ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ 5


หนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ 5

โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

รับว่าเป็นความจริง เพราะอยู่ด้วยกันในวัดตลอดเวลา มิได้ไปไหนมาไหนพอจะหลวมตัว ทั้งก็อยู่กับท่านพระอาจารย์เสียเอง อันเป็นสถานที่ให้ความปลอดภัยตลอดมาไม่มีข้อที่น่าสงสัย นอกจากเจ้ากรรมหรือคู่บาปคู่บุญมาถึงเข้าเท่านั้น เธอเล่าให้พระเคยอนุเคราะห์ฟังว่า เพียงประสาททางตากระทบกันเท่านั้น มันเหมือนดมยาสลบเข้าไปไม่ได้สติสตังเอาเลย ปรากฏแต่ความรักความผูกพันมัดจิตใจจนแทบจะหายใจไม่ออก ทำให้จิตใจเซ่อซ่าไปตามอารมณ์นั้นจนตัวไม่เป็นตัวของตัว และไม่มีเวลาลดหย่อนผ่อนคลายลงบ้างเลย เมื่อเห็นท่าไม่ได้การก็พยายามปลีกตัวหนีไป เจ้าของยาก็ตามไปเยี่ยมคนไข้อีก เรื่องก็เสร็จกันเท่านั้นเองจะไปที่ไหนรอด ใครไม่เคยถูกก็ดูยิ้มได้ ถ้าถูกเข้าก็รู้เอง เพราะมิใช่พระสุนทรสมุทรพอจะเหาะออกจากทางทวารบนแห่งบ้านได้
ตามปกติพวกนี้ไม่คุ้นกับพระแต่หากกรรมพาเป็นไปเอง เรื่องกรรมนี้จึงไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใด เพราะกรรมมีอำนาจเหนือใครในโลกที่สร้างกรรม พระอาจารย์ท่านทราบอย่างเต็มใจจึงต้องมีอุบายปฏิบัติต่อเธออย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำต่อผู้ใดมาก่อนเลย แต่ก็คงสุดวิสัย ท่านจึงมิได้แนะอุบายอะไรเพื่อเธอให้ยิ่งไปกว่าที่อนุเคราะห์มาแล้วนั้น เรื่องก็ลงเอยกันตรงที่เมื่อไปไม่รอดก็จำต้องจอดเรือ ซึ่งเป็นคติธรรมของโลกที่อยู่ใต้อำนาจของกรรม ดังนั้นจึงได้นำเรื่องนี้มาลงไว้เพื่อเป็นคติเตือนใจพวกเราที่อาจเป็นได้ หากเป็นการไม่สมควรประการใดก็หวังได้รับอภัยจากท่านผู้อ่านตามเคย
ก่อนจะมาถึงเรื่องนี้ ได้กล่าวถึงความรู้พิเศษของท่านพระอาจารย์มั่นที่เคยดักจับขโมยพระได้ผลดี และเป็นเครื่องมือดักใจทายใจที่คิดออกนอกลู่นอกทางให้รู้สึกและระมัดระวังตัวได้ดี เวลาท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อมีพระปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญทางความเพียรไปหา ท่านมักจะใช้วิชาแขนงนี้ช่วยในการสั่งสอนเสมอ ไม่ค่อยระวังว่าจะเกิดผลเสียหายตามมาดังที่ใช้กับผู้ไม่ตั้งใจจริงจัง โดยมากพระที่ไปอบรมเป็นผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริง ๆ พอรู้ตัวว่าผิดและท่านตักเตือน จะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ก็พร้อมที่จะแก้ไขความผิดของตนอย่างเต็มสติกำลัง ไม่ละอายและกลัวท่านในสิ่งที่ตนพลั้งเผลอ เมื่อได้รับคำตักเตือนจากท่านโดยอุบายต่าง ๆ การอบรมสั่งสอนท่านเมตตาแสดงอย่างถึงใจผู้ฟังจริง ๆ ไม่ปิดบังลี้ลับทั้งความรู้ภายใน และการชี้แจงก็ชี้แจงไปตามความบกพร่องของผู้มาศึกษา ผิดถูกอย่างไรก็ว่ากล่าวสั่งสอนกันไปตามเรื่อง เจตนาหวังสงเคราะห์จริง ๆ ผู้มาศึกษาก็ไม่แสดงอาการกระด้างวางตัวในลักษณะผู้ไม่ยอมรับความจริง หรือหยิ่งในภูมิว่าตนได้รับการศึกษามามาก ซึ่งตามธรรมดามักมีแทรกอยู่เสมอ
การอธิบายธรรมของท่านกำหนดแน่นอนไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับผู้ไปศึกษาเป็นราย ๆ ไป ผู้ไปศึกษามีภูมิธรรมขั้นใดก็อธิบายให้ฟังตามจุดที่สำคัญ ๆ ทั้งจุดที่เห็นว่าถูกต้องแล้วเพื่อส่งเสริมให้ยิ่งขึ้นไป ทั้งจุดที่เห็นว่าไม่ถูกและล่อแหลมต่ออันตราย เพื่อผู้นั้นจะมีทางลดละปล่อยวางไม่ดำเนินต่อไป การแสดงธรรมแก้จิตใจของนักปฏิบัติธรรมที่ไปศึกษาไต่ถาม นับว่าท่านอธิบายอย่างมั่นเหมาะตามจุดแห่งความสงสัยไม่ผิดพลาด ผู้ไปศึกษาไม่ผิดหวังเท่าที่ทราบมา ซึ่งควรจะพูดได้ว่า ร้อยทั้งร้อยต้องมีหวัง ถ้าเป็นทางจิตตภาวนา เพราะท่านชำนิชำนาญทางจิตตภาวนามาก นับแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูงสุดไม่มีอะไรบกพร่อง การแสดงออกแห่งธรรมแต่ละประโยคจึงจับใจไพเราะ หาทางเสมอได้ยากในสมัยปัจจุบัน แสดงเรื่องศีลก็น่าฟัง แสดงสมาธิทุกขั้นและปัญญาทุกภูมิก็ถึงใจอย่างยิ่ง ฟังแล้วทำให้อิ่มเอิบเพลิดเพลินไปหลายวัน กว่าความรู้สึกนั้นจะจางลง
ปกติที่ท่านอยู่ในป่าในเขาโดดเดี่ยวแต่ผู้เดียว ในเวลาบำเพ็ญเพื่อธรรมเบื้องสูง ท่านว่าท่านอยู่กับความเพียรทางใจแทบตลอดเวลา จะมีเวลาว่างเฉพาะเวลาหลับนอนเท่านั้น นอกนั้นเป็นความเพียรล้วน ๆ โดยมิได้กำหนดอิริยาบถใด ๆ เลย การพิจารณาธรรมภายในเพื่อถอดถอนกิเลสมีสติปัญญาเป็นเพื่อนสอง คือ ท่านพูดคุยโต้ตอบกับกิเลสด้วยสติปัญญา มีความมุ่งมั่นเพื่อแดนพ้นทุกข์เป็นสื่อชวนให้คุยกับสิ่งเหล่านั้น แต่มิได้พูดคุยด้วยปากเหมือนเราคุยกันหลายคน หากแต่พูดคุยด้วยการคิด การไตร่ตรองการโต้ตอบกับกิเลสภายในด้วยสติปัญญา กิเลสผู้คอยหาช่องหาทางออกตัวจะออกทางใดช่องใด หรือตบต่อยผูกมัดท่านด้วยกลอุบายใด ท่านก็ใช้สติปัญญาตามต้อนตบตีขยี้ขยำกิเลสโดยอุบายต่าง ๆ จนเอาชนะไปได้เป็นพัก ๆ
จุดใดที่ท่านทราบว่ากิเลสยังเหนือกว่าอยู่ก็พยายามส่งเสริมอาวุธ คือ สติปัญญาศรัทธาความเพียรให้มีกำลังกล้าขึ้นโดยลำดับ จนกว่าจะเหนือกว่ากำลังของกิเลสที่เป็นฝ่ายข้าศึก จนเอาชนะไปได้โดยตลอดถึงขั้นโลกธาตุหวั่นไหวภายในใจ ขณะเจ้าผู้ครองวัฏจิตถูกทำลายลงด้วยมรรคญาณ ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว นี่เป็นวิธีดำเนินความเพียรท่านในขั้นสุดท้าย
คือ การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา ท่านมิได้กำหนดเวลา แต่ถือเอาความเพียรเพื่อชัยชนะเป็นที่ตั้งไปตลอดสาย มีสติปัญญาเป็นเครื่องดำเนิน พอพ้นจากดงหนาป่าทึบไปได้แล้ว ท่านว่าเครื่องมือเข้าสู่สงครามคือสติปัญญาประเภทนั้น ย่อมหมดปัญหาไปเอง เหลือแต่สติปัญญาที่ใช้อยู่ประจำขันธ์เท่านั้น เวลาต้องการใช้เพื่อคิดอรรถคิดธรรมลึกตื้นหยาบละเอียด หรือธุระอย่างอื่นก็นำมาใช้เป็นคราว ๆ ไป พอสิ้นเรื่องแล้วก็ระงับไปในที่นั้นเอง ไม่มีการเตรียมรุกเตรียมรบกับอะไรดังที่เคยเป็นมา ถ้าไม่มีข้ออรรถข้อธรรมมาสัมผัสจิตพอจะให้คิดอ่านไตร่ตรองไปตาม ก็อยู่ไปเหมือนคนไม่มีสติปัญญา หรือเหมือนคนโง่แบบไม่เอาเรื่องเอาถ่านกับอะไรที่เคยเกี่ยวข้องกันมาอย่างชุลมุนวุ่นวายนั่นเลย ปรากฏมีแต่ความสงบสุขเด่นอยู่ในใจประเภท อกาลิโก เท่านั้น ไม่มีอะไรมายุ่งเกี่ยว ถ้าอยู่ลำพังใจที่สงบราบคาบจากสิ่งทั้งหลาย ไม่คิดไปถึงเรื่องเคยมีเคยเป็นที่อยู่ตามธรรมชาติของเขาทั่วไตรโลกธาตุ ก็เป็นเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ประหนึ่งดับไปพร้อมกับกิเลสโดยสิ้นเชิง
เวลามีหมู่คณะเข้าไปอาศัยอบรมด้วยก็มีการประชุมให้โอวาทสั่งสอน คอยตักเตือนว่ากล่าวในเวลาที่เห็นว่ารายใดไม่สู้งามตางามใจ หรือทราบเรื่องของใครในทางจิตตภาวนา โดยการแสดงภาพนิมิตของผู้นั้นให้ปรากฏเป็นความไม่ดีไม่งามก็ดี โดยการรู้ขณะจิตที่คิดไปนอกลู่นอกทางก็ดี ก็ต้องแสดงอุบายเป็นเชิงเปรียบเปรยให้เจ้าตัวรู้ เพื่อทำความสำรวมระวังต่อไป
