่ไปสังเกตท่านมาแล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ท่านเป็นตุ๊เจ้าดียากจะหาได้ พวกเราก็เคยเห็นตุ๊เจ้ามาบ้างพอจะรู้ของดีของไม่ดี
บางรายก็ว่า เคารพเลื่อมใสท่านมากกว่าจะคิดแส่หาโทษท่าน
ถ้าอยากทราบรายละเอียดก็ควรไปศึกษาไต่ถามท่านดูบ้างว่า การนั่งหลับตานิ่ง ๆ ก็ดี
การเดินกลับไปกลับมาก็ดี ท่านนั่งเพื่ออะไร และท่านเดินหาอะไร
ท่านว่าสุดท้ายแห่งการประชุมของชาวป่าได้ความว่า
ให้คนไปไต่ถามท่านดูตามที่ตกลงกัน ตื่นเช้ามาท่านก็พูดกับพระที่อยู่ด้วยว่า
เขาเริ่มกลับใจมาทางดีแล้ว คืนนี้เขาประชุมกันเกี่ยวกับการมาสังเกตดูพวกเรา
ตกลงกันว่าจะจัดให้คนมาไต่ถามข้อข้องใจกับพวกเรา พอวันหลังตอนบ่าย ๆ เขาพากันมาจริง
ๆ ดังที่รู้ไว้ ในจำนวนที่มามีคนหนึ่งถามขึ้นว่า ตุ๊เจ้านั่งหลับตานิ่ง ๆ
และเดินกลับไปกลับมานั้น ตุ๊เจ้านั่งและเดินหาอะไร ท่านตอบเขาว่า พุทโธเราหาย
เรานั่งและเดินหาพุทโธ เขาถามท่านว่า พุทโธเป็นตัวอย่างไร
พวกเราจะช่วยตุ๊เจ้าหาได้ไหม? ท่านตอบว่า
พุทโธเป็นดวงแก้วอันประเสริฐเลิศโลกในไตรภพ เป็นดวงฉลาดรอบรู้ทั่วไตรโลกธาตุ
ถ้าสูจะช่วยเราหาก็ยิ่งดีมาก จะได้เห็นพุทโธเร็ว ๆ ง่าย ๆ ด้วย
(สูเป็นคำที่ชาวเขานับถือกันว่าดีมากสนิทกันมาก) เขาถามว่า
พุทโธตุ๊เจ้าหายมานานแล้วหรือ ท่านตอบว่า ไม่นาน ถ้าสูช่วยหาให้ยิ่งจะพบเร็วกว่าเราหาเพียงคนเดียว
เขาถามว่า
พุทโธเป็นดวงแก้วใหญ่ไหม?
ท่านตอบว่า ไม่ใหญ่ไม่เล็ก
พอดีกับเราและกับพวกสูดี ๆ นี่เอง ใครหาพุทโธพบคนนั้นประเสริฐ
มองเห็นอะไรได้ตามใจหวัง เขาถาม มองเห็นนรกสวรรค์ได้ไหมตุ๊เจ้า? ท่านตอบว่ามองเห็นซิ
ไม่เห็นจะว่าประเสริฐได้อย่างไร ลูกเมียผัวตายมองเห็นได้ไหมตุ๊เจ้า? ท่านตอบว่าเห็นหมด
ถ้าต้องการอยากเห็นเมื่อได้พุทโธแล้ว เขาถาม สว่างมากไหม? ท่าน
สว่างมากยิ่งกว่าพระอาทิตย์ตั้งร้อยดวงพันดวง
เพราะพระอาทิตย์ไม่สามารถส่องเห็นนรกสวรรค์ได้ แต่ดวงพุทโธสามารถส่องเห็นหมด
เขาถาม ผู้หญิงช่วยหาได้ไหม? เด็ก
ๆ ช่วยหาได้ไหม? ท่าน ได้ทั้งนั้น
ไม่นิยมว่าหญิงว่าชาย
ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใครหาก็ได้ทั้งนั้น เขาถามท่านว่า
พุทโธนั้นประเสริฐในทางใดบ้าง กันผีได้ไหม? ท่านตอบว่า พุทโธประเสริฐ และใช้ได้หลายทางจนนับไม่ถ้วน ในโลกทั้งสาม
คือกามโลก รูปโลก อรูปโลก โลกทั้งสามต้องยอมกราบพุทโธทั้งนั้น
ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพุทโธ ผีก็กลัวพุทโธมาก ต้องกราบพุทโธ ใครหาพุทโธแม้ยังไม่พบ
ผีเริ่มกลัวผู้นั้นแล้ว
เขาถามท่าน
พุทโธเป็นแก้วสีอะไรตุ๊เจ้า
ท่านตอบพุทโธเป็นแก้วดวงสว่างไสวและมีหลายสีจนนับไม่ได้
พุทโธนี้เป็นสมบัติอันวิเศษของพระพุทธเจ้า
พุทโธนั้นเป็นองค์แห่งความรู้ความสว่างไสวไม่เป็นวัตถุ
พระพุทธเจ้าท่านมอบให้พวกเราไว้หลายปีแล้ว
แต่เราเองยังหาพุทโธที่ท่านมอบให้ยังไม่เจอ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ตรงไหน
แต่จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญนัก ที่สำคัญก็คือถ้าสูจะพากันช่วยเราหาพุทโธจริง ๆ
ให้พากันนั่งหรือเดินนึกในใจว่าพุทโธ ๆ อยู่ภายในโดยเฉพาะ ไม่ให้จิตส่งออกไปนอกกาย
ให้รู้อยู่กับคำว่าพุทโธ ๆ เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้พวกสูอาจเจอพุทโธก่อนเราก็ได้
เขาถามท่านว่าการนั่งหรือเดินหาพุทโธจะให้นั่งหรือเดินนานเท่าไรถึงจะพบพุทโธแล้วหยุดได้
ท่านตอบ ให้นั่งหรือเดินเพียง ๑๕ หรือ ๒๐ นาทีก่อนสำหรับผู้ตามหาพุทโธทีแรก
พุทโธท่านยังไม่อยากให้พวกเราตามหาท่านนานนัก กลัวจะเหนื่อยแล้วตามพุทโธไม่ทัน
เดี๋ยวจะขี้เกียจเสียก่อน ทีหลังจะไม่อยากตามหาท่านแล้วเลยจะไม่พบท่าน
เอาเพียงเท่านี้ก่อน ถ้าอธิบายมากกว่านี้จะจำวิธีไม่ได้แล้วตามหาพุทโธไม่พบ
เสร็จแล้วเขาพากันกลับบ้าน
การลาท่านสำหรับเขาแล้วไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาไม่เคยลาใคร
ว่าจะไปเขาลุกขึ้นแล้วก็ไปทันทีทันใด ไม่สนใจคำลาใครทั้งนั้น พอไปถึงบ้านแล้ว
ชาวบ้านต่างมารุมถามเป็นการใหญ่
เขาอธิบายให้ฟังตามที่ท่านสั่งสอนเขาแต่โดยย่อไว้ก่อนนั้น นอกจากนั้น
เขายังอธิบายเรื่องท่านพระอาจารย์ให้ชาวบ้านฟังว่า ที่สงสัยการนั่งหลับตานิ่ง ๆ
และการเดินกลับไปกลับมานั้น ท่านนั่งและเดินหาพุทโธดวงเลิศต่างหาก
มิได้นั่งและเดินแบบเสือเย็นดังที่พวกเราเข้าใจกัน
พอชาวบ้านทราบวิธีตามที่พวกมาถามท่านนำไปเล่าให้ฟังแล้ว ต่างคนต่างสนใจฝึกหัดนึกพุทโธภายในใจโดยทั่วกัน นับแต่หัวหน้าบ้านลงมาถึงผู้หญิงและเด็ก ๆ
ที่พอรู้วิธีนึก พุทโธได้
เป็นที่อัศจรรย์ไม่คาดฝันว่า
จะมีผู้รู้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้าภายในใจอย่างประจักษ์โดยไม่เนิ่นนานนัก
คือผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตามหาพุทโธ แล้วประสบธรรม คือความสงบสุขทางใจจากการนึกบริกรรมพุทโธตามวิธีที่ท่านบอกเขา
ท่านเล่าว่าก่อนหน้า ๓-๔ วันที่เขาจะประสบผลจากพุทโธ
เขานอนหลับฝันถึงท่านพระอาจารย์มั่นว่า
ท่านเอาเทียนใหญ่ที่จุดไฟอย่างสว่างไสวแล้วไปติดไว้บนศีรษะเขา
พอท่านติดเทียนเสร็จแล้วนับแต่ศีรษะลงมาถึงตัวเขาปรากฏว่าสว่างไสวไปโดยตลอด
เขาดีใจมากว่าตนได้ของดีมีความสว่างไสวแผ่ออกไปนอกกายตั้งหลาย ๆ วา
พอจิตเขาเป็นขึ้นมาก็รีบมาหาท่านพระอาจารย์
และเล่าเรื่องความเป็นและความฝันให้ท่านฟังอย่างน่าอัศจรรย์
จากนั้นท่านก็ได้อธิบายเพิ่มเติมให้เขาไปทำต่อ ปรากฏว่าได้ผลอย่างรวดเร็วและยังสามารถรู้ใจของผู้อื่นได้อีกด้วย
ว่าใจของใครยังมีเศร้าหมองและผ่องใสเพียงใด
เขาพูดกับท่านอย่างไม่มีการสะทกสะท้านเลย
ซึ่งตรงกับจริตคนป่าที่มีนิสัยพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
ในเวลาต่อมาเขาออกมาเล่าธรรมให้ท่านฟังว่า
เขาได้พิจารณารู้เห็นจิตท่านอาจารย์และพระที่อยู่กับท่านได้อย่างชัดเจน
ท่านเองก็ถามเขาบ้างเป็นเชิงเล่น ๆ ว่าจิตของท่านเป็นอย่างไร มีบาปมากไหม? เขาตอบท่านทันทีเลยว่า
จิตของตุ๊เจ้าไม่มีจุดมีดวงเหลืออยู่แล้ว
มีแต่ความสว่างไสวอันเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่งอยู่ภายในเท่านั้น
ตุ๊เจ้าเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลกไม่มีใครเสมอเหมือน เฮาไม่เคยเห็น
(คำว่าเฮาเทียบกับคำว่าผม) ตุ๊เจ้ามาพักอยู่ที่นี่ตั้งนานร่วมปีแล้ว
ทำไมไม่สอนเฮาบ้างก๊าแต่แรกมาอยู่ (ก๊า เท่ากับ “เล่า” หรือ “ไหม”ก็ได้ แปลได้หลายนัยมากพอดู
มีติดท้ายประโยคได้ทั้งคำถาม คำตอบ)
ท่านตอบ
จะให้เราสอนอย่างไร ก็ไม่เคยเห็นพวกสูมาศึกษาไต่ถามเรานี่นา เขาตอบท่านว่า
ก็เฮาบ่ฮู้ก๊า (บ่เท่ากับไม่) ว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้วิเศษ ถ้าฮู้จะทนอยู่ได้อย่างไร
ต้องมาแน่ ๆ ทีนี้พวกเฮาฮู้แล้วก๊าว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้ฉลาดมาก
เวลาพวกเฮามาถามว่าตุ๊เจ้านั่งหลับตานิ่ง ๆ และเดินกลับไปกลับมานั้น ทำทำไม หรือหาอะไร
ตุ๊เจ้าก็บอกพวกเฮาว่าพุทโธหาย ให้พวกเฮาช่วยหา เมื่อถามถึงพุทโธเป็นลักษณะอย่างไร
ก็บอกไปว่าเป็นแก้วดวงสว่างไสว ความจริงจิตตุ๊เจ้าเป็นพุทโธอยู่แล้ว
มิได้สูญหายไปไหน แต่เป็นอุบายฉลาดของตุ๊เจ้าที่เมตตาสงสารพวกเฮาให้ภาวนาพุทโธ
เพื่อให้จิตพวกเฮาสว่างไสวเหมือนจิตตุ๊เจ้าต่างหาก
เฮาฮู้แล้วว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้ประเสริฐและเฉลียวฉลาด ปรารถนาให้พวกเฮาได้บุญ
มีความสุข และพบพุทโธดวงประเสริฐที่ใจตัวเอง มิใช่หาพุทโธให้ตุ๊เจ้า
นับแต่เขาคนนั้นได้เห็นธรรมภายในใจเพียงคนเดียวเท่านั้น
เรื่องก็กระจายไปทั่วบ้านในไม่ช้า คนในบ้านต่างก็เกิดความสนใจและพากันภาวนาพุทโธไปตาม
ๆ กัน ตลอดเด็กเล็ก ๆ และเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสท่านพระอาจารย์มั่นมาก
เรื่องเสือเย็นเลยหายซากไป ไม่มีใครกล่าวถึงเลย
นับแต่นั้นมาเวลาท่านกลับจากบิณฑบาต
คนที่ภาวนาเป็นนั้นต้องตามส่งบาตรและศึกษาธรรมกับท่านทุกวัน ถ้าวันไหนเขามีธุระไม่ได้ตามส่งบาตรท่านก็สั่งกับคนไว้
ในหมู่บ้านนั้นทราบว่ามีคนภาวนาเป็นอยู่หลายคนมีทั้งชายและหญิง
ที่เก่งกว่าเพื่อนนั้นก็คือเขาคนเป็นก่อนนั่นเอง
คนเราเมื่อความพอใจมีแล้ว
สิ่งอื่น ๆ ก็ค่อยเป็นไปเอง เช่นคนพวกนี้แต่ก่อนเขาไม่เคยสนใจกับท่านเลยว่าท่านได้อยู่ได้นอนได้ขบฉันอย่างไรบ้าง
แม้จะเป็นหรือจะตายเขาไม่สนใจทั้งนั้น พอเขาเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสแล้ว
ทุกสิ่งที่เคยขาดแคลนก็กลับกลายเป็นความสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นลำดับ ทางจงกรม
กุฏิที่พัก ที่ฉัน เขาพร้อมกันมาทำถวายท่านเองจนเรียบไปหมดโดยมิได้บอกกล่าวเลย มิหนำเขายังมาตำหนิท่านเป็นเชิงชมเชยอยู่อย่างลึกลับด้วยว่า
ทางจงกรมอย่างนั้นตุ๊เจ้าก็เดินได้ ดูแล้วมีแต่ต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์เต็มไปหมด
ตุ๊เจ้ามิใช่หมูพอจะเดินบุกป่าฝ่าดงไปอย่างนั้น แต่ทำไมยังอุตส่าห์เดินบุกไปได้
เมื่อเฮาถามว่า นี่ทางอะไร ก็บอกว่าทางเดินหาพุทโธ พุทโธเราหาย เมื่อเฮาถามว่า
นั่งหลับตาอยู่นิ่ง ๆ นั้น นั่งทำไม ก็บอกว่านั่งหาธรรมบ้าง นั่งหาพุทโธบ้าง
พูดอย่างนั้นก็ได้
ตุ๊เจ้านี้แปลกกว่าคนทั้งหลาย
ตุ๊เจ้าวิเศษเลิศโลกเท่าไรก็มิได้บอกว่าวิเศษ ตุ๊เจ้าคนนี้แปลกมาก
เฮาชอบนิสัยตุ๊เจ้าตนนี้มาก ที่หลับที่นอนก็มีแต่ใบไม้ปูเต็มพื้นดินจนจะเหม็นเน่าอยู่แล้ว