การแสดงภาพนิมิตให้ปรากฏแก่จิตตภาวนานั้น จะขอยกตัวอย่างมาให้ท่านผู้อ่านทราบพอเป็นเครื่องเทียบเคียงกับนิมิตทั้งหลาย ที่เคยปรากฏแก่จิตตภาวนาของท่านพระอาจารย์มั่นเสมอมา ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ กันตามรูปการณ์ของผู้เป็นต้นเหตุแห่งนิมิตนั้น ๆ คือมีพระรูปหนึ่งเมื่อเป็นฆราวาสเธอเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในวงการมวย เวลาบวชแล้วเกิดความเลื่อมใสอยากออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน ได้ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่นว่า เป็นพระปฏิบัติดีและเชี่ยวชาญทางจิตตภาวนาน่าเคารพเลื่อมใสมาก จึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปสำนักท่านพระอาจารย์มั่น แต่ขณะที่จะออกเดินทางไปหาท่าน มิได้นึกเฉลียวใจเรื่องของตัว คือเธอได้ถ่ายภาพนักมวยชกกันท่าต่าง ๆ ไว้ในกระเป๋าราว ๑๐ กว่าแผ่นติดย่ามไปด้วย แต่ตอนเธอถ่ายภาพนั้นจะถ่ายแต่เมื่อไรท่านมิได้เล่าให้ฟัง
เวลาเธอออกเดินทางจากพระนครไปเชียงใหม่หาท่านพระอาจารย์มั่นที่อยู่ในภูเขาลึก จึงนำติดตัวไปด้วย พอไปถึงก็กราบรายงานตัวและความประสงค์ถวายท่านให้ทราบ ขณะนั้นท่านก็มิได้พูดเป็นเชิงตำหนิหรือชมเชยแต่อย่างใด เป็นอันว่าท่านรับให้อยู่ในสำนักด้วย ตกกลางคืนท่านคงพิจารณาเรื่องพระรูปนั้นอย่างละเอียดแน่นอน พอตอนเช้าเวลาพระมารวมกันที่บริเวณที่ฉัน ท่านก็ออกมาพอดี และเริ่มพูดเรื่องพระรูปนั้นออกมาทันทีว่า ท่าน…..นี้ตามเจตนาเดิมก็มุ่งมาเพื่อศึกษาอรรถธรรม มองดูอากัปกิริยาที่แสดงออกก็ไม่แสลงหูแสลงตา เป็นกิริยาที่น่าสงสาร แต่คืนนี้ทำไมท่านนี้แสดงกิริยาน่ากลัวพิลึก คือผมกำลังนั่งภาวนาอยู่ ปรากฏว่าท่าน…..เดินมาอยู่ตรงหน้าผม ห่างกันประมาณหนึ่งวาเศษ แล้วตั้งหมัดตั้งมวยออกท่านั้นท่านี้ให้ผมดูอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยถอยห่างออกไป จากนั้นก็เดินชกลมชกแล้งเตะเมฆเตะหมอก เตะซ้ายถีบขวาไปจนลับสายตา ท่านนี้เคยเป็นนักมวยมาหรืออย่างไรก่อนจะมาบวช ถึงได้แสดงลวดลายนักมวยให้ดูเป็นการใหญ่
ขณะนั้นพระที่อยู่กับท่านและพระที่เป็นนักมวย ต่างนั่งนิ่งเงียบด้วยความฉงนสนเท่ห์ เฉพาะรูปนั้นมองดูหน้าซีดเซียวไปหมด ว่าอย่างไรท่าน…… ท่านเป็นอย่างไรในความรู้สึกถึงได้มาทำอย่างนั้นให้ผมดู แต่ดีอยู่หน่อยที่ไม่มาต่อยเอาผมเข้า เช้าวันนั้นท่านพูดเพียงเท่านั้นก็ยุติเพราะได้เวลาออกบิณฑบาต หลังจากนั้นก็มิได้พูดอะไรต่อไปอีก ตกกลางคืนท่านอบรมพระเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป เรื่องก็ไม่มีอะไร พอตกกลางคืนท่านคงพิจารณาพระรูปนั้นอีก จึงได้เรื่องพระรูปนั้นมาพูดอีกในเช้าวันต่อมาว่า
ท่าน….นี้ท่านมาหาผมเพื่ออะไรแน่ คืนนี้ท่านก็มาตั้งหมัดตั้งมวยโดดโน้นเตะนี้ให้ผมดูเกือบตลอดคืน เรื่องท่านแสดงความผิดปกติของพระผู้มาด้วยเจตนาหวังดีมาได้สองคืนแล้ว ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ทั้งก่อนจะมาหาผมและขณะที่มาอยู่กับผมขณะนี้ นิมนต์ท่านเล่าความจริงให้ผมฟังด้วย ไม่เช่นนั้นผมเห็นจะรับท่านไว้ในสำนักไม่ได้ เพราะเป็นมาได้สองคืนแล้ว ที่ผมไม่เคยปรากฏลักษณะนี้มาก่อนเลย พระรูปนั้นนั่งตัวสั่นเทา ๆ มองดูหน้าซีดไปหมดเหมือนคนจะเป็นลมและจะล้มลงในขณะนั้น พอดีมีพระรูปหนึ่งท่านเห็นท่าไม่ดี เลยรีบกราบเรียนขอโอกาสท่านอาจารย์มั่นพูดกับเธอ ซึ่งกำลังจะสลบอยู่ในขณะนั้นว่า
นิมนต์ท่านกราบเรียนท่านอาจารย์โดยตรงตามเรื่องที่ท่านมีความรู้สึกอย่างไร เพราะเท่าที่ท่านอาจารย์ถามก็เพื่อทราบความจริงเท่านั้น มิได้มุ่งความเสียหายแก่ท่านแม้น้อยแต่อย่างไร เท่าที่พวกผมอยู่กับท่านมาก็ใช่อยู่กันด้วยความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสโดยไม่มีความผิดที่จะมิให้ท่านดุด่าว่ากล่าวอะไรได้ แต่อยู่ด้วยกันในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ซึ่งเหมือนพ่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน ย่อมมีการดุด่าว่ากล่าวกันตลอดมา ในเมื่อผู้ใดทำผิดหูผิดตาท่านในฐานะที่ท่านเป็นครูอาจารย์ผู้สอดส่องมองดูเพื่อความดีงามของบรรดาศิษย์ ก็จำต้องมีการสอบถามและว่ากล่าวสั่งสอนไปตามเหตุการณ์
พวกผมเคยถูกดุด่าว่ากล่าวจากท่านมาเป็นประจำยิ่งกว่าที่ท่านว่าให้ท่านเสียอีก ขนาดไล่หนีจากวัดในเดี๋ยวนั้นก็ยังมี แต่ก็ยังอยู่กับท่านมาได้จนทุกวันนี้ เมื่อรู้สึกโทษและยอมตนว่าผิดแล้ว ท่านเองก็ไม่เห็นขับไล่ไสส่งไปไหนอีก คงอยู่ด้วยกันมาดังที่ท่านเห็นอยู่ขณะนี้แล คำที่ท่านกำลังเตือนท่านอยู่ขณะนี้ขอนิมนต์พิจารณาด้วยดี ตามที่พวกผมฟังดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรพอจะกลัวท่านจนเลยขอบเขตแห่งความพอดี ถ้าท่านมีอะไรก็นิมนต์กราบเรียนท่านตามความจริง เมื่อไม่มีอะไรผิดหรือสุดวิสัยที่จะคิดค้นมาเล่าถวายได้ ก็กราบเรียนท่านโดยตรงว่าสุดวิสัยที่จะตามรู้ในเรื่องอดีตที่ล่วงมาแล้ว ท่านจะฆ่าก็ยอมตาย ท่านจะขายก็ยอมเป็นสินค้า ท่านจะขับไล่ไสส่งไปไหนก็สุดแต่กรรมของตัวจะพาให้เป็นไป ดังนี้แล้วเรื่องก็จะยุติลงได้
พอท่านองค์นั้นพูดจบลง ท่านอาจารย์ก็ถามเธอซ้ำอีกว่า ว่าอย่างไรเล่าท่าน? ผมเองก็มิได้คิดจะหาเรื่องหาราวอะไรใส่ท่านโดยไม่มีสาเหตุ แต่พอหลับตาลงไปก็เห็นแต่เรื่องท่านมาขวางหน้าอยู่แทบทั้งคืน จนเกิดความสลดสังเวชใจว่า พระทั้งองค์ทำไมมาเป็นได้อย่างนี้ และเป็นได้ทุกคืนที่ท่านมาอยู่กับผมที่นี่แล้ว ก็ต้องถามท่านผู้เป็นต้นเหตุว่า ท่านจะมีอะไรที่ไม่ดีไม่งามอยู่บ้างจึงมาแสดงเหตุอย่างนั้นไม่ยอมลดละ หรือว่าความรู้ผมซึ่งเคยเชื่อแน่ในใจตลอดมานั้นมันหลอกลวงผมและทำให้ท่านเสื่อมเสียไปด้วย จึงขอให้ท่านพูดตามความสัตย์จริงให้ผมฟัง ถ้าท่านยังบริสุทธิ์ดีอยู่ เป็นแต่ความรู้ผมมันพาให้เป็นบ้าไปเอง ก็เท่ากับผมก็เป็นพระบ้าองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ควรอยู่กับหมู่คณะต่อไป จะทำให้หมู่พวกล่มจมไปด้วย ต้องหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัวอยู่ตามแบบบ้าของตน และต้องระงับการอบรมสั่งสอนใคร ๆ ทันที ขืนสั่งสอนต่อไปโลกจะฉิบหายล่มจมไปเสียหมด เพราะความรู้บ้า ๆ ของผมเพียงคนเดียวเป็นสาเหตุ