ท่านทนนอนมาตั้งหลายเดือนทำไมทนได้ เฮาดูที่นอนตุ๊เจ้าแล้วเหมือนที่นอนหมู
เห็นแล้วเฮาสงสารตุ๊เจ้ามากจนเกือบร้องไห้ พวกเฮาเองก็โง่จริง ๆ โง่กันทั้งบ้าน
ไม่รู้จักของดี มิหนำบางคนยังหาว่าตุ๊เจ้ามาอยู่เพื่อหลอกลวงชาวบ้านแล้วเขาก็พากันรังเกียจระแวง
แต่เวลานี้พวกเขาพากันเชื่อถือและเลื่อมใสตุ๊เจ้ากันทั้งบ้านแล้ว
เพราะเขาทราบเรื่องของตุ๊เจ้าจากเฮาก๊า ดังนี้
ท่านว่าคนพวกนี้ถ้าลงเขาได้เชื่อและเคารพนับถือแล้ว
ต้องนับถือแบบถึงใจจริง ๆ และถึงไหนถึงกัน เป็นก็เป็นด้วยกันตายก็ตายด้วยกัน
แม้ชีวิตก็ยอมสละได้ เราพูดอะไรเขาเชื่อฟังและเคารพนับถือมาก
การบริกรรมภาวนาหาพุทโธของเขา
ท่านก็สอนให้เขยิบเวลาขึ้นไปตามความเคยชินและผู้ชำนาญเป็นลำดับ
ปีนั้นท่านต้องจำพรรษากับพวกเขารวมแล้วเป็นเวลาปีกว่า ท่านไปอยู่กับพวกเขา
ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนปีหลังจึงได้จากเขาไป
ก่อนจะจากเขาไปได้ก็นับว่าทุลักทุเลด้วยความสงสารเขาเอาการอยู่
เนื่องจากเขาไม่ยอมให้ท่านหนีไปไหนเอาเลย เขาบอกท่านว่าแม้ท่านตายลงไปในที่นั้น
เขาทั้งบ้านจะรับรองเผาศพท่าน แม้เขาเองก็มอบชีวิตไว้กับท่านด้วย
เพราะความรักและเคารพเลื่อมใสท่านมาก ผลดีก็เห็นประจักษ์ตาประจักษ์ใจ
น่าชมเชยเขาที่มีความฉลาดระลึกในความผิดได้
พอเห็นพระที่ปฏิบัติดีน่าเลื่อมใสจริง ๆ
แล้วก็กลับมาเห็นโทษความผิดของตนที่คิดไม่ดีแต่ก่อน
แล้วพร้อมกันมาขอขมาโทษท่านให้อโหสิกรรมให้
ก่อนจากพวกเขาท่านได้พูดกับพระที่อยู่ด้วยว่า ที่นี่เขาหมดโทษแล้ว
เราจะไปที่ไหนก็ได้ไม่ขัดข้องแล้ว แต่สำคัญตอนลาเขาออกจากที่นั้น
ท่านว่าน่าสงสารสังเวชกับความรักความนับถือความเคารพเลื่อมใสและคำวิงวอนเขาจนบอกไม่ถูก
พอพวกเขาทราบว่าท่านจะจากเขาไปเท่านั้น
เขาพากันออกมาทั้งบ้านมาร้องไห้วิงวอนกันอย่างชุลมุนวุ่นวายไปทั้งป่า
เหมือนคนร้องไห้คิดถึงคนตายนั่นเอง ท่านก็พยายามแสดงเหตุผลที่จำต้องจากเขาไป
และปลอบโยนพวกเขาไม่ให้เสียใจจนเลยขอบเขตแห่งธรรม คือความพอดี
จนเขาเป็นที่ลงใจแล้วก็ออกจากที่พักอันแสนสำราญนั้น
สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นอีก
คือทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างคนต่างวิ่งออกไปรุมล้อมท่านและเข้าแย่งเอาบริขาร กลด
บาตร กาน้ำ กับผู้ตามส่งท่าน
และฉุดชายสบงจีวรกอดแข้งกอดขาท่านดึงกลับมาที่พักอีกเหมือนเด็ก ๆ
โดยไม่ยอมให้ท่านไป
ท่านต้องกลับมาแสดงเหตุผลและปลอบโยนใจให้สงบเย็นอีกพักหนึ่งแล้วค่อยพากันปล่อยให้ท่านไป
พอท่านก้าวออกจากที่พักเดินไปได้ประมาณ ๔-๕ วาเท่านั้น
ต่างก็ร้องไห้แล้วพากันตามฉุดเอาท่านกลับมาอีก ทำเอาท่านเสียเวลาไปหลายชั่วโมง
ฟังเสียงร้องไห้ระเบ็งเซ็งแซ่ฉุกละหุกวุ่นวายไปทั่วทั้งป่า
ซึ่งเป็นที่น่าสมเพชเวทนาเอานักหนา
คำว่า
“เสือเย็น” ที่เกิดขึ้นในตอนแรก ๆ จึงหมดความหมายไปทั้งสองฝ่าย
ที่ยังเหลืออยู่จึงมีแต่ความเคารพเลื่อมใสความอาลัยอาวรณ์ในท่านผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่งที่สุดจะอดกลั้นไว้ได้
ขณะที่ท่านจากไปจึงมีแต่เสียงร้องไห้ระทมทุกข์ของพวกชาวเขาที่พิไรรำพัน
ทั้งเสียงร้องไห้และสั่งเสียว่า “เมื่อตุ๊เจ้าไปแล้วให้รีบกลับคืนมาหาพวกเฮาอีก
อย่าอยู่นาน พวกเฮาคิดถึงตุ๊เจ้าแทบอกจะแตกตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้วก๊า” จนไม่ทราบว่าเป็นเสียงเด็กหรือเสียงผู้ใหญ่
ที่ต่างคนต่างร้องไห้ไว้ทุกข์ในคราวท่านจากไปเวลานั้น
นับว่าท่านไปอยู่ในท่ามกลางแห่งความระแวงสงสัยไม่พอใจของเขาในครั้งแรก
แต่จากไปในท่ามกลางแห่งความอาลัยเสียดายของเขาในภายหลัง
จึงนับว่าท่านเที่ยวชะล้างสิ่งสกปรกรกรุงรัง
ให้กลายเป็นของสะอาดปราศจากมลทินควรแก่ความเป็นของมีคุณค่าขึ้นได้
สมกับท่านบวชมาเป็นลูกศิษย์ของพระตถาคต ผู้ไม่ถือโกรธถือโทษกับผู้ใดจริง ๆ
ใครรังเกียจท่านก็พยายามอนุเคราะห์ด้วยความเมตตาสงสาร
ไม่ยึดเอาความผิดพลาดของเขามาเป็นอารมณ์เครื่องขุ่นข้องหมองใจให้เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น
มีใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตา
อันเป็นที่เจริญศรัทธาของโลกผู้ร้อนด้วยกิเลสตัณหาวิ่งเข้ามาอาศัย
ให้ได้รับความไว้วางใจและเย็นฉ่ำทั่วหน้ากัน นับว่าเป็นผู้อัศจรรย์ด้วยคุณธรรมอันหาที่เปรียบได้ยาก
ขณะนั่งฟังท่านเล่า
ผู้ฟังเกิดความสังเวชสลดใจอดวาดภาพไปตามไม่ได้ ปรากฏในมโนภาพขณะนั้น
เหมือนดูภาพยนตร์ที่แสดงเรื่องชุลมุนวุ่นวายของชาวบ้านป่าที่มีศรัทธาแรงกล้า
สละเลือดเนื้อชีวิตดวงใจต่อท่านผู้วิเศษด้วยคุณธรรม ขอให้ท่านประพรมโสรจสรงด้วยพรหมวิหาร
ประทานเมตตาแก่พวกเขาให้มีชีวิตชีวาเจริญวาสนาสืบต่อไป
ด้วยการวิงวอนและร้องไห้วิ่งกอดแข้งกอดขา
ฉุดผ้าสังฆาฏิสบงจีวรบาตรบริขารท่านกลับมาสู่บรรณศาลาหลังเล็ก ๆ
ของฤๅษีที่มุงด้วยเปลือกไม้ใบหญ้าอันแสนสำราญ ซึ่งเป็นที่น่าสงสารอย่างประทับใจ
แต่เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลก อนิจฺจํ
จำมาต้องจำจาก เพราะการพลัดพรากแปรผันเป็นสายทางเดินแห่งคติธรรมดา
ไม่มีท่านผู้ใดสามารถปิดกั้นหรือทำลายได้ ดังนั้นท่านพระอาจารย์มั่น
แม้จะทราบอัธยาศัยของชาวศรัทธาที่เกี่ยวพันหนักแน่นกับท่านอยู่อย่างเต็มใจก็จำต้องจากไป
ในเมื่อกาลมาถึงแล้ว
เป็นที่ทราบกันว่า
ท่านพระอาจารย์มั่นที่ชาวบ้านในเขาเคยให้นามท่านว่า “เป็นเสือเย็น” แต่ท่านเป็นวิสุทธิบุคคลอยู่ในข่ายแห่ง
ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส ของโลก
ท่านได้จากชาวเขาไปเพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกต่อไปตามอัธยาศัยไม่มีประมาณ
เรื่องทั้งนี้นับว่าเป็นคติแก่อนุชนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเวลานี้พุทธศาสนิกชนผู้รักความสงบ
กำลังวิตกห่วงใยทั้งตนและพุทธศาสนาอันเป็นสมบัติล้นค่า
และเป็นคู่เคียงแห่งชีวิตจิตใจตลอดมา ที่อาจถูกเพ่งเล็งกล่าวหาอย่างลึกลับว่าเป็น “เสือเย็น” ทำนองที่ท่านพระอาจารย์มั่นถูกมา แล้วกำจัดทำลายอย่างเปิดเผยก็ได้
จากฝ่ายใดก็ตามที่มีความรู้ความเห็นเป็นปรปักษ์ต่อหลักพระศาสนาและคตินิสัยของพุทธศาสนิกชน
ซึ่งเวลานี้ก็เริ่มไหวตัวบ้างพอให้รู้สึกว่าไม่ควรนอนใจ
ถ้านอนหลับทับสิทธิ์จนเกินไปอาจเสียใจในภายหลัง
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านดำเนินตามแบบสุคโต
ไปอยู่ในป่าในเขาก็เป็นประโยชน์แก่ชาวป่าชาวเขา เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม ภูตผี
นาค ครุฑ ไม่ว่างงาน ท่านมีเมตตาสงสารอนุเคราะห์โลกอยู่ตลอดเวลา
ออกมาเมืองมนุษย์มนาก็โปรดมนุษย์มนา พระ เณร ชี
คหบดีทวยข้าประชาชนคนทุกชั้นไม่เว้นแต่ละเวลา มีมนุษย์มนาไปมาหาสู่ศึกษาอบรมอรรถธรรมกับท่านเป็นประจำ
นับว่าท่านทำประโยชน์มหาศาลแก่ส่วนรวม
ซึ่งยากจะมีผู้ทำได้ละเอียดลออกว้างขวางเหมือนอย่างท่าน
เวลาพักอยู่ในภูเขา
ตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ
พวกชาวป่าก็พลอยได้รับความแช่มชื่นเบิกบานจากธรรมที่ท่านแสดงโสรจสรง
ตกตอนดึกก็แก้ปัญหาและแสดงธรรมแก่เทวดาที่มาจากชั้นและที่ต่าง ๆ ฟัง
เรื่องเช่นนี้นับว่าเป็นภาระอันหนักที่ท่านต้องทำซึ่งหาตัวแทนยาก
ไม่เหมือนการสั่งสอนมนุษย์ มนาที่ใคร ๆ สั่งสอนก็พอรู้เรื่องกัน
นอกจากจะฟังและปฏิบัติตามหรือไม่เท่านั้น
การเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าทั้งเบื้องบนเบื้องล่างนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับท่านพระอาจารย์มั่น
ฉะนั้นประวัติของท่านจึงมักมีเรื่องเกี่ยวกับเทพสับปนกันไปเสมอตามประสบการณ์ในสถานที่และเวลาต่าง
ๆ กัน จนกว่าจะจบประวัติท่าน เรื่องทำนองนี้ถึงจะสิ้นสุดลง
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมอันสูง
ซึ่งเป็นอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐาน
มีประชาชนและพระเณรเคารพนับถือท่านมากแทบทั่วประเทศไทย
พอไปถึงก็เป็นเวลาที่ท่านกำลังสนทนาธรรมอยู่กับพระ ๓-๔ องค์
ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านภายในวัด เราพลอยได้โอกาสเข้าผสมด้วย
ท่านแสดงอัธยาศัยด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง เราเริ่มสนทนาธรรมภาคปฏิบัติแขนงต่าง ๆ
จนเตลิดไปถึงเรื่องของท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นอาจารย์ท่าน
ระยะนั้นท่านไปศึกษาอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นที่จังหวัดเชียงใหม่
ในภูเขาลึกห่างจากตัวอำเภอมาก เดินด้วยเท้าเปล่าเป็นวัน ๆ จึงจะถึงอำเภอ
ท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่องซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ฟังแล้วสะดุดใจ
และเกิดความอัศจรรย์ชนิดบอกไม่ถูก
แต่จะนำมาเล่าให้ท่านฟังเท่าที่เห็นว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ควร นอกนั้นจึงขอผ่านไป
ตามที่เคยเรียนให้ทราบมาแล้ว
ท่านเล่าว่าท่านพระอาจารย์มั่น
นอกจากจะเป็นที่แน่ใจอย่างยิ่ง ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดในสมัยปัจจุบันแล้ว
ท่านยังมีคุณธรรมพิเศษหลายประการอีกด้วย ทั้งน่ากลัว ทั้งน่าเคารพ ทั้งน่าเลื่อมใส
ทั้งทำให้เราระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ความรู้แปลก ๆ ที่ท่านเล่าให้ฟังนั้น