ท่านที่เคยเตือน ๆ เธอซ้ำอีก เธอจึงเริ่มกราบเรียนเรื่องราวต่อท่านอาจารย์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแทบไม่เป็นเสียงผู้เสียงคนว่า ผมเป็นนักมวยเท่านี้ก็หยุดเอาอย่างห้วน ๆ ท่านถามย้ำอีกว่า ท่านเป็นนักมวยใช่ไหม เธอตอบว่าใช่เพียงคำเดียวเท่านั้น ท่านถามว่า ก็ท่านกำลังเป็นพระอยู่แล้วไปเป็นนักมวยได้อย่างไรกัน หรือเวลาท่านมาที่นี่ก็ชกมวยหาเงินมาตามทางด้วยอย่างนั้นหรือ? ท่านถามอะไรเธอเป็นเหมือนไม่มีสติรับทราบเรื่องผิดถูกดีชั่วอะไรเลย มีแต่ครับเอาเสียเรื่อย ท่านที่เคยพูดกับเธอจึงถามเป็นเชิงชักจูงให้เธอได้สติรับทราบบ้างว่า มิใช่ท่านเคยเป็นนักมวยแต่คราวเป็นฆราวาสโน้น เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอย่างนั้นอีกมิใช่หรือ? เธอตอบว่าใช่ เป็นนักมวยมาแต่คราวเป็นฆราวาส แต่เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอีก
ท่านอาจารย์มั่นเห็นอาการไม่ดี จึงหาอุบายว่าได้เวลาบิณฑบาต หลังจากนั้นท่านก็สั่งพระให้ไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ เพราะเธอพูดกับท่านอาจารย์ไม่ได้เรื่องเนื่องจากเธอกลัวท่านมาก หลังจากฉันเสร็จแล้วพระที่เคยพูดกับเธอจึงถือโอกาสไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ ก็ได้ความว่าเธอเคยเป็นนักมวยสวนกุหลาบผู้มีชื่อเสียงมาหลายปี เกิดความเบื่อหน่ายทางฆราวาสจึงออกบวชเป็นพระ มุ่งหน้ามาหาท่านอาจารย์ พอได้ทราบความชัดเจนจากเธอแล้ว ก็มากราบเรียนท่านอาจารย์ให้ทราบตามเรื่องที่เป็นมา ท่านก็มิได้ว่าอะไรต่อไป เรื่องของเธอก็เป็นอันผ่านไป
นึกว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องของเธอไปเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนกลางคืนท่านให้โอวาทเธอองค์นั้นบ้างแล้วก็คงจะไม่ปรารภอะไรอีก แต่ที่ไหนได้ ตอนกลางคืนท่านพิจารณาเรื่องของเธออีก ตอนเช้าก็ได้เรื่องเธอมาพูดในท่ามกลางหมู่คณะอีกตามเคยว่า เรื่องท่าน…..นี้ยังไม่มีแต่ความเคยเป็นนักมวยเท่านั้น แต่ยังมีอะไรแฝงอยู่อีก ขอให้ท่านไปพิจารณาให้ดีอีกที เพียงเคยเป็นนักมวยมาแต่ฆราวาสเท่านั้น เรื่องก็ควรยุติไปแล้วไม่ควรมาปรากฏซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีกทำนองนี้ พูดเพียงเท่านั้นก็หยุด พอได้โอกาสพระองค์ที่คุ้นเคยกับเธอก็ไปหาเธอและถามเรื่องราวนั้นอีก ก็ทราบว่าเธอมีรูปภาพคนชกมวยท่าต่าง ๆ ติดมาด้วย จึงให้เธอเอาออกมาดู ก็ได้เห็นภาพมวยท่าต่าง ๆ ราว ๑๐ กว่าแผ่น พระที่ไปดูก็ปักใจลงว่า ต้องเป็นภาพนี้แน่นอนที่ทำให้ท่านเดือดร้อนอยู่ไม่หยุด จงเอาไปทิ้งหรือเผาไฟเสีย เธอก็ปฏิบัติตามและพากันเอาภาพนั้นไปเผาไฟทิ้งจนหมด
จากนั้นก็มิได้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป ต่างอยู่ด้วยความสงบสุข เธอเองก็เป็นพระปฏิบัติดีมีมรรยาทที่น่าเลื่อมใส ท่านอาจารย์เองก็เมตตาเธอมากตลอดมา โดยมิได้พูดถึงเรื่องอดีตของเธออีกต่อไป จากนั้นเธอก็อยู่ด้วยความผาสุก เวลามีโอกาสพระก็ถามเป็นเชิงล้อเล่นกับเธอเกี่ยวกับเรื่องอดีต เธอพูดให้พระฟังถึงเรื่องท่านอาจารย์ดุเธอว่า เธอตายไปครึ่งหนึ่งแทบไม่มีความรู้สึกรับรู้เรื่องดีชั่วอะไรเลย จึงได้ตอบท่านไปแบบคนตายครึ่งมิใช่คนเต็มเต็ง ถ้าท่านไม่ช่วยเมตตาอนุเคราะห์แล้วคงจะเป็นบ้าไปเลย (คำว่าท่านหมายถึงพระองค์ที่ช่วยพูดแทน) ไม่มีวันกลับเป็นคนดีได้แน่ ๆ แต่ท่านอาจารย์เองท่านก็ฉลาดมาก พอเห็นเราจะเป็นบ้าและตายต่อหน้าท่าน ท่านก็รีบระงับเรื่องลงทันที แล้วพูดเรื่องอื่นมากลบเสีย ทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องนี้อยู่ในใจท่านเลย นี้คือภาพที่ปรากฏทางนิมิตภาวนาที่ท่านเคยใช้เป็นคู่เคียงกันตลอดมามิได้ลดละ เพราะเป็นธรรมจำเป็นไม่ด้อยกว่าปรจิตตวิชชา การกำหนดรู้วาระจิตของผู้อื่น
ท่านเล่าว่า ท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่มีประสบเหตุการณ์ทั้งภายในโดยเฉพาะ และเกี่ยวกับสิ่งภายนอกมากมายกว่าที่ทั้งหลายที่เคยผ่านมาในชีวิตแห่งนักบวช สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้เห็นขึ้นมาเป็นขึ้นมา ทั้งน่าตื่นเต้นอัศจรรย์ตลอดมา ยิ่งเวลาพักอยู่คนเดียวด้วยแล้วก็ยิ่งพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของลึกลับมากมาย แม้ตัวเองก็ไม่อาจจะประมาณได้ เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติรู้เห็นตามวิสัยของตนหากรู้เห็นอยู่ทำนองนั้น รู้เห็นในเวลาเข้าที่ก็มี เวลาธรรมดาก็มี จึงน่าแปลกประหลาดและอัศจรรย์ จิตดวงที่เคยโง่และมืดมิดปิดทวารมาแต่ก่อน ซึ่งไม่คาดฝันว่าจะสามารถรู้เห็นได้ดังที่รู้ ๆ เห็น ๆ อยู่กับเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องในปัจจุบัน ประหนึ่งสิ่งที่มาเกี่ยวข้องนั้น ๆ เพิ่งจะมีขึ้นในปัจจุบัน ทั้งที่เคยมีอยู่ดั้งเดิมแต่กาลไหนกาลไรมา
นอกจากเวลาจิตเข้าพักสงบเต็มที่ ล่วงเลยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องถึงเท่านั้น จึงไม่มีอะไรปรากฏในเวลานั้น จิตพักอยู่ด้วยธรรม ธรรมอยู่ด้วยจิต จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เป็นเอกภาพ คือธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน ไม่มีสองกับอะไร ไม่มีสมมุติใด ๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง กาลไม่มี สถานที่ไม่ปรากฏ ขันธ์ไม่มีในความรู้สึก สุขทุกข์ที่เป็นสมมุติไม่ปรากฏ ถ้าจิตไม่ถอนขึ้นมาจะอยู่ไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือกี่กัป กี่กัลป์ ก็ไม่ปรากฏสมมุติ มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นต้น เข้าไปรบกวน เพราะเป็นความดับสมมุติอย่างสนิท แม้สมมุติทั้งหลายมีขันธ์ที่กำลังครองตัวอยู่เป็นต้น  เกิดขโมยแตกสลายไป ในขณะที่จิตกำลังพักอยู่ในนิโรธธรรม คือความดับสมมุติทั้งหลายก็คงไม่มีทางทราบได้ จิตคงเป็นสภาพนั้นไปเลย
นี่เป็นเพียงพูดตามความเป็นของจิตในเวลาเข้าพักระงับดับสมมุติชั่วคราว คงไม่พักตลอดไปเป็นปี ๆ ดังที่ว่านั้น เช่นเดียวกับคนนอนหลับสนิทย่อมหมดการรับทราบในขันธ์ แม้จะหลับไปกี่วันก็คงเป็นทำนองคนนอนหลับอยู่นั่นเอง นอกจากเวลาตื่นนอนขึ้นมาแล้วถึงจะรับทราบความสุขทุกข์ไปตามหน้าที่ที่เคยรับ
แต่การเข้าพักสงบจิต จะเป็นพักสงบธรรมดาหรือพักในนิโรธสมาบัติ ก็เป็นสมมุติอยู่โดยดี เป็นแต่ผู้เข้าพักเป็นผู้พ้นจากสมมุติแล้วเท่านั้น กิริยาแห่งสมมุติทั้งปวงจึงไม่สามารถทำวิสุทธิจิตนั้นให้กำเริบเป็นอื่นได้ คงเป็นวิมุตติจิตอยู่ตามเดิมในฐานะเป็น อกาลิกจิต  คือจิตที่พ้นจากกาลสถานที่เป็นต้นไปแล้ว เป็นจิตที่หมดความคาดหมายด้นเดาใด ๆ ทั้งสิ้น จึงไม่ควรคาดหมายด้นเดาให้เสียเวลาและลำบากเปล่า   ขณะจิตที่พักตัวอยู่ในความสงบลบสมมุติทั้งมวลแล้ว ไม่รับธุระหน้าที่ใด ๆ ฉะนั้นสิ่งที่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องให้รู้เห็นจึงระงับดับสูญไปหมดเวลานั้น ต่อเมื่อถอนออกจากสมาธิสมาบัติออกมาอยู่ขั้นอุปจารสมาธิ หรือเป็นวิสุทธิจิตธรรมดาแล้ว ถ้ามีเหตุควรรู้ จิตควรรู้และรับทำธุระไปตามหน้าที่และกำลังของตนต่อไปตามกาลอันควร ท่านว่าจิตท่านเปิดเผยต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ ทั้งอยู่ในอุปจารสมาธิและอยู่ปกติธรรมดา ต่างกันเพียงลึกตื้นหยาบละเอียดหรือกว้างแคบเท่านั้น ถ้าต้องการความละเอียดและกว้างขวางต้องเข้าอุปจารสมาธิพิจารณา
เรื่องเกี่ยวกับตาพิเศษ หูพิเศษก็เช่นกัน ต้องเข้าอุปจารสมาธิสงบอารมณ์น้อย ๆ แล้วคอยรับทราบ จะทราบทางรูปคนเสียงคน หรือรูปสัตว์เสียงสัตว์ หรือมากไปกว่านั้น ตามแต่ความประสงค์จะทราบก็ทราบได้ เหมือนเห็นด้วยตาเนื้อ ฟังด้วยหูหนัง เรื่องทั้งนี้ท่านเคยเล่าให้ฟังเวลาท่านไปพักอยู่กับพวกชาวเขา ซึ่งไม่เคยเห็นพระสงฆ์เป็นส่วนมาก นอกจากผู้มีโอกาสได้ลงมาเมืองหรือหมู่บ้านที่มีพระสงฆ์ถึงจะมีโอกาสได้เห็นบ้าง
ขณะท่านไปถึงทีแรกสององค์ด้วยกัน ก็พากันพักอยู่ชายภูเขา ห่างจากหมู่บ้านชาวเขาราวสองกิโลเมตร พักอยู่ร่มไม้ธรรมดา ตอนเช้าพากันเข้าไปบิณฑบาต คนชาวเขาเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตก็ถามท่านว่า ตุ๊เจ้ามาธุระอะไร ท่านก็บอกว่ามาบิณฑบาต เขาถามว่ามาบิณฑบาตอย่างไร? เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ ท่านบอกว่าบิณฑบาตข้าว เขาถามว่าข้าวสุกหรือข้าวสาร ท่านบอกว่าข้าวสุก เขาก็บอกกันให้หาข้าวสุกมาใส่บาตรท่าน ได้แล้วก็กลับมาที่พัก และฉันแต่ข้าวเปล่า ๆ อยู่นาน
ขณะไปพักอยู่ที่นั้น ทีแรกชาวบ้านเขาไม่มีความเลื่อมใสและไว้วางใจท่านเลย ตกกลางคืนหัวหน้าบ้านตีเกราะนัดให้ชาวบ้านมาประชุมรวมกันและประกาศว่า ขณะนี้มีเสือเย็นสองตัว (หมายถึงท่านอาจารย์กับพระที่อยู่ด้วยกันสององค์) มาพักอยู่ในป่าแห่งนั้น จะเป็นเสือเย็นประเภทใดก็ยังทราบไม่ได้ พวกเราไม่ไว้ใจเสือเย็นสองตัวนั้น จึงห้ามไม่ให้เด็กและผู้หญิงเข้าไปในป่านั้น แม้ผู้ชายจะไปก็ควรมีพวกมีเพื่อนและมีเครื่องมือติดตัวไปด้วย ไม่ควรไปคนเดียวและไปแต่ตัวเปล่า ๆ เดี๋ยวเสือเย็นสองตัวนั้นเอาไปกินจะว่าไม่บอก
ขณะที่เขากำลังประชุมประกาศเรื่องเสือเย็นให้ชาวบ้านทราบ ก็เป็นเวลาที่ท่านอาจารย์กำลังเข้าที่ภาวนาอยู่พอดี เรื่องที่เขาประกาศให้ชาวบ้านทราบทั้งหมด จึงเป็นเหมือนประกาศให้ท่านซึ่งกำลังตกอยู่ในคำกล่าวหาว่าเป็นเสือเย็นทราบด้วยโดยตลอด ท่านเกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่งที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่า ตนจะเป็นพระประเภทเสือเย็นดังคำกล่าวหา ขณะนั้นแทนที่ท่านจะโกรธและเสียใจในคำกล่าวหาของเขา แต่กลับเกิดความเมตตาสงสารเขาอย่างบอกไม่ถูก กลัวเขาผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มีจำนวนมาก จะพลอยเชื่อตามคำเหลวไหลนั้น และพลอยเป็นบาปหาบกรรมไปตาม ๆ กัน เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้ว เขาจะไปเกิดเป็นเสือกันทั้งบ้าน
พอตื่นเช้าท่านก็รีบบอกกับพระที่อยู่ด้วยว่า คืนนี้พวกชาวบ้านเขาประชุมประกาศกันว่า เราทั้งสององค์เป็นเสือเย็นที่ปลอมแปลงตัวเป็นพระมาหลอกลวงอย่างแยบยลลึกลับ เพื่อให้เขาตายใจเชื่อถือ แล้วกลับทำลายชีวิตและทรัพย์สินเขาด้วยวิธีต่าง ๆ ฉะนั้นเขาจึงไม่เลื่อมใสและไว้ใจพวกเราทั้งสองเลยเวลานี้ หากว่าเราทั้งสองหนีไปจากที่นี่เสียในเวลาที่เขากำลังคิดไม่ดีอยู่ขณะนี้ เวลาเขาตายไปจะพากันไปเกิดเป็นสัตว์เป็นเสือกันทั้งบ้าน ซึ่งนับว่าเป็นกรรมเก่าเขาไม่เบาเลย เพื่อความอนุเคราะห์เขาซึ่งควรแก่สมณกิจที่พอทำได้ จึงควรอดทนอยู่ที่นี่ไปก่อน แม้จะทุกข์ลำบากก็พยายามอดทนไปจนกว่าเขาจะพากันกลับใจได้ แล้วจะไปที่ไหนค่อยไปกันดังนี้
นอกจากเขาไม่ไว้ใจและเลื่อมใสแล้ว พวกผู้ชายยังพากันมาคอยสังเกตการณ์ตามสถานที่ที่ท่านพักอยู่บ่อย ๆ ครั้งละ ๓-๔ คนโดยมีเครื่องมือติดตัวมาด้วย มายืนลอบ ๆ มอง ๆ อยู่แถวบริเวณใกล้ ๆ บ้าง มายืนอยู่ข้างทางจงกรมบ้าง มายืนอยู่ที่หัวจงกรมบ้าง มายืนอยู่กลางทางจงกรมบ้าง ในเวลาท่านกำลังเดินจงกรมทำความเพียรอยู่ ต่างคนต่างจ้องและสอดส่ายสายตามองมายังท่านและเหลือบมองไปรอบ ๆ บริเวณ เขาใช้เวลาสังเกตการณ์ด้วยความไม่ไว้ใจอยู่ทำนองนั้นนานประมาณครั้งละ ๑๐ นาทีบ้าง ๑๕ นาทีบ้างแทบทุกวัน และไม่พูดจาไต่ถามอะไรกับท่านในระยะเริ่มแรกแล้วก็พากันกลับไป วันหลังได้โอกาสก็พากันมาใหม่ เขาใช้เวลาสังเกตท่านอยู่นานวันพอสมควร
ส่วนอาหารปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นอยู่หลับนอนของพระเสือเย็นทั้งสองตัว จะขาดตกบกพร่องหรือจะเป็นจะตายอย่างไรบ้างนั้น เขามิได้พากันสนใจคิดและขวนขวายกันเลย ฉะนั้นการเป็นอยู่ของท่านทั้งสองที่เขาให้นามว่าเสือเย็นจึงลำบากอัตคัดมาก อาหารบิณฑบาตอย่างมากก็ได้ข้าวเปล่า ๆ มาฉัน บางวันรวมทั้งฉันน้ำด้วยก็อิ่มพอเบาะ ๆ บางวันรวมทั้งฉันน้ำก็ไม่พอ ที่อยู่หลับนอนก็อาศัยโคนไม้เป็นประจำทั้งแดดทั้งฝนก็ทนเอา เพราะที่นั้นไม่มีถ้ำหรือเงื้อมผาพอได้อาศัย ถ้าฝนตกชุกมาก ในบางวันตกทั้งวัน พอฝนเบาลงบ้างก็พยายามเที่ยวเก็บใบไม้แห้งหญ้าแห้งมาทำเป็นจากมุงพอบังแดดบังฝนไปพลาง พอประทังชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยความทุกข์ลำบากมากมาย
ขณะฝนตกก็เข้าหลบซ่อนอยู่ในกลดในมุ้งพอบรรเทาความหนาว เวลาลมพัดจากภูเขามาอย่างแรงฝนก็สาด กลดก็จะปลิวหลุดมือ องค์ท่านและบริขารก็เปียกตัวสั่นเหมือนลูกนกลูกกา ถ้าเป็นตอนกลางวันก็พอทำเนา มองเห็นที่ไป ที่หลบซ่อนและที่เก็บบริขารต่าง ๆ บ้าง แต่ฝนตกเอาตอนกลางคืนรู้สึกลำบากมาก ตาก็มองไม่เห็นอะไรทั้งฝนกระหน่ำลง ลมกระหน่ำมาประดังกัน กิ่งไม้ที่ถูกลมพัดอย่างแรงต่างก็ขาดตกลงข้างหน้าข้างหลังตูมตาม ๆ ไม่แน่ใจว่าชีวิตจะต้านทานฝน ต้านทานลม ต้านทานความเหน็บหนาวหรือจะต้านทานกิ่งไม้น้อยใหญ่ที่หักตกลงและโหมกันมาจากทิศต่าง ๆ ในขณะนั้น
เมื่อชีวิตยังอยู่ก็ทนกันไป ร้อนก็ทนไป หนาวก็ทนไป หิวก็ทนไป กระหายก็ทนไป อดบ้างอิ่มบ้างก็ทนไป จนกว่าจะหมดกลิ่นแห่งความระแวงสงสัยของชาวบ้านที่หวาดระแวงต่อท่าน ว่าเป็นเสือเย็นคอยหลอกลวงกินเนื้อกินหนังเขา การขบฉันแม้เพียงข้าวเปล่า ๆ ก็อดมื้ออิ่มมื้อ สิ่งอื่นนั้นไม่จำต้องพูดถึงว่าเขาจะมีความสนใจไยดีให้ท่าน ที่พักที่อยู่ก็แบบคนอนาถาหาที่เกาะที่พึ่งไม่ได้เราดี ๆ นี่เอง น้ำก็หิ้วกาน้ำลงไปในคลองซึ่งอยู่ตีนเขา กรองให้เต็มกาแล้วก็หิ้วขึ้นมาฉันมาใช้ หลังจากสรงเสร็จแล้ว แต่ทำความเพียรสะดวกดีมาก หมดกังวลทุกด้านไม่มีอะไรเกาะเกี่ยว
ตอนกลางคืนยามดึกสงัดทำภาวนาฟังเสียงเสือกระหึ่มไปมาทีละหลาย ๆ ตัว ใกล้ ๆ บริเวณที่ท่านพักใต้ร่มไม้ แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งที่เสือไม่เข้ามาหาท่านเลย ล้วนเป็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนทั้งนั้น ท่านว่าท่านเพลิดเพลินไปกับเสียงสัตว์ชนิดต่าง ๆ แต่บางทีเสือก็เข้ามาหาท่านและลูกศิษย์ท่านเหมือนกัน เขาคงสงสัยว่าเป็นสัตว์ซึ่งควรจะเป็นอาหารได้บ้าง แล้วแอบเข้ามาดู พอคนกระดุกกระดิกลุกขึ้นเขาร้องโก้กพร้อมกับกระโดดเข้าป่าไป วันหลังไม่เห็นเขามาหาอีกเลย