ผมเองก็จำไม่ได้หมด ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า ส่วนที่จำไม่ได้ก็สุดวิสัย
แต่ที่พอจำได้ก็ขออาราธนาเล่าให้กระผมฟังบ้าง
พอได้ยึดไว้เป็นขวัญใจและเป็นที่ระลึกบูชาไปนาน ๆ
ท่านพูดว่า ก็เราคิดอะไรขึ้นมาภายในใจท่านรู้เอาเสียหมด จะว่าอย่างไรล่ะ
ผมเองเหมือนถูกมัดไว้ทั้งวันทั้งคืนเลย ด้วยการระวังรักษาจิต
ถึงขนาดนั้นท่านยังเอาเรื่องความคิดของเราไปเทศน์ให้เราและหมู่เพื่อนฟังจนได้
แต่จิตผมก็รู้สึกว่าดีอยู่ไม่น้อยในระยะที่อยู่กับท่านนั้น
เป็นแต่รักษาใจไม่ให้คิดไปทุกแง่ทุกมุมไม่ได้เท่านั้นเอง
ใคร
ๆ ก็ทราบว่าใจเป็นของเล่นเมื่อไร มันคิดได้ทั้งวันทั้งคืน
ใครจะไปทนตามทนห้ามมันหวาดไหว ฉะนั้น จึงโดนท่านเทศน์เสียเรื่อย
บางทีเราคิดและหลงลืมไปแล้ว พอมาหาท่าน ท่านเทศน์เรื่องนั้นขึ้น เราถึงระลึกได้ว่า
เราได้หลวมตัวคิดอย่างท่านว่าจริง ๆ อย่างนี้ ท่านดุให้ท่านอาจารย์ด้วยหรือ? ผู้เขียนถาม บางทีท่านดุเอาบ้าง
แต่บางทีแนะนำไปทีเดียว โดยยกเอาเรื่องที่เราคิดนึกฝันไปนั่นเองมาเป็นธรรมแสดงแก่เราเอง
บางครั้งก็มีพระไปนั่งฟังอยู่ด้วย เรานึกอายพระที่ไปได้ยินด้วย
แต่ดีอยู่อย่างหนึ่ง เวลามีพระไปนั่งฟังอยู่ด้วยนับแต่หนึ่งองค์ขึ้นไป
ท่านไม่ระบุชื่อผู้เป็นต้นเหตุคิด เป็นแต่อธิบายเรื่องความคิดนึกดีชั่วนั้น ๆ
ไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ท่านอาจารย์คิดอย่างไรบ้าง
ท่านถึงได้ดุบ้างสั่งสอนบ้าง ผู้เขียนเรียนถาม ฟังแต่คำว่าปุถุชนเป็นไร
มันหนายิ่งกว่าภูเขาหินและชนดะไปหมด ไม่เลือกว่าดีว่าชั่ว ว่าผิดว่าถูก
มันคิดไปได้ทั้งนั้น พอดีกับเรื่องที่ควรดุท่านถึงได้ดุ
ท่านอาจารย์กลัวท่านมากหรือเปล่าเวลาท่านดุ ผู้เขียนเรียนถาม ทำไมจะไม่กลัว
ตัวไม่สั่นแต่หัวใจมันสั่นอยู่ภายใน บางทีแทบลืมหายใจก็ยังมี
การรู้วาระจิตของผู้อื่นนั้นท่านรู้จริง ๆ ผมไม่สงสัยเลย
เพราะเรื่องมันบอกอยู่กับตัวเรา ทุกอย่างที่คิดออกไป
ท่านตามเก็บเอามาเทศน์สอนเราเสียสิ้น บางครั้งผมคิดว่าจะไปเที่ยวตามภาษาความโง่ของตน
ถ้าคิดตอนกลางคืน พอตื่นเช้ามาไปทำข้อวัตรอุปัฏฐากท่าน
ท่านก็เก็บเอาเทศน์ทันทีที่ไปถึง ท่านว่าท่านจะไปเที่ยวที่ไหนอีก
ที่นั้นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ อยู่ที่นี่ดีกว่าทำนองนี้ ทุก ๆ
ครั้งที่เราคิดปรากฏว่าไม่ยอมให้ผ่านพ้นไปได้ ท่านว่าอยู่ที่นี่สนุกฟังเทศน์
ดีกว่าอยู่ที่นั้น แล้วก็ไม่อนุญาตให้เราไปที่นั้นจริง ๆ ด้วย
เท่าที่สังเกตดูท่านคงเป็นห่วงเรามาก กลัวจิตเราจะเสื่อมเสีย
และท่านก็พยายามอบรมอยู่ตลอดเวลา
ที่ผมกลัวท่านมากก็คือ
ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน พอเรากำหนดพิจารณาดูท่านเมื่อไร
ก็ปรากฏเห็นท่านจ้องมองเราอยู่แล้ว ประหนึ่งท่านไม่ยอมพักผ่อนเอาเลย
บางคืนผมไม่กล้านอนเพราะมองดูท่านแล้วเหมือนท่านนั่งอยู่ตรงหน้าเรา
และเพ่งตาจับจ้องอยู่ที่เราทุกขณะ
เรากำหนดจิตออกไปข้างนอกทีไรก็เห็นแต่ท่านมองดูเราอยู่แล้ว
ฉะนั้นการเคลื่อนไหวทุกอาการ จึงเป็นไปด้วยความสำรวมระวังอยู่เสมอ
เวลาไปบิณฑบาตตามหลังท่าน ต่างองค์ต่างระวังสำรวมใจไม่ให้พลั้งเผลอออกนอกกายได้
ไม่เช่นนั้นขากลับออกมาถึงวัดหรือยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ในบางครั้งโดนเทศน์จนได้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดทั้งกลางวันและกลางคืน
ต้องมีสติระวังตัวตลอดเวลา แม้เช่นนั้นยังมีเรื่องให้ท่านนำมาเทศน์จนได้และก็จริงดังที่ท่านเทศน์เสียด้วย
คือต้องมีองค์ใดองค์หนึ่งที่อุปโลกน์ไปคิดเรื่องขึ้นมาให้ท่านจำต้องนำมาเทศน์
บางครั้งขณะนั่งฟังเทศน์ได้ยินเสียงท่านเทศน์ดุเรื่องแปลก ๆ
ซึ่งเราเองมิได้คิดทำนองนั้น พอเลิกประชุมฟังเทศน์แล้ว ออกมากระซิบถามกันว่า
วันนี้ท่านเทศน์ถูกใครบ้าง เสียงเทศน์รู้สึกชอบกล
ต้องมีองค์หนึ่งสารภาพตัวให้เราฟังจนได้ว่า วันนี้ท่านเทศน์ถูกผมเอง
เพราะผมอุตริไปคิดอย่างนั้นจริง ๆ ดังนี้ แต่อยู่กับท่านรู้สึกดีมาก
เพราะมีสติอยู่กับตัวแทบตลอดเวลาเนื่องจากกลัวท่าน
ท่านเล่าว่าขณะไปถึงเชียงใหม่ทีแรกและเข้าไปพักวัด…….ได้ไม่ถึงชั่วโมง
เห็นรถยนต์วิ่งเข้ามาในวัดที่ผมพักอยู่ และตรงเข้ามาจอดที่หน้ากุฏิผมพอดี
พอมองลงไปเป็นท่านพระอาจารย์มั่น
ผมก็รีบลงไปต้อนรับท่านและเรียนถามถึงเรื่องการมาของท่าน
ท่านก็บอกทันทีว่าผมก็มารับท่านนั่นเอง เพราะทราบว่าท่านจะมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
เราเรียนถามท่านว่า มีใครเล่าถวายท่านอาจารย์หรือว่ากระผมจะมาที่เชียงใหม่
ท่านตอบว่าใครจะบอกหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าทราบและอยากมาก็มาเองได้ดังนี้
พอได้ยินคำนั้นแล้ว จิตผมเริ่มนึกกลัวขึ้นมา และยังทำให้เรานึกพิสดารไปต่าง ๆ
ซึ่งจะทำให้กลัวท่านมากขึ้น เวลาไปอยู่กับท่านจริง ๆ
เรื่องก็เป็นดังที่คิดไว้ทุกประการ
ขณะประชุมฟังเทศน์ถ้าใจคิดเป็นธรรมแบบสละทิฐิมานะเสียจริงๆ
ก็รู้สึกสนุกเพลิดเพลินในธรรมท่าน เพราะท่านเทศน์เป็นธรรมล้วน ๆ
ทำให้จิตใจเพลิดเพลินไปตามยิ่งกว่าอะไรที่เคยผ่านมา
ถ้าจิตไม่ค่อยเป็นธรรมและหาบหามโลกไปทับถมท่าน จะได้ยินเสียงเทศน์เป็นไฟไปทีเดียว
และผู้ฟังแบบหามโลกไปหาท่านก็รู้สึกร้อนเป็นไฟไปเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ท่านมิได้สนใจว่าการเทศน์จะไปโดนกิเลสของใครเข้า
ตรงไหนที่มีเรื่องมีกิเลสชุกชุมมาก ท่านจะพุ่งธรรมเข้าไปตรงนั้น
ไม่ยอมแสดงไปที่อื่นเลย บางครั้งถึงกับระบุตัวบุคคลออกเลยว่า คืนนี้ท่าน….ภาวนาทำไมอย่างนั้น นั้นมันไม่ถูก
ที่ถูกต้องทำอย่างนั้น และเมื่อเช้านี้ท่าน…..คิด…….อะไรอย่างนั้น
ถ้าไม่อยากฉิบหายเพราะการทำลายตัวด้วยความคิดประเภทสังหารนั้นแล้ว อย่าหาญคิดต่อไป
สิ่งที่พระพุทธเจ้าให้คิดให้ทำ ทำไมไม่คิดไม่ทำ แหวกไปคิดหาอะไรอย่างนั้น
ที่นี่เป็นสถานที่อบรมศีลธรรมเพื่อแก้ความเห็นผิด คิดผิด
มิใช่สถานที่สั่งสมความคิดเพื่อก่อไฟเผาตัวทำนองที่คิดนั้น
ผู้ที่ยอมรับความจริงทางใจจะรู้สึกเย็นสบาย
ท่านเองก็ไม่ค่อยว่าอะไร สำคัญที่มีอะไรไปตะขิดตะขวงใจท่านอยู่ภายในอย่างลึกลับนั้น
รู้สึกจะเหมือนเอาไฟไปเผาลนท่าน และจะได้ยินคำแปลก ๆ ออกมาทันที
แต่ถ้าผู้นั้นรู้สึกตัว รีบแก้ไขความคิดเห็นเสียใหม่ก็ไม่มีอะไรต่อไปอีก
เรื่องก็สงบไป
คืนหนึ่งมีพวกชาวเขาพูดกันว่า
ตุ๊เจ้าหลวง (พระอาจารย์ใหญ่) ที่มาพักอยู่กับพวกเรา
ท่านจะมีคาถากันผีขับไล่ผีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พรุ่งนี้พวกเราลองพากันออกไปขอท่านดู
ท่านจะพอมีให้พวกเราบ้างไหม? พอตื่นเช้ามา
ท่านอาจารย์มั่นก็รีบบอกกับพระทันทีว่า
คืนนี้นั่งภาวนาอยู่ได้ยินพวกชาวเขาในหมู่บ้านนี้พูดกันว่า พวกพระเราจะมีคาถากันผีไล่ผีบ้างไหม
เขาจะมาขอคาถานั้นกับพวกเรา ถ้าเขามาขอคาถาดังที่ว่านั้น ให้เอาคาถาพุทโธ ธัมโม
สังโฆ ให้เขาไปภาวนา คาถานี้กันผีดีนัก ผีในโลกนี้กลัวแต่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
เท่านั้น ไม่มีผีตัวใดจะกล้าต่อสู้กับธรรมเหล่านี้ได้
พอตอนเช้าพวกชาวเขาพากันมาจริง
ๆ ดังที่ท่านบอกไว้ และพร้อมกันมาขอคาถากันผีไล่ผีกับท่านจริงๆ ท่านก็บอกคาถา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้แก่เขาไป โดยบอกวิธีทำให้เขา คือนึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ
บทใดบทหนึ่งไว้ในใจ และบอกว่าผีกลัวนักหนา พอเขาได้พุทโธ ธัมโม สังโฆไปแล้ว
ต่างก็เริ่มทำพิธีกันผีตามที่ท่านสั่ง โดยที่เขาไม่รู้ว่าท่านให้เขาภาวนา
พอเขาพากันทำแบบที่ท่านสั่งสอน ใจเลยรวมสงบลงเป็นสมาธิในขณะนั้น
รุ่งเช้าเขาก็รีบออกมาหาท่านและเล่าอาการที่เป็นให้ท่านฟัง
ท่านบอกว่านั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว ผีแถว ๆ นี้จะต้องกลัวและพากันวิ่งหนีหมด
อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะธรรมของพวกแกแก่กล้าแล้ว
ต่อไปพวกแกไม่ต้องกลัวผีอีกแล้ว แม้พวกที่ภาวนากันผียังไม่เป็น
ผีก็เริ่มกลัวอยู่แล้ว
จากนั้นท่านสอนให้เขาทำทุกวัน
ตามปกติคนชาวเขาเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาดั้งเดิมจึงสั่งสอนง่ายอยู่บ้าง
เขาพากันทำทุกวันอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อมาไม่ช้าคนในบ้านนั้นบางคนภาวนาเป็นจริง ๆ
จนจิตเกิดความสว่างไสวสามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้ ตลอดจิตพระที่อยู่ในวัด
เช่นเดียวกับคนบ้านเสือเย็นที่กล่าวผ่านมาแล้ว
เวลาเขาออกมาวัดมาเล่าเรื่องภาวนาให้พระอาจารย์ฟัง
และเรื่องที่จิตสามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างน่าจับใจนั้น พระในวัดเกิดความอัศจรรย์และกลัวเขาจะรู้เห็นจิตของตัวที่คิดไปต่าง
ๆ พระบางองค์ที่มีนิสัยขี้ขลาดแต่อยากรู้เรื่องต่าง ๆ อดทนไม่ได้ก็ถามเขา
เขาก็เล่าให้ฟังตามเป็นจริง ยังทนต่อความอยากถามไม่ได้อีก
พยายามแคะไค้ไล่เบี้ยสอบถามเขาเข้ามาหาเรื่องของตัวโดยจะขาดทุนก็ไม่ยอมรู้สึกตัว
ราวกับใจมีฝาปิดไว้ร้อยชั้นอย่างมิดชิด
ไม่มีอะไรจะสามารถเอื้อมเข้าไปสัมผัสแตะต้องได้ พอถามเขา
เขาก็บอกอย่างตรงไปตรงมาตามภาษาของคนป่าซึ่งไม่สนใจกับสังคมว่านิยมกันอย่างไร
พระที่ฟังแล้วชอบใจว่า ถูกกับปมด้อยของตัว และกลัวในเวลาคิดปรุงไปต่าง ๆ ว่า
เขาจะรู้ทำนองที่เขาเคยรู้แล้วนั้น
นอกจากเขาจะรู้สิ่งต่าง