พอตกบ่าย ๆ ก็มีชาวบ้านราว ๓-๔ คนออกมาสังเกตการณ์แทบทุกวัน แต่เขาไม่พูดจาอะไรกับท่าน ท่านก็มิได้สนใจกับเขา เฉพาะพวกเขาเองบางครั้งมีการพูดกระซิบกระซาบกัน ขณะที่พวกเขามาที่นั่นท่านกำหนดจิตดูจิตใจเขาที่คิดปรุงอยู่ทุกขณะและทุกเวลาที่เขามา ส่วนพวกเขาเองก็คงไม่สนใจคิดว่า ท่านจะรู้เรื่องความคิดปรุงทางใจตลอดคำพูดเขาที่ระบายออกจากใจผู้บงการอะไรเลย คงเข้าใจว่าตนมีความลับที่ไม่มีใครสามารถสอดรู้อยู่ภายใน จึงสนุกคิดเรื่องต่าง ๆ อย่างเพลินใจ ซึ่งโดยมากก็เป็นความคิดคอยจับผิดท่านอยู่ภายใน ท่านกำหนดดูใจของใครที่มาด้วยกันกี่คน ก็มีความรู้สึกนึกคิดที่คอยจับผิดอยู่ภายในเช่นเดียวกันหมด สมกับเขาประกาศสั่งพวกเขาให้มาสังเกตการณ์จริง ๆ
ท่านเองแทนที่จะคิดระวังตัวกลัวเขาจะจับผิด แต่กลับคิดสงสารเขาเป็นกำลัง ว่าคนในบ้านนั้นมีไม่กี่คนที่เป็นผู้ชักนำชาวบ้านซึ่งมีหลายคนให้เห็นผิดไปด้วย ท่านพักอยู่ที่นั้นเป็นเดือน ๆ ยังไม่เห็นเขาลดละความพยายามคอยจับพิรุธความผิดพลาดท่าน พวกใดมาหาล้วนมีความจ้องมองหาแต่ความผิดกับท่านเช่นเดียวกัน ท่านว่าเขาช่างพยายามเอาเสียจริง ๆ แต่ยังดีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาไม่พร้อมใจกันมาขับไล่ท่านให้หนีจากที่นั้น เป็นเพียงจัดวาระกันมาควบคุมโดยทางลับเท่านั้น เมื่อท่านอยู่นานไป ทั้งพวกเขาก็มาสังเกตดูอยู่หลายครั้ง เฉพาะพวกหนึ่ง ๆ ยังไม่อาจจับความเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดท่านได้ เขาคงแปลกใจอยู่มาก
ในเวลาต่อมาคืนวันหนึ่งท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ ได้ยินหรือทราบขึ้นภายในใจว่า หัวหน้าบ้านประชุมสอบถามผลของการสังเกตการณ์ว่าได้ผลคืบหน้าไปเพียงใดบ้าง ชาวบ้านบรรดาที่มาสังเกตให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีผลอะไรตามความคิดเห็นของพวกเราที่คิดกัน ไปทำอย่างนั้นดีไม่ดี น่ากลัวจะเป็นโทษมากกว่าผลที่คาดกัน ผู้สงสัยซักขึ้น ทำไมว่าอย่างนั้น เขาตอบกันว่า ก็เท่าที่สังเกตดูแล้ว ตุ๊เจ้าสองตนนั้น (ตุ๊เจ้าหมายถึงพระ) ไม่เห็นมีกิริยาท่าทางใด ๆ ที่เป็นไปดังที่พวกเราคาดกัน ไปสังเกตดูทีไรก็เห็นแต่ท่านนั่งหลับตานิ่งอยู่บ้าง ท่านเดินกลับไปกลับมาในท่าสำรวม ไม่มองโน้นมองนี้อย่างคนทั่ว ๆ ไปบ้าง
คนที่จะเป็นเสือเย็นตั้งท่าคอยฉีกสัตว์กัดคนคงไม่ทำอย่างนั้น ต้องมีอาการแสดงออกให้พอจับได้บ้าง แต่ตุ๊เจ้าสองตนนี้ไม่มีกิริยาเช่นนั้นแฝงอยู่บ้างเลย ถ้าขืนไปทำอย่างที่พากันทำอยู่ทุกวันนี้ จึงน่ากลัวเป็นบาป ทางที่ถูกควรไปศึกษาไต่ถามท่านดูให้รู้เหตุผลต้นปลายก่อน อยู่ ๆ ก็ไปเหมาว่าท่านไม่ดีเอาเลยตามความคิดเห็นเฉย ๆ อย่างนี้น่ากลัวเป็นบาป บรรดาพวกที่ไปสังเกตท่านมาแล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านเป็นตุ๊เจ้าดียากจะหาได้ พวกเราก็เคยเห็นตุ๊เจ้ามาบ้างพอจะรู้ของดีของไม่ดี บางรายก็ว่า เคารพเลื่อมใสท่านมากกว่าจะคิดแส่หาโทษท่าน ถ้าอยากทราบรายละเอียดก็ควรไปศึกษาไต่ถามท่านดูบ้างว่า การนั่งหลับตานิ่ง ๆ ก็ดี การเดินกลับไปกลับมาก็ดี ท่านนั่งเพื่ออะไร และท่านเดินหาอะไร
ท่านว่าสุดท้ายแห่งการประชุมของชาวป่าได้ความว่า ให้คนไปไต่ถามท่านดูตามที่ตกลงกัน ตื่นเช้ามาท่านก็พูดกับพระที่อยู่ด้วยว่า เขาเริ่มกลับใจมาทางดีแล้ว คืนนี้เขาประชุมกันเกี่ยวกับการมาสังเกตดูพวกเรา ตกลงกันว่าจะจัดให้คนมาไต่ถามข้อข้องใจกับพวกเรา พอวันหลังตอนบ่าย ๆ เขาพากันมาจริง ๆ ดังที่รู้ไว้ ในจำนวนที่มามีคนหนึ่งถามขึ้นว่า ตุ๊เจ้านั่งหลับตานิ่ง ๆ และเดินกลับไปกลับมานั้น ตุ๊เจ้านั่งและเดินหาอะไร ท่านตอบเขาว่า พุทโธเราหาย เรานั่งและเดินหาพุทโธ เขาถามท่านว่า พุทโธเป็นตัวอย่างไร พวกเราจะช่วยตุ๊เจ้าหาได้ไหม? ท่านตอบว่า พุทโธเป็นดวงแก้วอันประเสริฐเลิศโลกในไตรภพ เป็นดวงฉลาดรอบรู้ทั่วไตรโลกธาตุ ถ้าสูจะช่วยเราหาก็ยิ่งดีมาก จะได้เห็นพุทโธเร็ว ๆ ง่าย ๆ ด้วย (สูเป็นคำที่ชาวเขานับถือกันว่าดีมากสนิทกันมาก) เขาถามว่า พุทโธตุ๊เจ้าหายมานานแล้วหรือ ท่านตอบว่า ไม่นาน ถ้าสูช่วยหาให้ยิ่งจะพบเร็วกว่าเราหาเพียงคนเดียว
เขาถามว่า พุทโธเป็นดวงแก้วใหญ่ไหม? ท่านตอบว่า ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอดีกับเราและกับพวกสูดี ๆ นี่เอง ใครหาพุทโธพบคนนั้นประเสริฐ มองเห็นอะไรได้ตามใจหวัง เขาถาม มองเห็นนรกสวรรค์ได้ไหมตุ๊เจ้า? ท่านตอบว่ามองเห็นซิ ไม่เห็นจะว่าประเสริฐได้อย่างไร  ลูกเมียผัวตายมองเห็นได้ไหมตุ๊เจ้า? ท่านตอบว่าเห็นหมด ถ้าต้องการอยากเห็นเมื่อได้พุทโธแล้ว เขาถาม สว่างมากไหม? ท่าน สว่างมากยิ่งกว่าพระอาทิตย์ตั้งร้อยดวงพันดวง เพราะพระอาทิตย์ไม่สามารถส่องเห็นนรกสวรรค์ได้ แต่ดวงพุทโธสามารถส่องเห็นหมด เขาถาม ผู้หญิงช่วยหาได้ไหม? เด็ก ๆ ช่วยหาได้ไหม? ท่าน ได้ทั้งนั้น ไม่นิยมว่าหญิงว่าชาย  ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใครหาก็ได้ทั้งนั้น เขาถามท่านว่า พุทโธนั้นประเสริฐในทางใดบ้าง กันผีได้ไหม? ท่านตอบว่า พุทโธประเสริฐ และใช้ได้หลายทางจนนับไม่ถ้วน ในโลกทั้งสาม คือกามโลก รูปโลก อรูปโลก โลกทั้งสามต้องยอมกราบพุทโธทั้งนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าพุทโธ ผีก็กลัวพุทโธมาก ต้องกราบพุทโธ ใครหาพุทโธแม้ยังไม่พบ ผีเริ่มกลัวผู้นั้นแล้ว
เขาถามท่าน พุทโธเป็นแก้วสีอะไรตุ๊เจ้า ท่านตอบพุทโธเป็นแก้วดวงสว่างไสวและมีหลายสีจนนับไม่ได้ พุทโธนี้เป็นสมบัติอันวิเศษของพระพุทธเจ้า พุทโธนั้นเป็นองค์แห่งความรู้ความสว่างไสวไม่เป็นวัตถุ พระพุทธเจ้าท่านมอบให้พวกเราไว้หลายปีแล้ว แต่เราเองยังหาพุทโธที่ท่านมอบให้ยังไม่เจอ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ตรงไหน แต่จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญนัก ที่สำคัญก็คือถ้าสูจะพากันช่วยเราหาพุทโธจริง ๆ ให้พากันนั่งหรือเดินนึกในใจว่าพุทโธ ๆ อยู่ภายในโดยเฉพาะ ไม่ให้จิตส่งออกไปนอกกาย ให้รู้อยู่กับคำว่าพุทโธ ๆ เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้พวกสูอาจเจอพุทโธก่อนเราก็ได้ เขาถามท่านว่าการนั่งหรือเดินหาพุทโธจะให้นั่งหรือเดินนานเท่าไรถึงจะพบพุทโธแล้วหยุดได้ ท่านตอบ ให้นั่งหรือเดินเพียง ๑๕ หรือ ๒๐ นาทีก่อนสำหรับผู้ตามหาพุทโธทีแรก พุทโธท่านยังไม่อยากให้พวกเราตามหาท่านนานนัก กลัวจะเหนื่อยแล้วตามพุทโธไม่ทัน เดี๋ยวจะขี้เกียจเสียก่อน ทีหลังจะไม่อยากตามหาท่านแล้วเลยจะไม่พบท่าน เอาเพียงเท่านี้ก่อน ถ้าอธิบายมากกว่านี้จะจำวิธีไม่ได้แล้วตามหาพุทโธไม่พบ
เสร็จแล้วเขาพากันกลับบ้าน การลาท่านสำหรับเขาแล้วไม่ต้องพูดถึงเพราะเขาไม่เคยลาใคร ว่าจะไปเขาลุกขึ้นแล้วก็ไปทันทีทันใด ไม่สนใจคำลาใครทั้งนั้น พอไปถึงบ้านแล้ว ชาวบ้านต่างมารุมถามเป็นการใหญ่ เขาอธิบายให้ฟังตามที่ท่านสั่งสอนเขาแต่โดยย่อไว้ก่อนนั้น  นอกจากนั้น เขายังอธิบายเรื่องท่านพระอาจารย์ให้ชาวบ้านฟังว่า ที่สงสัยการนั่งหลับตานิ่ง ๆ และการเดินกลับไปกลับมานั้น ท่านนั่งและเดินหาพุทโธดวงเลิศต่างหาก มิได้นั่งและเดินแบบเสือเย็นดังที่พวกเราเข้าใจกัน พอชาวบ้านทราบวิธีตามที่พวกมาถามท่านนำไปเล่าให้ฟังแล้ว ต่างคนต่างสนใจฝึกหัดนึกพุทโธภายในใจโดยทั่วกัน  นับแต่หัวหน้าบ้านลงมาถึงผู้หญิงและเด็ก ๆ ที่พอรู้วิธีนึก พุทโธได้
เป็นที่อัศจรรย์ไม่คาดฝันว่า จะมีผู้รู้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้าภายในใจอย่างประจักษ์โดยไม่เนิ่นนานนัก คือผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตามหาพุทโธ แล้วประสบธรรม คือความสงบสุขทางใจจากการนึกบริกรรมพุทโธตามวิธีที่ท่านบอกเขา ท่านเล่าว่าก่อนหน้า ๓-๔ วันที่เขาจะประสบผลจากพุทโธ เขานอนหลับฝันถึงท่านพระอาจารย์มั่นว่า ท่านเอาเทียนใหญ่ที่จุดไฟอย่างสว่างไสวแล้วไปติดไว้บนศีรษะเขา พอท่านติดเทียนเสร็จแล้วนับแต่ศีรษะลงมาถึงตัวเขาปรากฏว่าสว่างไสวไปโดยตลอด เขาดีใจมากว่าตนได้ของดีมีความสว่างไสวแผ่ออกไปนอกกายตั้งหลาย ๆ วา พอจิตเขาเป็นขึ้นมาก็รีบมาหาท่านพระอาจารย์ และเล่าเรื่องความเป็นและความฝันให้ท่านฟังอย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นท่านก็ได้อธิบายเพิ่มเติมให้เขาไปทำต่อ ปรากฏว่าได้ผลอย่างรวดเร็วและยังสามารถรู้ใจของผู้อื่นได้อีกด้วย ว่าใจของใครยังมีเศร้าหมองและผ่องใสเพียงใด เขาพูดกับท่านอย่างไม่มีการสะทกสะท้านเลย ซึ่งตรงกับจริตคนป่าที่มีนิสัยพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
ในเวลาต่อมาเขาออกมาเล่าธรรมให้ท่านฟังว่า เขาได้พิจารณารู้เห็นจิตท่านอาจารย์และพระที่อยู่กับท่านได้อย่างชัดเจน ท่านเองก็ถามเขาบ้างเป็นเชิงเล่น ๆ ว่าจิตของท่านเป็นอย่างไร มีบาปมากไหม? เขาตอบท่านทันทีเลยว่า จิตของตุ๊เจ้าไม่มีจุดมีดวงเหลืออยู่แล้ว มีแต่ความสว่างไสวอันเป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่งอยู่ภายในเท่านั้น ตุ๊เจ้าเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลกไม่มีใครเสมอเหมือน เฮาไม่เคยเห็น (คำว่าเฮาเทียบกับคำว่าผม) ตุ๊เจ้ามาพักอยู่ที่นี่ตั้งนานร่วมปีแล้ว ทำไมไม่สอนเฮาบ้างก๊าแต่แรกมาอยู่ (ก๊า เท่ากับ เล่าหรือ ไหมก็ได้ แปลได้หลายนัยมากพอดู มีติดท้ายประโยคได้ทั้งคำถาม คำตอบ)
ท่านตอบ จะให้เราสอนอย่างไร ก็ไม่เคยเห็นพวกสูมาศึกษาไต่ถามเรานี่นา เขาตอบท่านว่า ก็เฮาบ่ฮู้ก๊า (บ่เท่ากับไม่) ว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้วิเศษ ถ้าฮู้จะทนอยู่ได้อย่างไร ต้องมาแน่ ๆ ทีนี้พวกเฮาฮู้แล้วก๊าว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้ฉลาดมาก เวลาพวกเฮามาถามว่าตุ๊เจ้านั่งหลับตานิ่ง ๆ และเดินกลับไปกลับมานั้น ทำทำไม หรือหาอะไร ตุ๊เจ้าก็บอกพวกเฮาว่าพุทโธหาย ให้พวกเฮาช่วยหา เมื่อถามถึงพุทโธเป็นลักษณะอย่างไร ก็บอกไปว่าเป็นแก้วดวงสว่างไสว ความจริงจิตตุ๊เจ้าเป็นพุทโธอยู่แล้ว มิได้สูญหายไปไหน แต่เป็นอุบายฉลาดของตุ๊เจ้าที่เมตตาสงสารพวกเฮาให้ภาวนาพุทโธ เพื่อให้จิตพวกเฮาสว่างไสวเหมือนจิตตุ๊เจ้าต่างหาก เฮาฮู้แล้วว่าตุ๊เจ้าเป็นผู้ประเสริฐและเฉลียวฉลาด ปรารถนาให้พวกเฮาได้บุญ มีความสุข และพบพุทโธดวงประเสริฐที่ใจตัวเอง มิใช่หาพุทโธให้ตุ๊เจ้า
นับแต่เขาคนนั้นได้เห็นธรรมภายในใจเพียงคนเดียวเท่านั้น เรื่องก็กระจายไปทั่วบ้านในไม่ช้า คนในบ้านต่างก็เกิดความสนใจและพากันภาวนาพุทโธไปตาม ๆ กัน ตลอดเด็กเล็ก ๆ และเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสท่านพระอาจารย์มั่นมาก เรื่องเสือเย็นเลยหายซากไป ไม่มีใครกล่าวถึงเลย นับแต่นั้นมาเวลาท่านกลับจากบิณฑบาต คนที่ภาวนาเป็นนั้นต้องตามส่งบาตรและศึกษาธรรมกับท่านทุกวัน ถ้าวันไหนเขามีธุระไม่ได้ตามส่งบาตรท่านก็สั่งกับคนไว้ ในหมู่บ้านนั้นทราบว่ามีคนภาวนาเป็นอยู่หลายคนมีทั้งชายและหญิง ที่เก่งกว่าเพื่อนนั้นก็คือเขาคนเป็นก่อนนั่นเอง
คนเราเมื่อความพอใจมีแล้ว สิ่งอื่น ๆ ก็ค่อยเป็นไปเอง เช่นคนพวกนี้แต่ก่อนเขาไม่เคยสนใจกับท่านเลยว่าท่านได้อยู่ได้นอนได้ขบฉันอย่างไรบ้าง แม้จะเป็นหรือจะตายเขาไม่สนใจทั้งนั้น พอเขาเกิดความเชื่อถือและเลื่อมใสแล้ว ทุกสิ่งที่เคยขาดแคลนก็กลับกลายเป็นความสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นลำดับ ทางจงกรม กุฏิที่พัก ที่ฉัน เขาพร้อมกันมาทำถวายท่านเองจนเรียบไปหมดโดยมิได้บอกกล่าวเลย มิหนำเขายังมาตำหนิท่านเป็นเชิงชมเชยอยู่อย่างลึกลับด้วยว่า ทางจงกรมอย่างนั้นตุ๊เจ้าก็เดินได้ ดูแล้วมีแต่ต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์เต็มไปหมด ตุ๊เจ้ามิใช่หมูพอจะเดินบุกป่าฝ่าดงไปอย่างนั้น แต่ทำไมยังอุตส่าห์เดินบุกไปได้ เมื่อเฮาถามว่า นี่ทางอะไร ก็บอกว่าทางเดินหาพุทโธ พุทโธเราหาย เมื่อเฮาถามว่า นั่งหลับตาอยู่นิ่ง ๆ นั้น นั่งทำไม ก็บอกว่านั่งหาธรรมบ้าง นั่งหาพุทโธบ้าง พูดอย่างนั้นก็ได้
ตุ๊เจ้านี้แปลกกว่าคนทั้งหลาย ตุ๊เจ้าวิเศษเลิศโลกเท่าไรก็มิได้บอกว่าวิเศษ ตุ๊เจ้าคนนี้แปลกมาก เฮาชอบนิสัยตุ๊เจ้าตนนี้มาก ที่หลับที่นอนก็มีแต่ใบไม้ปูเต็มพื้นดินจนจะเหม็นเน่าอยู่แล้ว ท่านทนนอนมาตั้งหลายเดือนทำไมทนได้ เฮาดูที่นอนตุ๊เจ้าแล้วเหมือนที่นอนหมู เห็นแล้วเฮาสงสารตุ๊เจ้ามากจนเกือบร้องไห้ พวกเฮาเองก็โง่จริง ๆ โง่กันทั้งบ้าน ไม่รู้จักของดี มิหนำบางคนยังหาว่าตุ๊เจ้ามาอยู่เพื่อหลอกลวงชาวบ้านแล้วเขาก็พากันรังเกียจระแวง แต่เวลานี้พวกเขาพากันเชื่อถือและเลื่อมใสตุ๊เจ้ากันทั้งบ้านแล้ว เพราะเขาทราบเรื่องของตุ๊เจ้าจากเฮาก๊า ดังนี้
ท่านว่าคนพวกนี้ถ้าลงเขาได้เชื่อและเคารพนับถือแล้ว ต้องนับถือแบบถึงใจจริง ๆ และถึงไหนถึงกัน เป็นก็เป็นด้วยกันตายก็ตายด้วยกัน แม้ชีวิตก็ยอมสละได้ เราพูดอะไรเขาเชื่อฟังและเคารพนับถือมาก การบริกรรมภาวนาหาพุทโธของเขา ท่านก็สอนให้เขยิบเวลาขึ้นไปตามความเคยชินและผู้ชำนาญเป็นลำดับ ปีนั้นท่านต้องจำพรรษากับพวกเขารวมแล้วเป็นเวลาปีกว่า ท่านไปอยู่กับพวกเขา ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายนปีหลังจึงได้จากเขาไป ก่อนจะจากเขาไปได้ก็นับว่าทุลักทุเลด้วยความสงสารเขาเอาการอยู่ เนื่องจากเขาไม่ยอมให้ท่านหนีไปไหนเอาเลย เขาบอกท่านว่าแม้ท่านตายลงไปในที่นั้น เขาทั้งบ้านจะรับรองเผาศพท่าน แม้เขาเองก็มอบชีวิตไว้กับท่านด้วย เพราะความรักและเคารพเลื่อมใสท่านมาก ผลดีก็เห็นประจักษ์ตาประจักษ์ใจ