ๆ ดังที่ว่านั้น เขายังพูดกับท่านพระอาจารย์มั่นอย่างหน้าตาเฉยด้วยว่า
จิตตุ๊เจ้าหลวง เฮาก็ฮู้ก๊า (เรารู้ครับ) เพราะเฮาดูและฮู้จิตตุ๊เจ้าหลวงก่อนใคร ๆ
ท่านก็ถามบ้างว่า จิตเราเป็นอย่างไร กลัวผีไหม? เขายิ้มแล้วก็ตอบท่านว่า จิตของตุ๊เจ้าหลวงหมดดวงสมมุติแล้ว
เหลือแต่นิพพานในร่างมนุษย์อย่างเดียว และไม่กลัวอะไรเลย จิตตุ๊เจ้าวิเศษสุดแล้ว
เรื่องผีสางอะไรเขาเลยไม่กล่าวถึง
แม้คนในบ้านนั้นก็หันมาเลื่อมใสศาสนาและท่านพระอาจารย์มั่นเสียหมด
ไม่สนใจกับผีกับสางอะไรอีกต่อไป เพราะคนที่ภาวนาเก่งคนนั้นเป็นผู้ประกาศให้ชาวบ้านทราบเรื่องของศาสนา
และเรื่องของท่านพระอาจารย์อยู่ทุกวัน
เวลาใส่บาตรเขาพร้อมกันมารวมใส่ในที่แห่งเดียว
พอเสร็จจากการใส่บาตร เวลาจะอนุโมทนา ท่านพระอาจารย์บอกให้เขาพร้อมกันสาธุดัง ๆ
เผื่อเทวดาจะได้อนุโมทนาด้วย เขาจะมีส่วนบุญกับพวกเราอีกส่วนหนึ่ง
เขาเชื่อท่านพร้อมกันสาธุดัง ๆ ทุกวัน ที่ท่านให้เขาสาธุดัง ๆ นี้
ทราบว่าเวลากลางคืนยามดึกสงัด มักมีเทวดามาเยี่ยมและฟังเทศน์ท่านเสมอ
บางพวกก็บอกว่าได้ยินเสียงสาธุดังไปถึงเขา เขาจึงทราบว่าพระคุณเจ้าพักอยู่ที่นี่
ถึงได้พากันมาเยี่ยม ตามธรรมดาทุกครั้งที่พวกเทพมาเยี่ยม จะต้องมีหัวหน้านำมาเสมอ
และพวกเทวดานั้น ๆ ก็มีภูมิที่อยู่ต่าง ๆ กัน
บางพวกก็เป็นรุกขเทวดามาจากที่ใกล้บ้างไกลบ้าง
บางพวกก็เป็นพวกเทวดาบนสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ดังที่แสดงไว้ในตำรา
ก่อนเวลาเขาจะมาในคืนใด
คืนนั้นท่านต้องทราบล่วงหน้าไว้ก่อนเสมอ ว่าเขาจะมาประมาณตี ๒ หรือตี ๓
ท่านก็พักผ่อนเสียก่อน พอจวนถึงเวลาก็ลุกขึ้นเข้าที่คอยต้อนรับ
ถ้าทราบว่าเขาจะมาราวเที่ยงคืนหรือตี ๑ ท่านก็เข้าที่คอยต้อนรับ
แต่การเข้าที่คอยนั้นมีสองประเภท
คือภาวนาไปตามลำพังจนจิตลงสู่ความสงบแล้วพักอยู่หนึ่ง พอควรแก่กาลแล้วถอนขึ้นมาอยู่ระดับพอดีกับภูมิของแขกจะรับทราบกันได้หนึ่ง
ถ้าแขกยังไม่มาก็ดี กำลังมาก็ดี หรือมารออยู่ก่อนแล้วก็ดี
ย่อมรับทราบกันได้กับจิตที่อยู่ในระดับนี้
มีอะไรก็สนทนากันไปจนกว่าจะยุติลงด้วยเหตุการณ์อันควร
ถ้าจิตลงไปอยู่ในสมาธิเสียจริง ๆ ภูมิของแขกที่มาเยี่ยมก็เข้าไม่ถึง
ถ้าถอนออกมาเป็นจิตธรรมดาเสีย หากจิตไม่มีความชำนาญในทางนี้จริง ๆ
ก็ไม่อาจรับทราบกันได้ทุกระยะกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง
แม้ทราบได้ก็ไม่ถนัดเหมือนจิตที่อยู่ในขั้นเตรียมรับ ฉะนั้น จิตที่อยู่ภูมิอุปจาระ
คืออยู่ที่ปากประตู จึงเป็นภูมิที่เหมาะกับเหตุการณ์แทบทุกกรณี
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเชี่ยวชาญในทางนี้มานาน
เริ่มแต่สมัยท่านพักอยู่ถ้ำสาริกา นครนายกเป็นต้นมา ซึ่งระยะนั้นทราบว่าท่านได้ ๒๒
พรรษา จากนั้นมาจนถึงวันท่านมรณภาพพรรษาก็ร่วม ๖๐ แล้ว
ท่านจึงมีความชำนิชำนาญในทางนี้มาก โลกมนุษย์เราต่างก็มีใจเป็นของคู่ควรกับสิ่งเหล่านี้
เช่นเดียวกับท่านที่สามารถปฏิบัติจนรู้เห็นได้
แต่ยังไม่ค่อยมีผู้สามารถปฏิบัติจนรู้เห็นได้อย่างท่าน พอเป็นพยานแก่ตัวเอง
แม้ไม่มากเหมือนท่านที่เชี่ยวชาญ นอกจากไม่เห็นแล้ว
ยังอาจเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในโลกสมมุติอีกด้วย จึงเป็นเรื่องลำบากที่จิตไม่มีระดับความพอดีเป็นธรรมเครื่องอยู่
ถ้าจิตมีความสามารถด้วยการปฏิบัติตนตามหลักธรรม
ซึ่งเป็นหลักรับรองความรู้จริงเห็นจริงเท่าที่ควรแล้ว
สิ่งที่ได้รู้ด้วยใจอย่างประจักษ์แล้ว แม้คำคัดค้านทั้งแผ่นดินว่าไม่จริงมาลบล้าง
ก็เป็นคำคัดค้านที่เป็นโมฆะโดยประการทั้งปวง
สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือความจริงของผู้รู้จริงเห็นจริงนั่นแล
ไม่มีสิ่งใดจะสามารถมาลบล้างได้ เพราะความจริงย่อมไม่ขึ้นอยู่กับคำเสกสรรและติชมใด
ๆ นอกจากเป็นสิ่งที่จริงอยู่อย่างตายตัวตามหลักธรรมชาติเท่านั้น
ตามป่าตามเขาของอำเภอต่าง
ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่
ปรากฏว่าท่านพระอาจารย์มั่นได้ท่องเที่ยวซอกแซกทุกซอกทุกมุมกว่าจังหวัดอื่น ๆ
เพราะท่านอยู่ที่จังหวัดนั้นมาหลายปี และนานกว่าที่อื่น ๆ การบำเพ็ญธรรมก็สะดวก
ความรู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็มีมากกว่าที่อื่น ๆ
ท่านว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่นานเพราะเหตุหลายประการ
คือสถานที่บำเพ็ญเหมาะสมมากหนึ่ง
ชาวป่าผู้มีภูมิจิตที่น่าสงสารควรอนุเคราะห์มีอยู่มาก
ความผิดปกติของคนในเขาที่มีจำนวนน้อย
ซึ่งควรได้รับการอบรมส่งเสริมเพื่อความมั่นคงต่อไป
ดีกว่าจะปล่อยทิ้งไว้อันอาจมีการเสื่อมถอยลงได้หนึ่ง และเพื่อสงเคราะห์พวกเทวดาทั้งหลายหนึ่ง
พวกกายทิพย์นี้ชอบมาถามปัญหาและฟังเทศน์ท่านเสมอ
อย่างน้อยวันพระละสองครั้ง
นอกจากนั้นยังมีพวกนาคพาบริวารมาฟังธรรมท่านอยู่เสมอเช่นกัน
ท่านว่ากลางคืนท่านไม่ค่อยว่างจากการรับแขกจำพวกกายทิพย์เลย
บางคืนพวกเทพจากเบื้องบนชั้นนั้น ๆ มาเยี่ยม บางคืนพวกรุกขเทพมาเยี่ยม
บางคืนพวกพญานาคมาเยี่ยม พวกเทพเบื้องบนชั้นนั้น ๆ มาแต่ละครั้ง
หัวหน้าเขาประกาศให้ท่านและเทวดาทั้งหลายทราบก่อนจะถามปัญหาและฟังธรรมว่า
มีจำนวนหมื่นบ้าง แสนบ้าง พวกรุกขเทพมาแต่ละครั้งหัวหน้าประกาศว่า มีจำนวนพันบ้าง
หมื่นบ้าง พวกพญานาคพาบริวารมาแต่ละครั้งประกาศว่า มีจำนวนห้าร้อยบ้าง
หนึ่งพันบ้าง
เวลาท่านลงเดินจงกรมตอนเย็น
จิตจะรับทราบความนัดหมายแห่งการมาของพวกเทพเหล่านั้นแทบทุกเย็น
บางครั้งก็ปรากฏเอาเวลาเข้าที่ภาวนาว่า เทวดาชั้นนั้นจะมาเยี่ยมเวลาเท่านั้น
ชั้นนั้นจะมาเวลาเท่านั้น รุกขเทพพวกนั้นจะมาเวลาเท่านั้น
และพวกนั้นจะมาเวลาเท่านั้น พวกนาคจะมาเวลาเท่านั้น บางคืนมีถึงสองสามพวก
ท่านต้องนัดเวลาไม่ให้มาตรงกัน โดยพวกหนึ่งนัดให้มาราวห้าทุ่มบ้าง
พวกหนึ่งนัดให้มาราวหกทุ่มบ้าง อีกพวกหนึ่งนัดให้มาราวเจ็ดทุ่มบ้าง ตามแต่เห็นควร
ไม่ให้เวลาตรงกัน เพราะพวกเทพแต่ละชั้นละภูมิ
มีพื้นเพทางจิตใจและธรรมที่ควรแก่ตนต่างกัน พวกหนึ่งมาต้องการฟังธรรมประเภทหนึ่ง
อีกพวกหนึ่งต้องการฟังธรรมอีกประเภทหนึ่ง
เพื่อความเหมาะสมกับภูมิของเทวดาที่มีประเภทต่าง ๆ กัน
ท่านจำต้องนัดให้มาในเวลาต่างกัน เพื่อสะดวกแก่การแสดงและการฟังทั้งสองฝ่าย
เพราะความจำเป็นดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่นาน
เฉพาะพวกเทพทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง
ปรากฏว่ามาเกี่ยวข้องกับท่านเป็นประจำยิ่งกว่ามนุษย์และนาคครุฑภูตผีทั้งหลาย
ทั้งนี้เนื่องจากผู้เข้าถึงจำพวกกายทิพย์ในทางจิตใจมีจำนวนน้อยมาก
จึงเป็นความจำเป็นมากในการทำประโยชน์แก่พวกเทวดา
แม้เทวดาเองก็เคยพูดกับท่านแล้วแทบทุกจำพวกเกี่ยวกับผู้ไม่รู้เรื่อง
ไม่เข้าใจกับพวกเทวดา
และไม่สนใจว่าเทวดาก็เป็นกำเนิดชนิดหนึ่งที่มีโลกอยู่อาศัยตามกรรมของตน
และมีความหวังในสิ่งที่พึงพอใจเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป
ฉะนั้น
เทวดาจึงไม่มีความหมายสำหรับมนุษย์ประเภทดังกล่าวนั้น
เมื่อมาพบท่านผู้ทรงคุณธรรมอันสูงสุดที่มีญาณหยั่งทราบว่า สัตว์เป็นสัตว์ คนเป็นคน
เทวดาเป็นเทวดา และอะไรเป็นอะไรไม่ปฏิเสธ
อันเป็นการให้เกียรติแก่ภพกำเนิดของสัตว์นั้น ๆ เช่นนี้ ซึ่งนาน ๆ
จะเจอสักครั้งหนึ่ง จึงอดที่จะเกิดความปีติยินดีอย่างซาบซึ้งมิได้
และพากันมากราบไหว้ถามปัญหาข้อข้องใจและฟังธรรมเสมอ
เพื่อดื่มโอชารสพระสัทธรรมเข้าไปหล่อเลี้ยงเชิดชูจิตใจ
ความเป็นอยู่แห่งภพชาติของตนให้มีความสุขสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ดังนั้นเทวดาทั้งหลายจึงเคารพเลื่อมใสท่านผู้มีคุณธรรมสูงมาก
ทั้งรู้เรื่องและเห็นอกเห็นใจพวกเทวดาว่า เป็นสัตว์ที่มีความหวังอะไร ๆ
ที่เป็นสิริมงคลแก่ตน และมีความหมายเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่วไป
ท่านเล่าว่า
สัตว์จำพวกกายทิพย์ในกำเนิดต่าง ๆ ที่พอมีทางตะเกียกตะกายช่วยตัวเอง
ได้มาติดต่อเกี่ยวข้องกับท่านเพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ
มีจำนวนมากกว่ามนุษย์หลายเท่า
แต่เป็นสิ่งลี้ลับสำหรับพวกเราผู้ยังไม่สามารถรู้เห็นได้ในทางจิตใจ
สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นปัญหาต่อสังคมมนุษย์ชนิดไม่มีทางแก้ให้ตกได้
แต่ทั้งนี้มิได้เป็นอุปสรรคต่อการรู้เห็นของทุกรายไป ผู้มีความสามารถในทางจิตใจ
สิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับเรื่องธรรมดาทั่ว ๆ
ไปที่มนุษย์สามารถ สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นรู้สึกจะถือเป็นเรื่องธรรมดา
ท่านจึงสามารถทำหน้าที่เกี่ยวกับพวกกายทิพย์ตลอดมา
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนท่านจำเป็นต้องมีการเกี่ยวข้องเสมอ ในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากท่าน
เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่
ท่านว่าท่านได้ทำการเกี่ยวข้องกับพวกกายทิพย์ที่มีภพภูมิต่าง ๆ
กันมากกว่าที่ทั่วไป โดยที่สัตว์จำพวกเหล่านี้ส่วนมากชอบมาติดต่อกับท่าน
ขณะที่พักอยู่ในที่เปลี่ยว ๆ อันสงัด ปราศจากผู้คนพลุกพล่านหรือสัญจรไปมา
ประกอบกับเชียงใหม่เป็นทำเลที่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะมีป่ามีเขามาก
ท่านเองขณะพักอยู่ที่เช่นนั้น ก็มีเวลาว่างจากภาระภายนอกมากกว่าที่อื่น ๆ
จึงเป็นโอกาสที่พวกกายทิพย์จะเข้าถึงได้ง่าย
เทวดาประเทศเยอรมันมาขอฟังธรรม
นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่เรื่องหนึ่ง
ในบรรดาเรื่องที่เกี่ยวกับเทวดาที่ท่านเคยสงเคราะห์เรื่อยมา
เทวดาพวกนี้มาจากประเทศเยอรมัน มาขอฟังเทศน์ท่านขณะที่พักอยู่หมู่บ้านอีก้อ
กับพวกมูเซอในเขาลึก โดยเขาแสดงความประสงค์ออกมาเลยว่า อยากฟังเทศน์ชัยชนะคาถา
ท่านกำหนดหาบทธรรมที่ตรงกับความต้องการของเขา ธรรมก็ผุดขึ้นมาภายในว่า อกฺโกเธน
ชิเน โกธํ เป็นต้น บอกความหมายขึ้นมาพร้อม และแสดงให้พวกเทวดาฟังว่า
ธรรมนี่แลเป็นยอดแห่งธรรมที่ผู้หวังความชนะจะพึงเจริญให้มาก
โลกที่มีความร่มเย็นเป็นสุขต่อกันตลอดมาก็เพราะธรรมนี้
เป็นเครื่องปราบปรามความชั่วทั้งหลาย มีความโกรธเป็นต้น ให้เสื่อมสิ้นอำนาจในการทำลายสังคมมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ทำให้โลกมีความเจริญและสงบสุขโดยทั่วกัน
เทวดาควรมีธรรมนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวประสานกัน
โลกถ้าขาดชัยชนะธรรมนี้แล้ว
อย่างน้อยก็เกิดความไม่สงบสุข
มากกว่านั้นก็สังหารทำลายกันให้ฉิบหายย่อยยับโดยถ่ายเดียว โลกจะเอาความโกรธแค้นมาปราบปรามข้าศึกทั้งภายในภายนอก
ทั้งใกล้และไกล ทั้งวงแคบและวงกว้าง ด้วยความโกรธแค้น
อันเป็นของไม่ดีและเป็นเครื่องทำลายตนและผู้อื่น จึงไม่มีทางสำเร็จได้ตลอดกาล
ถ้าขืนปราบด้วยความโกรธแค้นมากขึ้นเพียงไร
โลกก็ยิ่งจะเป็นไฟประลัยกัลป์เผาผลาญกันให้ย่อยยับจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เพียงนั้น
เพราะความโกรธแค้นเป็นไฟอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่นำไปทำการหุงต้มอะไรไม่สำเร็จ
ทางสำเร็จของมันก็คือทำโลกให้วอดวายไปโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
ผู้ต้องการให้โลกยังคงเป็นโลกที่มีความหมายและน่าอยู่
จึงควรเห็นโทษของความโกรธแค้นอันเป็นเครื่องทำลายนี้ว่าเป็นไฟมหาวินาศ
ไม่ควรนำมาใช้ จะเป็นการก่อไฟเผาตนและผู้อื่นให้เป็นไฟไปตาม ๆ กัน
โลกอยู่ได้ด้วยเมตตาคือความเอ็นดูสงสารกันทุกตัวสัตว์ที่มีชีวิตครองตัวอยู่
ไม่พึงเบียดเบียนทำลายกันด้วยความโกรธแค้น หรือด้วยความเห็นแก่ปากแก่ท้อง
ซึ่งไม่มีประมาณแห่งความอิ่มพอและไม่มีทางสิ้นสุดแห่งการทำลายกัน
พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษของมันด้วยพระปัญญาอันแหลมคมไม่มีทางสงสัย
และทรงเห็นคุณในความเมตตาว่า
เป็นธรรมอ่อนโยนและสมัครสมานรักใคร่ไมตรีต่อกันระหว่างสัตว์โลกทุกชั้นทุกภูมิ
ซึ่งมีความรักสุขเกลียดทุกข์เสมอหน้ากัน จึงประทานไว้เพื่อความมั่นคงแห่งสันติสุขแก่โลกตลอดกาลนาน
หากเมตตาธรรมยังมีในใจของสัตว์โลกอยู่ตราบใด
โลกยังจะมีหวังความสุขความสมหวังอยู่ตราบนั้น
แต่ถ้าเมตตาได้ห่างเหินจากใจของสัตว์โลกกาลใด
กาลนั้นแม้สัตว์โลกจะมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคนานาชนิดอย่างพึงพอใจก็ตาม
แต่จะไม่มีความสงบสุขตกค้างอยู่ในวงสัตว์โลกนั้น ๆ เลย
ส่วนที่ได้รับจะมีแต่ความเดือดร้อนขุ่นเคืองไปทุกหย่อมหญ้า
ดังนั้นเมื่อเราทราบอยู่แก่ใจว่า
ธรรมเป็นธรรม และเป็นเครื่องนำความเจริญมาสู่ตน
และทราบอยู่ว่าโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเผาอยู่ในดวงใจ เหมือนไฟลุกโพลงอยู่ด้วยเชื้อ
คอยแต่จะสังหารทำลายสิ่งต่าง ๆ ให้ย่อยยับดับสูญลงไปทุกเวลานาทีเช่นนี้
จึงควรเร่งบำเพ็ญตนให้พ้นภัยไปเฉพาะหน้า ซึ่งยังควรแก่วิสัยพอจะทำได้
หากกาลอันควรผ่านไปแล้วจะเสียใจภายหลัง เพราะโลกนี้คือโลกอนิจฺจํ
และตั้งอยู่บนร่างกายและจิตใจของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า
นี่เป็นใจความย่อแห่งชัยชนะคาถาที่ท่านแสดงแก่เทวดาที่มาจากประเทศเยอรมันฟัง
พอจบเทศนาเทวดาสาธุการสามครั้ง
เสียงสะเทือนไปทั่วโลกธาตุ
เสร็จแล้วท่านถามเขาว่าทำไมเทวดาอยู่ถึงประเทศเยอรมันซึ่งชาวมนุษย์ถือว่าไกลแสนไกล
จึงทราบได้ว่าอาตมาพักอยู่ที่นี่
เขาตอบว่าสำหรับท่านแล้วจะอยู่ที่ไหนเขาก็ทราบกันทั้งนั้น อีกประการหนึ่ง
เทวดาในประเทศไทยเคยไปมาหาสู่กับเทวดาในประเทศเยอรมันมิได้ขาด พวกเทวดามิได้ถือว่า
ประเทศไทยกับประเทศเยอรมันหรือประเทศใด ๆ อยู่ห่างกันเหมือนที่พวกมนุษย์เข้าใจกัน
แต่ถือว่าเป็นประเทศเขตแดนที่พวกเทวดาไปมาหาสู่กันได้สะดวกสบายธรรมดา ๆ เรานี่เอง
เพราะมิได้ไปด้วยเท้าหรือด้วยยานพาหนะดังมนุษย์ทั้งหลายไปกัน
แต่เทวดาเหาะลอยไปด้วยฤทธิ์ เหมือนกระแสจิตที่ส่งไปในที่ต่าง ๆ
เพียงขณะเดียวก็ถึงจุดที่หมาย การไปมาของเทวดาจึงสะดวกกว่าชาวมนุษย์อยู่มาก
ท่านว่าเทวดาประเทศเยอรมันมาฟังเทศน์ท่านเสมอ
เช่นเดียวกับรุกขเทวดาซึ่งสถิตอยู่ในที่ต่าง ๆ ของเมืองไทยมาฟังเทศน์ท่านบ่อย ๆ
ฉะนั้น
ความเคารพของเทวดาไม่ว่าชั้นบนชั้นล่างมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
คือเวลาเขามาเยี่ยมท่านในสถานที่ที่มีพระพักอยู่กับท่าน เทวดาจะไม่เข้ามาด้านที่มีพระอยู่นั้นเลยหนึ่ง
มายามดึกสงัดเวลาพระท่านพักจำวัดหนึ่ง มาถึงแล้วพร้อมกันทำประทักษิณสามรอบหนึ่ง
มีความสงบเสงี่ยมโดยทั่วกันหนึ่ง เวลาจะจากไปพร้อมกันทำประทักษิณสามรอบก่อน
แล้วค่อย ๆ เดินถอยห่างออกไป พอเห็นว่าพ้นเขตที่พักท่านอันเป็นที่ควรเคารพแล้ว
ต่างค่อยเหาะลอยขึ้นบนอากาศเหมือนสำลีฉะนั้นหนึ่ง
เทวดาทั้งหลายทำความเคารพท่านโดยอาการอย่างนี้
ท่านอยู่ในเขาจังหวัดเชียงใหม่
สถานที่บำเพ็ญสะดวกทั้งกลางวันกลางคืน ท่านมีความ รื่นเริงในทิฏฐธรรมสุขวิหาร
คือธรรมเป็นเครื่องอยู่สบายในเวลาขันธ์ยังครองตัวอยู่ การนั่งสมาธิภาวนาเป็นไปตามเวลาที่ต้องการ
ไม่มีสิ่งมาเป็นอุปสรรคทำให้ขาดวรรคขาดตอน ท่านมีความสุขกายสบายใจมาก
การสงเคราะห์ผู้มาเกี่ยวข้องนั้นในเวลากลางคืนก็เป็นพวกเทวดา
ซึ่งมีภูมิละเอียดตามคตินิสัยอยู่แล้ว จึงไม่เป็นภาระกังวลมากในการต้อนรับ
และการสงเคราะห์ด้วยธรรมที่เกี่ยวกับประชาชนก็มีบ้างเป็นบางกาล เช่น ตอนบ่าย ๆ
หรือเย็น ส่วนพระของท่านเอง ถ้าวันจะมีการประชุมท่านก็นัดให้เองตามที่เห็นควร เช่น
หนึ่งทุ่ม เป็นต้น โดยมากก็เป็นผู้มีภูมิจิตสูง นับแต่สมาธิขึ้นไปถึงปัญญาเป็นขั้น
ๆ ทั้งเป็นผู้มุ่งมั่นต่อธรรม และฟังกันแบบบำเพ็ญเพียรเพื่อมรรคผลนิพพานในขณะฟังจริง
ๆ
การแสดงธรรมแก่ผู้มีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกันและสูงขึ้นไปตามลำดับลำดาเช่นนั้น
ท่านก็แสดงธรรมไปตามลำดับภูมิ นับแต่ภูมิสมาธิขึ้นไปหาภูมิปัญญาเป็นขั้น ๆ
จนถึงขั้นละเอียดสุด คือ วิมุตติหลุดพ้นแทบทุกครั้ง ผู้มีภูมิจิตนั่งฟังท่านอธิบายธรรมภาคต่าง
ๆ ทำให้จิตเพลิดเพลินไปตามธรรมขั้นนั้น ๆ จนลืมตัวและลืมเวลา
ปกติท่านเทศน์สอนพระล้วน ๆ ทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนา
กว่าจะยุติก็กินเวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
แต่ผู้ฟังมิได้สนใจกับเวล่ำเวลายิ่งไปกว่าสนใจไปตามกระแสธรรมที่ท่านกำลังแสดงไปเป็นระยะ
ๆ ในเวลานั้น
ขณะฟังถ้าจิตของผู้ฟังอยู่ในระดับใดก็ได้กำลังเพิ่มระดับเดิมของตนขึ้นเป็นลำดับในทุกครั้งที่รับการสดับธรรม
ฉะนั้นการฟังธรรมทางภาคปฏิบัติด้วยความสำรวมระวัง
และทดสอบจิตไปตามขณะที่ฟัง จึงจัดเป็นความเพียรสำคัญภาคหนึ่ง
ไม่ด้อยกว่าการทำความเพียรในอิริยาบถและความเพียรภาคอื่น ๆ
ท่านผู้แสดงก็มีความมุ่งหมายอยากให้ผู้ฟังได้รู้เห็นความจริงตามธรรมที่แสดงออกทุกระยะไปเช่นเดียวกัน
และแสดงไปตามความคิดนึกความแสดงออกของจิต
ทั้งที่เป็นฝ่ายสมุทัยและฝ่ายมรรคของผู้ฟังจริง ๆ
เพื่อให้รู้ทั้งโทษและคุณที่ควรละและควรเจริญให้ยิ่งขึ้นไปในขณะที่นั่งฟังยิ่งกว่าขณะอื่นใดในเวลานั้น
ผู้มีสติจดจ่อต่อจิตซึ่งเป็นที่รวมของธรรมไม่ให้ส่งไปที่อื่น
ย่อมได้รับความสงบตามขั้นสมาธิและได้อุบายต่าง ๆ
ตามขั้นของปัญญาที่สามารถไตร่ตรองตามธรรมซึ่งท่านกำลังแสดงในขณะนั้น
ผู้ที่ควรผ่านไปได้ในขณะฟังก็ผ่านไปเป็นพัก ๆ ฟังคราวนี้ได้อุบายอย่างหนึ่งขึ้นมา
ฟังคราวหน้าได้อุบายอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา
อันเป็นการเพิ่มสติปัญญาด้วยการฟังอยู่เสมอ
จิตย่อมเจริญก้าวหน้าทั้งทางสมาธิทุกขั้นและปัญญาทุกภูมิเป็นลำดับ
จนสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยการปฏิบัติและการฟังที่ผู้แสดงเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง
และแสดงถูกต้องกับจุดความจริงที่กำลังเป็นไปในผู้ปฏิบัติที่มาอบรมศึกษา
ฉะนั้นการฟังสำหรับพระธุดงคกรรมฐาน
จึงถือเป็นกิจจำเป็นทางภาคปฏิบัติเช่นเดียวกับการปฏิบัติภาคอื่น ๆ เสมอมา
จะห่างเหินต่อการฟังย่อมไม่ได้ เมื่อครูอาจารย์ผู้สามารถทางจิตใจมีอยู่
ด้วยเหตุนี้พระธุดงค์ผู้มุ่งอรรถธรรมอย่างแท้จริง
จึงชอบแสวงหาครูอาจารย์ผู้คอยแนะนำทางจิตตภาวนาเป็นนิสัย และเคารพรักในอาจารย์มาก
หวังพึ่งเป็นพึ่งตายด้วยจริง ๆ ท่านให้อุบายแนะนำอย่างไรย่อมเข้าถึงใจจริง ๆ
และนำไปใคร่ครวญและปฏิบัติตามเต็มสติกำลังของตน ถ้ายังมีแง่สงสัยหรือมีข้อสงสัยที่เกิดจากการภาวนาในแง่ใดบ้างก็มาขอคำแนะนำจากท่านอีก
แล้วนำไปปฏิบัติเป็นอาจิณ ฉะนั้น ครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในทางจิตตภาวนามีอยู่ ณ
ที่ใด พระธุดงคกรรมฐานจึงมักไปรุมล้อมอยู่กับท่าน ณ ที่นั้น
ดังท่านพระอาจารย์มั่นท่านอาจารย์เสาร์เป็นตัวอย่าง