น่าชมเชยเขาที่มีความฉลาดระลึกในความผิดได้ พอเห็นพระที่ปฏิบัติดีน่าเลื่อมใสจริง ๆ แล้วก็กลับมาเห็นโทษความผิดของตนที่คิดไม่ดีแต่ก่อน แล้วพร้อมกันมาขอขมาโทษท่านให้อโหสิกรรมให้ ก่อนจากพวกเขาท่านได้พูดกับพระที่อยู่ด้วยว่า ที่นี่เขาหมดโทษแล้ว เราจะไปที่ไหนก็ได้ไม่ขัดข้องแล้ว แต่สำคัญตอนลาเขาออกจากที่นั้น ท่านว่าน่าสงสารสังเวชกับความรักความนับถือความเคารพเลื่อมใสและคำวิงวอนเขาจนบอกไม่ถูก พอพวกเขาทราบว่าท่านจะจากเขาไปเท่านั้น เขาพากันออกมาทั้งบ้านมาร้องไห้วิงวอนกันอย่างชุลมุนวุ่นวายไปทั้งป่า เหมือนคนร้องไห้คิดถึงคนตายนั่นเอง ท่านก็พยายามแสดงเหตุผลที่จำต้องจากเขาไป และปลอบโยนพวกเขาไม่ให้เสียใจจนเลยขอบเขตแห่งธรรม คือความพอดี จนเขาเป็นที่ลงใจแล้วก็ออกจากที่พักอันแสนสำราญนั้น
สิ่งที่ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นอีก คือทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างคนต่างวิ่งออกไปรุมล้อมท่านและเข้าแย่งเอาบริขาร กลด บาตร กาน้ำ กับผู้ตามส่งท่าน และฉุดชายสบงจีวรกอดแข้งกอดขาท่านดึงกลับมาที่พักอีกเหมือนเด็ก ๆ โดยไม่ยอมให้ท่านไป ท่านต้องกลับมาแสดงเหตุผลและปลอบโยนใจให้สงบเย็นอีกพักหนึ่งแล้วค่อยพากันปล่อยให้ท่านไป พอท่านก้าวออกจากที่พักเดินไปได้ประมาณ ๔-๕ วาเท่านั้น ต่างก็ร้องไห้แล้วพากันตามฉุดเอาท่านกลับมาอีก ทำเอาท่านเสียเวลาไปหลายชั่วโมง ฟังเสียงร้องไห้ระเบ็งเซ็งแซ่ฉุกละหุกวุ่นวายไปทั่วทั้งป่า ซึ่งเป็นที่น่าสมเพชเวทนาเอานักหนา
คำว่า เสือเย็นที่เกิดขึ้นในตอนแรก ๆ จึงหมดความหมายไปทั้งสองฝ่าย ที่ยังเหลืออยู่จึงมีแต่ความเคารพเลื่อมใสความอาลัยอาวรณ์ในท่านผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่งที่สุดจะอดกลั้นไว้ได้ ขณะที่ท่านจากไปจึงมีแต่เสียงร้องไห้ระทมทุกข์ของพวกชาวเขาที่พิไรรำพัน ทั้งเสียงร้องไห้และสั่งเสียว่า เมื่อตุ๊เจ้าไปแล้วให้รีบกลับคืนมาหาพวกเฮาอีก อย่าอยู่นาน พวกเฮาคิดถึงตุ๊เจ้าแทบอกจะแตกตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้วก๊าจนไม่ทราบว่าเป็นเสียงเด็กหรือเสียงผู้ใหญ่ ที่ต่างคนต่างร้องไห้ไว้ทุกข์ในคราวท่านจากไปเวลานั้น
นับว่าท่านไปอยู่ในท่ามกลางแห่งความระแวงสงสัยไม่พอใจของเขาในครั้งแรก แต่จากไปในท่ามกลางแห่งความอาลัยเสียดายของเขาในภายหลัง จึงนับว่าท่านเที่ยวชะล้างสิ่งสกปรกรกรุงรัง ให้กลายเป็นของสะอาดปราศจากมลทินควรแก่ความเป็นของมีคุณค่าขึ้นได้ สมกับท่านบวชมาเป็นลูกศิษย์ของพระตถาคต ผู้ไม่ถือโกรธถือโทษกับผู้ใดจริง ๆ ใครรังเกียจท่านก็พยายามอนุเคราะห์ด้วยความเมตตาสงสาร ไม่ยึดเอาความผิดพลาดของเขามาเป็นอารมณ์เครื่องขุ่นข้องหมองใจให้เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น มีใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตา อันเป็นที่เจริญศรัทธาของโลกผู้ร้อนด้วยกิเลสตัณหาวิ่งเข้ามาอาศัย ให้ได้รับความไว้วางใจและเย็นฉ่ำทั่วหน้ากัน นับว่าเป็นผู้อัศจรรย์ด้วยคุณธรรมอันหาที่เปรียบได้ยาก
ขณะนั่งฟังท่านเล่า ผู้ฟังเกิดความสังเวชสลดใจอดวาดภาพไปตามไม่ได้ ปรากฏในมโนภาพขณะนั้น เหมือนดูภาพยนตร์ที่แสดงเรื่องชุลมุนวุ่นวายของชาวบ้านป่าที่มีศรัทธาแรงกล้า สละเลือดเนื้อชีวิตดวงใจต่อท่านผู้วิเศษด้วยคุณธรรม ขอให้ท่านประพรมโสรจสรงด้วยพรหมวิหาร ประทานเมตตาแก่พวกเขาให้มีชีวิตชีวาเจริญวาสนาสืบต่อไป ด้วยการวิงวอนและร้องไห้วิ่งกอดแข้งกอดขา ฉุดผ้าสังฆาฏิสบงจีวรบาตรบริขารท่านกลับมาสู่บรรณศาลาหลังเล็ก ๆ ของฤๅษีที่มุงด้วยเปลือกไม้ใบหญ้าอันแสนสำราญ ซึ่งเป็นที่น่าสงสารอย่างประทับใจ แต่เป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลก อนิจฺจํ  จำมาต้องจำจาก เพราะการพลัดพรากแปรผันเป็นสายทางเดินแห่งคติธรรมดา ไม่มีท่านผู้ใดสามารถปิดกั้นหรือทำลายได้ ดังนั้นท่านพระอาจารย์มั่น แม้จะทราบอัธยาศัยของชาวศรัทธาที่เกี่ยวพันหนักแน่นกับท่านอยู่อย่างเต็มใจก็จำต้องจากไป ในเมื่อกาลมาถึงแล้ว
เป็นที่ทราบกันว่า ท่านพระอาจารย์มั่นที่ชาวบ้านในเขาเคยให้นามท่านว่า เป็นเสือเย็นแต่ท่านเป็นวิสุทธิบุคคลอยู่ในข่ายแห่ง ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส ของโลก ท่านได้จากชาวเขาไปเพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกต่อไปตามอัธยาศัยไม่มีประมาณ เรื่องทั้งนี้นับว่าเป็นคติแก่อนุชนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งเวลานี้พุทธศาสนิกชนผู้รักความสงบ กำลังวิตกห่วงใยทั้งตนและพุทธศาสนาอันเป็นสมบัติล้นค่า และเป็นคู่เคียงแห่งชีวิตจิตใจตลอดมา ที่อาจถูกเพ่งเล็งกล่าวหาอย่างลึกลับว่าเป็น เสือเย็นทำนองที่ท่านพระอาจารย์มั่นถูกมา แล้วกำจัดทำลายอย่างเปิดเผยก็ได้ จากฝ่ายใดก็ตามที่มีความรู้ความเห็นเป็นปรปักษ์ต่อหลักพระศาสนาและคตินิสัยของพุทธศาสนิกชน ซึ่งเวลานี้ก็เริ่มไหวตัวบ้างพอให้รู้สึกว่าไม่ควรนอนใจ ถ้านอนหลับทับสิทธิ์จนเกินไปอาจเสียใจในภายหลัง
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านดำเนินตามแบบสุคโต ไปอยู่ในป่าในเขาก็เป็นประโยชน์แก่ชาวป่าชาวเขา เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม ภูตผี นาค ครุฑ ไม่ว่างงาน ท่านมีเมตตาสงสารอนุเคราะห์โลกอยู่ตลอดเวลา ออกมาเมืองมนุษย์มนาก็โปรดมนุษย์มนา พระ เณร ชี คหบดีทวยข้าประชาชนคนทุกชั้นไม่เว้นแต่ละเวลา มีมนุษย์มนาไปมาหาสู่ศึกษาอบรมอรรถธรรมกับท่านเป็นประจำ นับว่าท่านทำประโยชน์มหาศาลแก่ส่วนรวม ซึ่งยากจะมีผู้ทำได้ละเอียดลออกว้างขวางเหมือนอย่างท่าน
เวลาพักอยู่ในภูเขา ตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ พวกชาวป่าก็พลอยได้รับความแช่มชื่นเบิกบานจากธรรมที่ท่านแสดงโสรจสรง ตกตอนดึกก็แก้ปัญหาและแสดงธรรมแก่เทวดาที่มาจากชั้นและที่ต่าง ๆ ฟัง เรื่องเช่นนี้นับว่าเป็นภาระอันหนักที่ท่านต้องทำซึ่งหาตัวแทนยาก ไม่เหมือนการสั่งสอนมนุษย์ มนาที่ใคร ๆ สั่งสอนก็พอรู้เรื่องกัน นอกจากจะฟังและปฏิบัติตามหรือไม่เท่านั้น การเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าทั้งเบื้องบนเบื้องล่างนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับท่านพระอาจารย์มั่น ฉะนั้นประวัติของท่านจึงมักมีเรื่องเกี่ยวกับเทพสับปนกันไปเสมอตามประสบการณ์ในสถานที่และเวลาต่าง ๆ กัน จนกว่าจะจบประวัติท่าน เรื่องทำนองนี้ถึงจะสิ้นสุดลง