ทั้งสององค์นี้นับว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นพระธุดงค์จำนวนมากเป็นพิเศษในภาคอีสาน
แต่เวลาที่พระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่เชียงใหม่นั้น
ท่านตั้งใจปลีกองค์จากหมู่คณะออกบำเพ็ญเป็นพิเศษ
ไม่ต้องการความยุ่งเหยิงวุ่นวายจากภาระต่าง ๆ มีการอบรมสั่งสอนเป็นต้น เพื่อเร่งความเพียรให้ถึงจุดที่หมายและเพื่อความอยู่สบายในทิฎฐธรรม
แม้เช่นนั้นก็จำต้องได้รับภาระในการอบรมสั่งสอนประชาชนและพระเณรอยู่โดยดี
ดังที่รู้ ๆ กันอยู่ทั่วไปว่า
ท่านมีลูกศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสจำนวนมากมายในประเทศไทย
ก่อนหน้าที่ท่านจะปลีกจากหมู่คณะไปบำเพ็ญอย่างเด็ดเดี่ยวแต่ผู้เดียวที่เชียงใหม่
ท่านเคยพูดเสมอว่า เวลานี้กำลังท่านยังไม่เพียงพอ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น
ท่านจึงได้ปลีกออกไปตามเจตนาเดิมที่พูดไว้และบำเพ็ญเต็มกำลังจนสิ้นความสงสัยทางจิตใจทุกด้าน
ดังที่เคยกล่าวผ่านมาบ้างแล้ว จากนั้นมาท่านไม่เคยพูดอีกเลยว่า “กำลังไม่พอ”
ครั้งหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปในเขาด้วยกันสามองค์
มีท่านพระอาจารย์ขาว วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี และท่านพระอาจารย์มหาทองสุก
วัดสุทธาวาส สกลนคร ติดตามไปด้วย
พอไปถึงช่องแคบจะขึ้นเขาก็เผอิญไปเจอช้างใหญ่เชือกหนึ่ง
ที่เจ้าของเขามาปล่อยทิ้งไว้แล้วหนีไปไหนก็ไม่ทราบ
เห็นแต่ช้างเที่ยวหากินอยู่ปากช่องขึ้นเขา งาของมันยาวเกือบวา
เห็นแล้วน่ากลัวพิลึก ท่านปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร
ทางก็จำเพาะมีเท่านี้ไม่มีที่พอปลีกแวะไปได้บ้างเลย
ท่านพระอาจารย์มั่นบอกให้ท่านพระอาจารย์ขาวพูดกับช้างซึ่งกำลังกินใบไผ่อยู่ติด ๆ
กับทางที่ท่านจะผ่านไป ช้างอยู่ห่างกับท่านประมาณสิบวา ยืนหันก้นมาทางพระ
มันยังไม่เห็นพระเวลานั้น
ท่านพระอาจารย์ขาวก็เริ่มพูดกับช้างว่า
“พี่ชาย เราขอพูดด้วย” ประโยคแรกมันยังไม่ได้ยินชัดเป็นแต่หยุดกินใบไผ่
ท่านอาจารย์ขาวพูดขึ้นอีกว่า “พี่ชาย
เราขอพูดด้วย” พอประโยคนี้จบลง
มันรีบหันหน้ามาทางพระยืนอยู่ทันที หูกางเต็มที่ และยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก
ท่านก็พูดซ้ำกับมันอีกว่า “พี่ชาย
เราขอพูดด้วยพี่ชายนั้นตัวก็ใหญ่กำลังก็มาก ส่วนพวกเราเป็นพระ
ทั้งกำลังมีน้อยและกลัวพี่ชายมาก พวกเราขอเดินผ่านไปที่พี่ชายยืนอยู่นั้น
ขอให้พี่ชายหลีกทางให้พวกเราบ้างพอมีทางไปได้
ถ้าพี่ชายยืนอยู่ที่นั้นพวกเรากลัวพี่ชายมาก ไม่กล้าเดินผ่านไปที่นั้นได้”
พอพูดจบลง
ช้างตัวนั้นรีบยืนหันหน้าเข้ากอไผ่ข้างทางทันที เอางายาว ๆ
สอดเข้าไปในกลางกอไผ่ซึ่งแสดงว่าไม่ทำไมแล้ว ให้มากันได้
พอช้างหันหน้าเข้ากอไผ่เรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็บอกกันว่า
ทีนี้เขาไม่ทำไมแล้ว พวกเราไปได้
ท่านอาจารย์ทั้งสองขอนิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นเดินกลาง ท่านอาจารย์ขาวเดินหน้า
ท่านอาจารย์มหาทองสุกเดินหลัง พากันเดินผ่านไปที่ก้นช้างห่างกันประมาณหนึ่งวา
โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผอิญพอเดินผ่านช้างไปได้ประมาณวาเศษ
ขอกลดท่านอาจารย์มหาทองสุกก็ไปเกี่ยวเอาแขนงไม้ไผ่เข้าพอดี ปลดอย่างไรก็ไม่ยอมออก
ต้องพยายามปลดอยู่นั้นนานจนเหงื่อโชกไปทั้งตัวเพราะกลัวช้างมาก
ซึ่งกำลังยืนดูท่านอยู่ ขณะที่กำลังปลดขอกลดอยู่นั้น
ได้ชำเลืองดูตาช้างตัวกำลังยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาอยู่นั้น
ได้เห็นตาช้างตัวนั้นใสแจ๋ว น่ารักมากกว่าจะน่ากลัว แต่ใจก็ยังกลัวอยู่ในขณะนั้น
พอพ้นไปได้แล้ว ใจกลับเห็นช้างตัวนั้นเป็นสัตว์ที่น่ารักมาก เมื่อผ่านกันไปหมดแล้ว
ท่านอาจารย์ขาวหันมาพูดกับมันว่า “พี่ชายเอ๋ย พวกเราผ่านมาแล้ว ขอให้พี่ชายหากินได้ตามสบายเถิด” พอจบลงเท่านั้น
เสียงมันฉุดลากกิ่งไม้ดังฟูดฟาดขึ้นทันที
เมื่อไปถึงที่พักแล้ว
จึงได้สนทนากันถึงช้างตัวแสนรู้นั้นว่า เป็นสัตว์ที่น่ารักน่าสงสารมาก
เป็นแต่มันพูดไม่เป็นเท่านั้น
ขณะสนทนากันท่านอาจารย์มหาทองสุกกราบเรียนถามท่านอาจารย์มั่นว่า
ขณะนั้นท่านอาจารย์ได้กำหนดดูจิตมันบ้างหรือเปล่าว่า ช้างตัวนี้นึกอะไรบ้าง
ขณะที่พวกเราเรียกและพูดกับมันตลอดขณะที่เราเดินผ่านมันมา กระผมอยากทราบบ้าง
เพราะเป็นสัตว์ที่น่ารักและน่าสงสารมาก ขณะพวกเราเรียกมัน พอได้ยินเสียงเรียก
เห็นมันทำท่าตึงตังหันหน้ากลับมาหาพวกเราทันทีทันใด ราวกับจะวิ่งมาขยี้ให้แหลกละเอียดในขณะนั้นจนได้
แต่พอทราบเรื่องแล้วกลับเป็นมนุษย์ขึ้นมาในร่างสัตว์
และรีบหันหน้าเข้ากอไผ่เอางายาว ๆ สอดเข้ากลางกอไผ่ ยืนนิ่งเหมือนสัตว์ไม่มีวิญญาณ
ซึ่งเป็นการบอกอย่างชัดเจนว่า “พวกน้อง
ๆ พากันมาเถอะ พี่ไม่ทำไมแล้ว พี่เก็บศาสตราอาวุธซ่อนมันหมดแล้ว เชื่อและมาเถอะ” ในทำนองนี้
แล้วก็พูดเชิงหยอกเล่นกับท่านอาจารย์ขาวบ้างว่า
“ท่านอาจารย์ขาวก็พิสดารไม่ใช่เล่น
พูดกับช้างซึ่งเป็นสัตว์ทั้งตัว ราวกับพูดกับมนุษย์ทั้งคนว่า “พี่ ๆ พวกน้องกลัว ไปไม่ได้
ขอให้พี่หลีกทางให้หน่อย พวกน้องจะได้ไปกันได้ ไม่ต้องกลัวพี่” ไอ้พี่ก็เหมือนเทวบุตรใจมหาเวสสันดร
พอได้ลูกยอเข้าไปสักลูกเท่านั้นก็อิ่มท้อง รีบจัดแจงหลีกทางให้ทันทีทันใดไม่รีรอ
แต่น้องคนเล็กเซ่อเอาการ พอผ่านพี่ไปได้ขอกลดก็เกิดไปเกี่ยวกับแขนงไม้ไผ่
ปลดเท่าไร ๆ ก็ไม่ยอมออก จะพยายามให้อยู่กับพี่จนได้ ใจหายหมดขณะที่กำลังปลดขอกลดอยู่นั้น
กลัวพี่จะเล่นไม่ซื่อ”
ท่านพระอาจารย์มั่นพอฟังคำท่านอาจารย์มหาทองสุกพูดหยอกเล่นท่านอาจารย์ขาว
ว่าฉลาดพูดกับช้างแล้ว เลยหัวเราะใหญ่ไปพักหนึ่ง จึงพูดต่อไปว่า “ทำไมจะไม่กำหนดดูมันเล่า
แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น นกและลิง เรายังกำหนดดูมันในบางเวลา
นี่มันเรื่องถึงตายจะไม่กำหนดได้หรือ” “เวลาท่านอาจารย์กำหนดดูช้างตัวนั้นมันคิดอย่างไรบ้าง” ผู้ถาม ท่านตอบ “ทีแรกได้ยินเสียงพวกเรามันตกใจ
จึงรีบหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว เป็นท่าและความคิดจะต่อสู้
พอมองเห็นพวกเราซึ่งมีสีผ้ากาสาวพัสตร์ครองอยู่
มันก็รู้ทันทีว่าเป็นเพศที่เย็นและไว้ใจได้ เพราะมันเคยเห็นมาจนชินตาชินใจแล้ว
เจ้าของมันก็เคยเสี้ยมสอนมาจนพอแล้วไม่ให้ทำอันตรายแก่เพศนี้ ฉะนั้น
พอพวกเราพูดกับมันซึ่งเป็นคำที่มันชอบมากอยู่แล้วว่า พี่ ๆ ดังที่ท่านขาวพูดกับมัน
ก็ยิ่งทำให้มันชอบใจใหญ่และหลีกทางให้ทันที”
ผู้ถาม
“มันรู้ภาษาที่เราพูดกับมันได้ทุกคำหรือเปล่า” “ทำไมจะไม่รู้
ไม่เช่นนั้นจะเอามันมาลากไม้เข็นซุงในป่าในเขาได้หรือ เดี๋ยวมันฆ่าตายทิ้งเปล่า ๆ
สัตว์พรรค์นี้เขาต้องฝึกสอนจนมันรู้ภาษาคนได้ดีถึงจะนำมาทำงานชนิดต่าง ๆ ได้
ช้างตัวนี้อายุมันเป็นร้อยปีขึ้นไป ดูงามันซิยาวเกือบวา แล้วมันอยู่กับคนมากี่ปี
แม้เจ้าของของมันก็น่ากลัวเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปียังมาเป็นควาญมันได้
มันจะไม่แสนรู้ภาษามนุษย์อย่างไรเล่า ต้องรู้อย่างไม่มีปัญหา” “ขณะที่มันหันหน้าและสอดงาเข้ากอไผ่มันคิดอย่างไรบ้าง” ผู้ถาม ท่านตอบ
“ก็มันรู้เรื่องแล้วนั่นเองมันจึงให้ทาง
ไม่คิดจะทำอะไร” ผู้ถาม “ขณะที่พวกเราเดินผ่านมันมานั้น
ท่านอาจารย์ได้กำหนดดูใจมันมาตลอดทางผ่านหรือเปล่า ว่ามันอาจคิดอย่างไรบ้าง
ขณะที่พระกำลังเดินผ่านมา”
ท่านตอบ “กำหนดดูก็เห็นแต่มันให้ทางอยู่แล้วโดยไม่คิดอะไรอื่น” กระผมกลัวว่าเวลาพวกเรากำลังเดินผ่านมามันอาจคิดสนุกขึ้นมา
อยากทำลายพวกเราเล่นสนุก ๆ ไปตามประสาสัตว์ จึงเรียนถามอย่างนั้น
ท่านว่า
“หาคิดเรื่องพิสดารที่โลกเขามิได้คิดกันมาถาม
ถ้าชอบคิดซอกแซกดังที่คิดถามเรื่องช้างก็คงมีหวังพ้นทุกข์ได้ในวันหนึ่งแน่นอน
แต่นี้คงไม่สนใจคิด นิสัยมนุษย์เราชอบเป็นอย่างนี้มาดั้งเดิม
ถ้าสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ไม่ชอบคิด แต่ที่เสียเวลาและเป็นโทษแล้วชอบคิด
แบบถึงไหนถึงกัน นี่ก็จะพยายามคิดและถามเรื่องช้างไปตลอดคืน
จนไม่ต้องสนใจกับธรรมะธัมโมอะไรละหรือ” พอถูกขู่เท่านั้นเรื่องช้างเลยจบลงทันที เพราะกลัวท่านจะเข่นใหญ่
(นี่ท่านอาจารย์มหาทองสุกเล่าให้ฟัง)
เรื่องการพูดคุยอะไรกับท่านแบบไร้สติ
ว่าควรอย่างไรไม่ควรอย่างไรบ้าง นี่เคยโดนท่านดุมามากราย
บางรายถึงกับเสียสติในวาระต่อไปก็มี
มีพระรูปหนึ่งซึ่งมีนิสัยไม่ค่อยสุภาพนักไปพำนักอยู่กับท่านชั่วคราว
เวลาท่านพูดอะไรขึ้นมาเธอชอบพูดไปตามท่านเสมอ ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ
ท่านเคยเตือนบ่อยให้สนใจในหน้าที่ของตัว
โดยมีสติระวังรักษาใจที่จะคิดจะพูดในเรื่องต่าง ๆ ไม่สนใจกับเรื่องของผู้อื่น
นักปฏิบัติต้องรู้จักวิธีปฏิบัติตัวโดยถูกทาง ผู้มีสติอยู่กับตัวย่อมเห็นความบกพร่องของใจที่แสดงออก
แต่เธอนั้นคงมิได้สนใจคิดเรื่องท่านให้อุบายสั่งสอนเท่าที่ควร
จึงชอบเป็นไปตามนิสัยเสมอ วันหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีนิสัยที่ใคร ๆ สังเกตได้ยาก
เวลาเดินไปไหนมาไหนท่านมองเห็นอะไร เช่นสัตว์ต่าง ๆ หรือผู้คนตลอดเด็ก ๆ ท่านมักจะเอาเรื่องที่ได้เห็นนั้น
ๆ มาพิจารณาและพูดของท่านไปคนเดียว ดังที่เคยเขียนไว้บ้างแล้ว
วันนั้นขณะที่กำลังบิณฑบาต
ท่านได้เห็นลูกวัวมีรูปร่างน่ารักที่กำลังวิ่งเพลินอยู่กับแม่ของมัน ขณะพระเดินไป
มันยังมองไม่เห็นท่าน พอพระเดินไปจวนถึงตัวมันจึงหันหน้ามามองอย่างตกใจ
และกระโดดวิ่งอ้าวไปหาแม่แล้วเอาหลังหนุนคอแม่ไว้ หันหน้าออกมาสู่พระ
นัยน์ตาบอกว่ากลัวมาก ส่วนแม่พอเห็นลูกวิ่งไปหาก็รีบหันหน้ามองมาทางพระ
พอรู้แล้วก็ทำเฉยตามนิสัยของสัตว์ที่เคยกับพระมาจำเจแล้ว
แต่ลูกของมันยืนตาจับจ้องอยู่ใต้คางแม่อย่างไม่ไว้ใจ เมื่อท่านอาจารย์เห็นอาการของทั้งแม่ทั้งลูกที่แสดงอาการต่างกันเช่นนั้น
จึงพูดขึ้นลอย ๆ ว่า “แม่ไม่เห็นแสดงอาการกลัว
แต่ลูกทำไมกลัวจนจะแบกแม่ทั้งตัววิ่งหนีไปได้
(ท่านเห็นมันอยู่ใต้คอแม่อันเป็นลักษณะแบกแม่ถึงได้พูดอย่างนั้น)
พอเหลือบเห็นพระเท่านั้นก็ทั้งเผ่นทั้งร้องหาแม่ให้ช่วย
คนเราก็เหมือนกันต้องวิ่งหาที่พึ่ง
ถ้าอยู่ใกล้แม่ก็วิ่งพึ่งแม่ อยู่ใกล้พ่อก็วิ่งพึ่งพ่อ
อยู่กับใครก็มักจะพึ่งคนนั้น จะคิดพึ่งตัวเองไม่ค่อยมี
ตอนยังเล็กก็คิดหวังพึ่งผู้อื่นแบบหนึ่ง โตขึ้นมาคิดหวังพึ่งผู้อื่นไปอีกแบบหนึ่ง
แก่ตัวลงไปคิดหวังพึ่งผู้อื่นอีกแบบหนึ่ง
จะย้อนจิตเข้ามาใช้อุบายหาทางพึ่งตัวเองไม่ค่อยจะมีกัน ฉะนั้น
คนเราจึงมักทำตัวให้อ่อนแอ อยู่ในวัยใดก็หวังพึ่งแต่ผู้อื่น
อยู่ที่ใดไปที่ใดก็หวังพึ่งแต่ผู้อื่น เลยไม่เป็นตัวของตัวเองได้ตลอดกาล
พระเราก็เหมือนกันบวชมาในศาสนาจะศึกษาก็เกียจคร้าน จะปฏิบัติก็กลัวเป็นทุกข์ลำบาก
เพราะความขี้เกียจไม่ยอมให้ทำ คิดอะไรที่จะเป็นประโยชน์บ้าง
พอคิดจะลงมือทำความขี้เกียจก็มาคอยกันท่าไว้เสีย เลยไม่มีอะไรสำเร็จได้
เมื่อไม่มีทางช่วยตัวเองได้จำต้องหวังพึ่งผู้อื่น ไม่เช่นนั้นก็ครองตัวไปไม่ได้
คำว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เลยไม่มีประโยชน์สำหรับคนไม่มีจมูกหายใจ
เราผู้บวชเป็นพระและเป็นนักปฏิบัติจึงไม่ควรทำตนเป็นคนไม่มีจมูก
คอยหายใจจากผู้อื่นอยู่เรื่อยไป ครูอาจารย์สั่งสอนอะไรควรนำไปคิดและพยายามทำตาม
ไม่ให้หลุดมือตกสูญหายไปเปล่า ๆ พยายามคิดและทำตามท่านจนเกิดประโยชน์ขึ้นมาแก่ตนจนได้
จะต้องไม่หวังพึ่งท่านตลอดไป
จมูกทางหายใจคือความรู้ความฉลาดทางระบายทุกข์น้อยใหญ่ออกจากใจก็พอมีทางอาศัยตนได้
ชื่อว่าเป็นพระขึ้นมาโดยลำดับ จนกลายเป็นพระสมบูรณ์แบบและพึ่งตนเองได้อย่างเต็มที่
ท่านพูดเป็นเชิงสอนพระหรือสอนใครก็สุดแต่ผู้จะพิจารณานำมาสอนตน
คำพูดท่านยังไม่จบเรื่องซึ่งพอจะแทรกขึ้นในระหว่างท่านหยุดชั่วคราว
แต่พระองค์ไม่ค่อยพิจารณานักก็พูดพล่ามไปตามท่าน
โดยมิได้สำนึกตัวว่าควรหรือไม่ควรเพียงไร
ความบ้าของเธออาจจะเข้าไปกระทบธรรมภายในท่านอย่างแรง
จึงทำให้ท่านหันหน้ากลับมาชำระเสียบ้าง พอให้พระองค์ที่มีสังวรธรรมพลอยตกตะลึงกลัวไปตาม
ๆ กัน ใจความว่า “ท่านนี้จะบ้าเสียแล้วกระมังนี่
พอตามองเห็นค้อนเห็นไม้ที่ใครโยนมาแต่ทิศใดแดนใดก็คอยแต่จะโดดกัดร่ำไปเหมือนสุนัขบ้า
ไม่มองดูใจที่กำลังจะบ้าอยู่ขณะนี้บ้างเลย ผมว่าท่านจะบ้าแล้วนะ
ถ้ายังขืนปล่อยให้น้ำลายไหลออกแบบไม่มีสติดังที่เป็นอยู่ขณะนี้” ว่าเท่านั้นก็หันกลับและเดินเข้าที่พักไม่พูดอะไรต่อไปอีก
มองดูพระองค์นั้นหน้าตาพิกลอย่างพูดไม่ออก
ตอนมาถึงที่พักแล้ว ขณะฉันก็เห็นเธอฉันนิดเดียว พอเห็นอาการอย่างนั้น
ต่างองค์ก็ต่างนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่รู้และไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เกรงว่าจะอาย
เวลาอื่นก็ทำเหมือนไม่มีอะไร ต่างองค์ต่างอยู่และบำเพ็ญภาวนาไปตามที่เคยปฏิบัติมา
พอตกกลางคืนเงียบ ๆ ได้ยินเสียงร้องโวยวายขึ้นแบบคนไม่มีสติ พูดไม่ได้ศัพท์ได้แสง
พอทราบเหตุต่างองค์ต่างก็รีบไปดูที่เสียงปรากฏขึ้น
ก็ได้เห็นพระองค์นั้นนอนร่ายมนต์บ่นเพ้อทิ้งเนื้อทิ้งตัวอยู่บริเวณที่พักนั้นแบบคนไม่มีสติเอาเลย
แต่พอจับใจความได้เป็นบางตอนว่า “เสียใจที่ได้ล่วงเกินท่านอาจารย์โดยไม่รู้กาลเทศะ” ใครก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน
และต้องรีบไปตามชาวบ้านมาช่วยพยาบาลรักษา คือหายาแก้ลมเป็นต้น มาให้เธอฉัน
คนนั้นบีบคนนี้นวดตามบริเวณร่างกายอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็สงบและนอนหลับได้จนสว่าง
พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมารับเธอไปหาหมอฉีดหยูกยาให้เธอ
อาการก็พอลดลงบ้าง แต่ยังมีการกำเริบเป็นคราว ๆ พอค่อยยังชั่วบ้างก็ส่งเธอกลับบ้าน
หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่าโรคหายหรือเป็นตายอย่างไร ผู้เขียนก็ทราบจากพระที่อยู่ด้วยกันกับเธอในเวลานั้นเล่าให้ฟัง
ทั้งนี้พูดเรื่องโดนดุ ถ้าโดนพอเบาะ ๆ ก็พอให้ผู้ถูกดุได้สติและระวังตัวต่อไป
ถ้าหาเรื่องให้ถูกโดนดุอย่างหนักและผู้ถูกดุ ไม่มีสติปัญญาพอจะถือเอาประโยชน์ได้
มักมีทางเสียได้ดังที่ปรากฏมา ฉะนั้น ผู้อยู่กับท่านจึงอยู่ด้วยความระวังสำรวมอย่างยิ่ง
จะตีสนิทคุ้นเคยในฐานะว่าเคยอยู่กับท่านมานานย่อมไม่ได้
เพราะนิสัยท่านเป็นนิสัยที่ไม่คุ้นกับใครเอาง่าย ๆ แต่ไหนแต่ไรมา
ผู้อยู่กับท่านจึงนอนใจไม่ได้
แม้ระวังตัวอยู่เหมือนแม่เนื้อระวังนายพรานก็ยังถูกโดนยิงจนได้
เท่าที่ทราบจากครูอาจารย์ที่เคยอยู่กับท่านมาก่อนว่า
ถ้ามีเฉพาะท่านที่มีภูมิจิตใจสูงอยู่กับท่าน
การวางตัวท่านก็ปล่อยตามนิสัยที่รู้จักท่านดีแล้ว คือแสดงกิริยามรรยาทธรรมดาสบาย ๆ
เหมือนผู้ใหญ่อยู่ด้วยกัน ไม่ค่อยเข้มงวดกวดขันนัก แต่การเปลี่ยนแปลงมรรยาท
ท่านรู้สึกเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วจนตามแทบไม่ทัน
อยู่สถานที่แห่งหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ตามแต่เหตุการณ์ที่ควรเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่บุคคลนั้น
และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วทั้งไม่ซ้ำรอยกันเลย
นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสำหรับผู้ไม่สามารถทำอย่างท่านได้ เวลาว่างโอกาสดี
ๆ ท่านเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งโดยมากมักขัน ๆ และน่าหัวเราะทั้งนั้น
จึงขอยกเรื่องท่านมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเล็กน้อย พอทราบว่าคน ๆ
เดียวมีการเปลี่ยนแปลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์
คือสมัยท่านเป็นฆราวาสกำลังแตกหนุ่ม
ท่านเคยเป็นหมอลำหมอเพลง คราวหนึ่งท่านขึ้นไปขับลำทำเพลงประชันกันกับหญิงสาว
ซึ่งเป็นนักประชันที่มีชื่อคนหนึ่งในงานใหญ่ มีคนไปในงานนั้นเป็นพัน ๆ
ท่านนึกสนุกขึ้นมาก็ขึ้นไปบนเวทีขอประชันเพลงกับหญิงคนนั้น
หรือท่านอาจมีรักเขาบ้างก็ทราบไม่ได้ จึงเกิดความฮึกหาญขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
หญิงนั้นยินดีเป็นคู่แข่งกับท่าน พอเริ่มกลอนประชันยังไม่ถึงไหน
ท่านก็เป็นฝ่ายแพ้กลอนเขาเข้าไปสองสามกลอนแล้ว พอดีมีเทวบุตรมาโปรดไว้ทัน
คือในงานนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
ซึ่งเวลานั้นท่านเป็นฆราวาสและอยู่ในวัยหนุ่มเช่นเดียวกัน
แต่อายุแก่กว่าท่านอาจารย์มั่นบ้าง ได้ไปในงานนั้นด้วย
และเข้าฟังเพลงระหว่างท่านอาจารย์มั่นซึ่งเป็นชายหนุ่ม
กับหญิงสาวคนนั้นขับเคี่ยวกันในเชิงกลอนต่าง ๆ
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
เห็นท่าไม่ได้การ เพราะฝ่ายเราคือท่านอาจารย์มั่นแพ้เขาไปหลายกลอนแล้ว
ถ้าตกดึกไปกว่านี้ คงจะลงเวทีไม่ได้แน่ อาจจะถูกหญิงสาวคนนั้นหามลงแบบไม่มีหน้าติดตัวลงมาเลย
เพราะหญิงสาวเป็นนักต่อสู้มาหลายเวทีแล้ว ส่วนคนของเราเพิ่งจะเริ่มขึ้นเวที
และก็ใจปํ้าฮึกหาญสำคัญ โดดขึ้นสู้กับเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอน
แม้จะเป็นเสือตัวเมียมันก็มีเขี้ยวเต็มปากอย่างพอตัว
แต่เสือเราแม้จะเป็นเสือตัวผู้แต่ฟังน้ำนมมันก็เพิ่งจะออกไม่กี่ซี่
ขืนให้สู้ต่อไปเสือตัวเมียต้องถลกหนังมันเข้าตลาดแน่ ๆ
อ้ายมั่นนี่มันไม่รู้จักเสือ มันนึกว่าแต่สาว ๆ เท่านั้น แต่มันไม่รู้จักตาย
เราต้องเข้าช่วยเอาหนังมันไว้ก่อนครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นหนังมันจะเข้าตลาดแน่นอน
พอคิดแล้วก็โดดขึ้นบนเวทีทำท่าว่า
“อ้ายมั่น อ้ายห่า
กูเที่ยวตามหามึงแทบตาย แม่มึงตกเรือนสูง ๆ ลงมากองอยู่กับพื้น
จะตายหรือยังก็ไม่แน่ใจเลย พอกูโผล่เข้าไปจะช่วย
เขาก็ใช้ให้กูมาเที่ยวตามหามึงตั้งแต่วัน ๆ จนป่านนี้ กูตามหามึงแทบตาย
ข้าวก็ยังไม่ตกท้องเลย กูจะเป็นลมตายอยู่เดี๋ยวนี้”
ทางอ้ายมั่นก็ตกตะลึง
หญิงสาวก็ตกตะลึงในอุบายไปตาม ๆ กัน ฝ่ายอ้ายมั่นอดไม่ได้รีบถามขึ้นมาทันทีว่า “แม่กูเป็นยังไงวะ อ้ายจันทร์” (ชื่อท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ว่านายจันทร์
สมัยเป็นฆราวาส ท่านพูดกันตอนเป็นฆราวาส)
ฝ่ายอ้ายจันทร์ทำเป็นอิดโรยจะเป็นลมตายอยู่บนเวทีว่า “กูคิดว่าแม่มึงตายแล้ว
ส่วนกูกำลังจะตายด้วยทั้งหิวข้าวทั้งเป็นลม” พอจบคำ
อ้ายจันทร์ก็ฉุดแขนอ้ายมั่นทำท่าลากกันลงมาจากเวทีท่ามกลางคนเป็นพัน ๆ
ตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน แล้วพากันออกวิ่งผ่านฝูงคนไปอย่างรีบด่วน
พอพ้นหมู่บ้านนั้นไปแล้ว อ้ายมั่นถามซ้ำอีกอย่างกระหาย อยากทราบเป็นกำลังว่า “แม่กูไปทำอะไรถึงได้ตกเรือนขนาดกองกับพื้นเล่า” ฝ่ายอ้ายจันทร์ตอบว่า “กูเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุชัด
พอมองเห็นและจะวิ่งเข้าไปช่วย เขาใช้ให้วิ่งตามหามึง กูวิ่งมานี่
จะไปรู้เรื่องละเอียดลอออย่างไรเล่า” “เท่าที่มึงดูบ้างแล้วแม่กูพอจะตายไหม” อ้ายมั่นถามอย่างกระวนกระวาย อ้ายจันทร์ตอบว่า “ตายหรือยังอยู่เราจะไปดูเองอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ”
พอเลยหมู่บ้านไปไกล
กะประมาณว่าอ้ายมั่นไม่กล้ากลับมาคนเดียวได้อีกแล้ว
(สมัยก่อนหมู่บ้านอยู่ห่างกันมาก สัตว์เสือผีก็ชุม ใคร ๆ
จึงไม่กล้ามาคนเดียวในเวลาค่ำคืน) จึงเปลี่ยนกิริยาอาการทุกอย่างเสียใหม่
แล้วบอกกับอ้ายมั่นโดยตรงว่า “แม่มึงไม่ได้เป็นอะไรหรอก
ที่กูทำท่าอย่างนั้นกูทนดูมึงติดกลอนอียายเมียมึงคนนั้นไม่ไหว
กลัวมันจะถลกหนังมึงไปขายตลาด ซึ่งเป็นการขายหน้ากู
และขายหน้าบ้านเราว่าอ้ายมั่นสู้ผู้หญิงไม่ได้ ให้เขาเปิดผ้าลบลายเล่นเหมือนเสือตายแล้ว
กูจึงได้คิดอุบายหลอกมึงและหลอกอียายเมียมึงให้มันตายใจ
และให้ชาวบ้านเชื่อถือได้ว่ามึงยังไม่หมดประตูสู้ แต่ต้องหนีไปเพราะเหตุสุดวิสัย
แล้วฉุดมึงหนีเพื่อไม่ให้ใครเขาจับพิรุธได้
แม้อียายเมียคู่แข่งมึงก็เห็นอดตกตะลึงไปตามอุบายอันแยบคายของกูไม่ได้
มันต้องสนใจฟังและมองตามพวกเราด้วยความตกใจแสนสงสารแม่มึงและมึงไปตามเรา
เห็นไหมอุบายกูช่วยมึงออกจากนรกผู้หญิง คราวนี้มึงคิดว่าแยบคายดีพอใช้ไหม”
พออ้ายจันทร์พูดจบลง
อ้ายมั่นอุทานว่า “โอ้โฮ น่าเสียดาย
อ้ายห่านี่ทำกูถึงขนาดนี้เทียวนะ กูกำลังคันฟันห้ำหั่นกับมันอย่างสนุกสนาน
มึงมาฉุดกูออกจากถ้วยลาภ แหม มึงทำกูอย่างถนัด กูมิได้นึกเลยอ้ายจันทร์
กูอยากคืนไปซ้ำมันอีก เอาหนังเข้าตลาดในคืนวันนี้จนได้” อ้ายจันทร์ตอบ “โธ่ มึงจะตายกูช่วยชุบชีวิตไว้ได้แล้ว
มึงยังกลับทำท่าอวดเก่งอยู่อีก เดี๋ยวกูจะผลักหลังกลับคืนไปให้อียายเมียมึงเอาเนื้อขึ้นเขียงเสียในคืนนี้ไม่ดีหรือ” อ้ายมั่นออกท่าว่า “ที่กูทำท่าติดกลอนมันบ้างพอให้มันได้ใจไปหน่อยนั้น
เพราะกูก็เห็นมันเป็นผู้หญิง พอตกดึกกูก็มัดมันเข้ากระสอบเอาไปขายกินอย่างหวาน ๆ
ยังไงล่ะ มึงยังไม่รู้อุบายกู เป็นอุบายเสือหลอกลิงเลย”
“ถ้ามึงเก่งจริงดังที่คุยโม้
เพียงกูคิดอุบายนิดหน่อยฉุดมึงขึ้นจากนรกผู้หญิงมึงยังตกตะลึง
ทั้งจะร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเมียมึงอย่างไม่คิดอายว่าตัวเป็นผู้ชายเลย
แล้วใครจะชมมึงว่าฉลาดพอจะเอาอียายเมียมึงเข้ากระสอบล่ะ
กูคิดเห็นแต่มันจะมัดมึงโยนลงเวทีต่อหน้าคนจำนวนพัน ๆ เท่านั้น มึงอย่าคุยโม้ไปมาก
รีบสาธุอุบายเมตตากูที่มีต่อมึงดีกว่าอ้ายแพ้ผู้หญิง” สุดท้ายคืนนั้นทั้งอ้ายจันทร์ทั้งอ้ายมั่นเลยไม่ได้ดูงานตามความคาดหมายไว้
เพราะเรื่องนี้เป็นสาเหตุให้ต้องพรากงาน
ฟังนักปราชญ์ทั้งสองโต้กัน
แม้สมัยท่านยังเป็นฆราวาสก็ยังรู้สึกน่าฟังมาก ถึงจะเป็นเรื่องโลก ๆ
แต่ก็เป็นเชิงของคนฉลาดพูดกัน จึงเป็นที่ซาบซึ้งจับใจในอุบายที่แสดงออกทุก ๆ
ประโยค ฟังแล้วทำให้เพลินใจประหนึ่งท่านสนทนากันอยู่ต่อหน้าเราฉะนั้น
เรื่องของท่านทั้งสองโต้กันยังมีอีกแยะ แต่เห็นว่าเท่าที่กล่าวมาพอเป็นคติแก่พวกเราพอสมควร
อุบายของท่านทั้งสองแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีเค้าแห่งความฉลาดมาแต่เป็นฆราวาส
ฉะนั้นเวลามาบวชเป็นพระ ท่านจึงเป็นจอมปราชญ์ทั้งสององค์ในสมัยปัจจุบัน
ปรากฏชื่อลือนามกระเดื่องเลื่องลือทั่วประเทศไทยว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์และท่านพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระ เป็นจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน
ที่เขียนว่าอ้ายจันทร์และอ้ายมั่นนั้นเขียนตามที่ทราบจากท่านเล่าให้พระฟัง
เวลาท่านเปิดโอกาสสบาย
ๆ กับบรรดาศิษย์ที่เคร่งเครียดต่อการระวังในท่านมาเป็นประจำ หากเป็นการไม่บังควรประการใด ก็ขอประทานโทษท่านเจ้าพระคุณทั้งสองและท่านผู้อ่านทั่ว
ๆ ไปด้วย ถ้าจะเลี่ยงเขียนตามศัพท์นิยมก็ไม่ถนัดใจ ที่ท่านเรียกกันเช่นนั้น
เข้าใจว่าท่านนิยมนับถือกันด้วยคำพูดทำนองนั้น
ซึ่งเราเองก็เคยใช้ต่อกันระหว่างบุคคลที่สนิทสนมกันตามฐานะและวัยเสมอมา
จึงได้เขียนตามเค้ามาดั้งเดิม จะหยาบคายหรือละเอียดประการใด
ก็ประสงค์ให้เป็นไปตามเรื่องเดิมซึ่งเป็นธรรมชาติแท้ที่ท่านใช้กันในเพศและวัยนั้น
รู้สึกสะดวกใจ และอาจมองเห็นภาพท่านทั้งคราวเป็นฆราวาสที่กำลังคะนองรื่นเริง
และภาพที่เป็นนักบวชซึ่งสละความเป็นโลกออกอย่างสิ้นเชิง มีแต่ความอัศจรรย์ล้วน ๆ
อยู่ในองค์แห่งพระเวลาท่านบวชแล้ว
ขณะท่านเล่านิทานให้ฟัง
น่าฟังมาก โดยมากก็เป็นเรื่องสมัยปัจจุบันมากกว่าจะเป็นนิทาน
ท่านชอบชมเชยความฉลาดของเจ้าคุณอุบาลีฯ ให้ฟังเสมอ ครั้งหนึ่งท่านเล่าว่า
ท่านสนทนากับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ถึงพระเวสสันดร พอได้โอกาสท่านเรียนถามถึงแม่ของพระนางมัทรีคือใคร
ไม่เห็นกล่าวไว้ในคัมภีร์ หรือค้นหาไม่พบต่างหาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ก็ตอบขึ้นทันทีว่า ท่านยังไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินแม่นางมัทรีบ้างหรือ
เขาเห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง ท่านมัวไปหานางมัทรีอยู่ที่ไหนถึงไม่ได้เห็นกับเขา ท่านพระอาจารย์มั่นกราบเรียนว่ายังไม่เคยเห็นเลย
ไม่ทราบว่าอยู่ในคัมภีร์ไหน ท่านตอบทันทีว่าจะอยู่ในคัมภีร์อะไรที่ไหนกัน
ก็สาวอบผู้พูดเสียงดัง ๆ บ้านแกหลังใหญ่ ๆ อยู่สี่แยกทางออกไปวัดยังไงล่ะ
ท่านพระอาจารย์มั่นเกิดงง
ต้องเรียนถามท่านอีกว่า สี่แยกที่ไหนและทางออกไปวัดไหน
ท่านไม่เห็นกล่าวเรื่องวัดเรื่องวาไว้เลย ท่านตอบว่า
ก็แม่นางมัทรีบ้านแกอยู่เกือบติดกับบ้านท่านอย่างไรล่ะ
ทำไมยังไม่รู้กระทั่งนางมัทรีและสาวอบแม่นางมัทรีเข้าอีก ท่านนี้แย่จริงๆ เพียงนางมัทรีและสาวอบในหมู่บ้านเดียวกันยังไม่รู้อีก
ท่านจะไปเที่ยวหาแม่นางมัทรีในคัมภีร์ไหนกันอีก ผมก็แย่แทนท่านถ้าเป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ก็ระลึกได้ทันทีเมื่อท่านพูดว่า นางมัทรีและสาวอบที่อยู่ในบ้านเดียวกัน
แต่ก่อนมัวไปนึกภาพในเรื่องพระเวสสันดรในคัมภีร์โน้นจึงทำให้งงไปนาน
ท่านว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านฉลาดโต้ตอบด้วยอุบายแปลก ๆ อย่างนี้เสมอมา
ท่านมักโต้ตอบแบบศอกกลับเสมอ ทำเอาผู้ฟังงงไปตาม ๆ
กันและก็ได้สติปัญญาจากอุบายท่านตลอดมา
ท่านเล่าทั้งหัวเราะขันตัวท่านเองที่ไม่ทันลูกไม้ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ท้าวสักกเทวราชบนสวรรค์มาเยี่ยมท่านเสมอ
ท่านพักจำพรรษาอยู่บ้านน้ำเมา
อำเภอแม่ปัง เชียงใหม่ ท่านว่าท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์
มีท้าวสักกเทวราชเป็นหัวหน้ามากเป็นพิเศษ
แม้หน้าแล้งท่านหลีกออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียวอยู่ในถ้ำดอกคำ
ก็มีท้าวสักกเทวราชพาพวกเทวดามาเยี่ยมท่าน
ซึ่งมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด ถ้าพวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้เขาเข้าใจวิธีฟังธรรมก่อนที่ท่านจะแสดงให้ฟัง
โดยมากท่านแสดงเมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหารให้เขาฟัง
เพราะพวกเทวดาชอบธรรมนี้มากเป็นพิเศษ ท่านพักอยู่ทั้งสองแห่งนี้
ท้าวสักกเทวราชมาเยี่ยมฟังธรรมเสมอ การต้อนรับพวกเทพทุกชั้นทุกภูมิก็ปรากฏว่ามากเป็นพิเศษกว่าที่อื่น
ๆ เพราะที่นี่อยู่ลึกและสงัดมากบรรยากาศก็อำนวย
พวกนี้เคารพท่านและสถานที่ที่ท่านพักอยู่มาก
แม้ทางจงกรมที่ญาติโยมเอาทรายมาเกลี่ยไว้สำหรับให้ท่านเดินจงกรมก็ไม่กล้าผ่านเข้ามา
ต้องเว้นไปเข้าทางอื่น พวกพญานาคก็เช่นกัน เวลาเขาเข้ามาเยี่ยมฟังธรรมท่านก็ไม่อาจเดินข้ามทางจงกรมเข้ามา
ถ้าหัวหน้าจำเป็นต้องเดินผ่านเข้ามาเป็นบางครั้ง
ต้องเว้นไปทางหัวจงกรมเดินอ้อมเข้ามา
บางครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์ท่านในกิจบางอย่าง
เช่นเดียวกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงาน ก็ไม่กล้าเดินข้ามทางจงกรมเข้ามา
ถ้ามีทรายโรยไว้ก็เอามือกวาดทรายออกเสียก่อนแล้วค่อยคลานเข้ามา
พอพ้นจากนั้นแล้วค่อยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาท่าน
กิริยามรรยาททุกอาการอยู่ในความสำรวมดีมาก
ท่านว่ามนุษย์เราซึ่งเป็นเจ้าของศาสนา
ถ้าต่างสนใจในธรรมและมีความเคารพต่อตัวเองสมกับว่ารักตนจริง ๆ
ตามความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ภายใน
ก็ควรมีมรรยาทเคารพศาสนาเช่นเดียวกับพวกเทวดาและพญานาคที่เขาทำกัน
แม้ไม่สามารถจะมองเห็นวิธีการที่เขาทำความเคารพต่อศาสนา
แต่ศาสนาก็สอนวิธีเคารพไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่มีอะไรบกพร่อง
นอกจากพวกมนุษย์เราไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร และตั้งใจสั่งสมความประมาทใส่ตนจนหาที่เก็บไม่ได้เท่านั้น
จึงไม่ค่อยประสบความสุขความสมหวังดังที่ปรารถนากัน
ความจริงศาสนาเป็นแหล่งผลิตมรรยาทศีลธรรมอันดีงามเพื่อผล
คือความสุขความสมหวังจะมีทางเกิดขึ้นแก่ผู้สนใจตามหลักศาสนาที่สอนไว้
ท่านกล่าวเน้นหนักลงไปว่า ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย
เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร
ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว
ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง
ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น
หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น