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมอันสูง ซึ่งเป็นอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐาน มีประชาชนและพระเณรเคารพนับถือท่านมากแทบทั่วประเทศไทย พอไปถึงก็เป็นเวลาที่ท่านกำลังสนทนาธรรมอยู่กับพระ ๓-๔ องค์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านภายในวัด เราพลอยได้โอกาสเข้าผสมด้วย ท่านแสดงอัธยาศัยด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง เราเริ่มสนทนาธรรมภาคปฏิบัติแขนงต่าง ๆ จนเตลิดไปถึงเรื่องของท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นอาจารย์ท่าน ระยะนั้นท่านไปศึกษาอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในภูเขาลึกห่างจากตัวอำเภอมาก เดินด้วยเท้าเปล่าเป็นวัน ๆ จึงจะถึงอำเภอ ท่านเล่าให้ฟังหลายเรื่องซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ฟังแล้วสะดุดใจ และเกิดความอัศจรรย์ชนิดบอกไม่ถูก แต่จะนำมาเล่าให้ท่านฟังเท่าที่เห็นว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ควร นอกนั้นจึงขอผ่านไป ตามที่เคยเรียนให้ทราบมาแล้ว
ท่านเล่าว่าท่านพระอาจารย์มั่น นอกจากจะเป็นที่แน่ใจอย่างยิ่ง ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดในสมัยปัจจุบันแล้ว ท่านยังมีคุณธรรมพิเศษหลายประการอีกด้วย ทั้งน่ากลัว ทั้งน่าเคารพ ทั้งน่าเลื่อมใส ทั้งทำให้เราระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ความรู้แปลก ๆ ที่ท่านเล่าให้ฟังนั้น ผมเองก็จำไม่ได้หมด ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า ส่วนที่จำไม่ได้ก็สุดวิสัย แต่ที่พอจำได้ก็ขออาราธนาเล่าให้กระผมฟังบ้าง พอได้ยึดไว้เป็นขวัญใจและเป็นที่ระลึกบูชาไปนาน ๆ  ท่านพูดว่า ก็เราคิดอะไรขึ้นมาภายในใจท่านรู้เอาเสียหมด จะว่าอย่างไรล่ะ ผมเองเหมือนถูกมัดไว้ทั้งวันทั้งคืนเลย ด้วยการระวังรักษาจิต ถึงขนาดนั้นท่านยังเอาเรื่องความคิดของเราไปเทศน์ให้เราและหมู่เพื่อนฟังจนได้ แต่จิตผมก็รู้สึกว่าดีอยู่ไม่น้อยในระยะที่อยู่กับท่านนั้น เป็นแต่รักษาใจไม่ให้คิดไปทุกแง่ทุกมุมไม่ได้เท่านั้นเอง
ใคร ๆ ก็ทราบว่าใจเป็นของเล่นเมื่อไร มันคิดได้ทั้งวันทั้งคืน ใครจะไปทนตามทนห้ามมันหวาดไหว ฉะนั้น จึงโดนท่านเทศน์เสียเรื่อย บางทีเราคิดและหลงลืมไปแล้ว พอมาหาท่าน ท่านเทศน์เรื่องนั้นขึ้น เราถึงระลึกได้ว่า เราได้หลวมตัวคิดอย่างท่านว่าจริง ๆ อย่างนี้ ท่านดุให้ท่านอาจารย์ด้วยหรือ? ผู้เขียนถาม บางทีท่านดุเอาบ้าง แต่บางทีแนะนำไปทีเดียว โดยยกเอาเรื่องที่เราคิดนึกฝันไปนั่นเองมาเป็นธรรมแสดงแก่เราเอง บางครั้งก็มีพระไปนั่งฟังอยู่ด้วย เรานึกอายพระที่ไปได้ยินด้วย แต่ดีอยู่อย่างหนึ่ง เวลามีพระไปนั่งฟังอยู่ด้วยนับแต่หนึ่งองค์ขึ้นไป ท่านไม่ระบุชื่อผู้เป็นต้นเหตุคิด เป็นแต่อธิบายเรื่องความคิดนึกดีชั่วนั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ท่านอาจารย์คิดอย่างไรบ้าง ท่านถึงได้ดุบ้างสั่งสอนบ้าง ผู้เขียนเรียนถาม ฟังแต่คำว่าปุถุชนเป็นไร มันหนายิ่งกว่าภูเขาหินและชนดะไปหมด ไม่เลือกว่าดีว่าชั่ว ว่าผิดว่าถูก มันคิดไปได้ทั้งนั้น พอดีกับเรื่องที่ควรดุท่านถึงได้ดุ ท่านอาจารย์กลัวท่านมากหรือเปล่าเวลาท่านดุ ผู้เขียนเรียนถาม ทำไมจะไม่กลัว ตัวไม่สั่นแต่หัวใจมันสั่นอยู่ภายใน บางทีแทบลืมหายใจก็ยังมี การรู้วาระจิตของผู้อื่นนั้นท่านรู้จริง ๆ ผมไม่สงสัยเลย เพราะเรื่องมันบอกอยู่กับตัวเรา ทุกอย่างที่คิดออกไป ท่านตามเก็บเอามาเทศน์สอนเราเสียสิ้น บางครั้งผมคิดว่าจะไปเที่ยวตามภาษาความโง่ของตน ถ้าคิดตอนกลางคืน พอตื่นเช้ามาไปทำข้อวัตรอุปัฏฐากท่าน ท่านก็เก็บเอาเทศน์ทันทีที่ไปถึง ท่านว่าท่านจะไปเที่ยวที่ไหนอีก ที่นั้นไม่ดีสู้ที่นี่ไม่ได้ อยู่ที่นี่ดีกว่าทำนองนี้ ทุก ๆ ครั้งที่เราคิดปรากฏว่าไม่ยอมให้ผ่านพ้นไปได้ ท่านว่าอยู่ที่นี่สนุกฟังเทศน์ ดีกว่าอยู่ที่นั้น แล้วก็ไม่อนุญาตให้เราไปที่นั้นจริง ๆ ด้วย เท่าที่สังเกตดูท่านคงเป็นห่วงเรามาก กลัวจิตเราจะเสื่อมเสีย และท่านก็พยายามอบรมอยู่ตลอดเวลา
ที่ผมกลัวท่านมากก็คือ ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน พอเรากำหนดพิจารณาดูท่านเมื่อไร ก็ปรากฏเห็นท่านจ้องมองเราอยู่แล้ว ประหนึ่งท่านไม่ยอมพักผ่อนเอาเลย บางคืนผมไม่กล้านอนเพราะมองดูท่านแล้วเหมือนท่านนั่งอยู่ตรงหน้าเรา และเพ่งตาจับจ้องอยู่ที่เราทุกขณะ เรากำหนดจิตออกไปข้างนอกทีไรก็เห็นแต่ท่านมองดูเราอยู่แล้ว ฉะนั้นการเคลื่อนไหวทุกอาการ จึงเป็นไปด้วยความสำรวมระวังอยู่เสมอ เวลาไปบิณฑบาตตามหลังท่าน ต่างองค์ต่างระวังสำรวมใจไม่ให้พลั้งเผลอออกนอกกายได้ ไม่เช่นนั้นขากลับออกมาถึงวัดหรือยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ในบางครั้งโดนเทศน์จนได้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดทั้งกลางวันและกลางคืน ต้องมีสติระวังตัวตลอดเวลา แม้เช่นนั้นยังมีเรื่องให้ท่านนำมาเทศน์จนได้และก็จริงดังที่ท่านเทศน์เสียด้วย คือต้องมีองค์ใดองค์หนึ่งที่อุปโลกน์ไปคิดเรื่องขึ้นมาให้ท่านจำต้องนำมาเทศน์ บางครั้งขณะนั่งฟังเทศน์ได้ยินเสียงท่านเทศน์ดุเรื่องแปลก ๆ ซึ่งเราเองมิได้คิดทำนองนั้น พอเลิกประชุมฟังเทศน์แล้ว ออกมากระซิบถามกันว่า วันนี้ท่านเทศน์ถูกใครบ้าง เสียงเทศน์รู้สึกชอบกล ต้องมีองค์หนึ่งสารภาพตัวให้เราฟังจนได้ว่า วันนี้ท่านเทศน์ถูกผมเอง เพราะผมอุตริไปคิดอย่างนั้นจริง ๆ ดังนี้ แต่อยู่กับท่านรู้สึกดีมาก เพราะมีสติอยู่กับตัวแทบตลอดเวลาเนื่องจากกลัวท่าน
ท่านเล่าว่าขณะไปถึงเชียงใหม่ทีแรกและเข้าไปพักวัด…….ได้ไม่ถึงชั่วโมง เห็นรถยนต์วิ่งเข้ามาในวัดที่ผมพักอยู่ และตรงเข้ามาจอดที่หน้ากุฏิผมพอดี พอมองลงไปเป็นท่านพระอาจารย์มั่น ผมก็รีบลงไปต้อนรับท่านและเรียนถามถึงเรื่องการมาของท่าน ท่านก็บอกทันทีว่าผมก็มารับท่านนั่นเอง เพราะทราบว่าท่านจะมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว เราเรียนถามท่านว่า มีใครเล่าถวายท่านอาจารย์หรือว่ากระผมจะมาที่เชียงใหม่ ท่านตอบว่าใครจะบอกหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าทราบและอยากมาก็มาเองได้ดังนี้ พอได้ยินคำนั้นแล้ว จิตผมเริ่มนึกกลัวขึ้นมา และยังทำให้เรานึกพิสดารไปต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้กลัวท่านมากขึ้น เวลาไปอยู่กับท่านจริง ๆ เรื่องก็เป็นดังที่คิดไว้ทุกประการ
ขณะประชุมฟังเทศน์ถ้าใจคิดเป็นธรรมแบบสละทิฐิมานะเสียจริงๆ ก็รู้สึกสนุกเพลิดเพลินในธรรมท่าน เพราะท่านเทศน์เป็นธรรมล้วน ๆ ทำให้จิตใจเพลิดเพลินไปตามยิ่งกว่าอะไรที่เคยผ่านมา ถ้าจิตไม่ค่อยเป็นธรรมและหาบหามโลกไปทับถมท่าน จะได้ยินเสียงเทศน์เป็นไฟไปทีเดียว และผู้ฟังแบบหามโลกไปหาท่านก็รู้สึกร้อนเป็นไฟไปเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ท่านมิได้สนใจว่าการเทศน์จะไปโดนกิเลสของใครเข้า ตรงไหนที่มีเรื่องมีกิเลสชุกชุมมาก ท่านจะพุ่งธรรมเข้าไปตรงนั้น ไม่ยอมแสดงไปที่อื่นเลย บางครั้งถึงกับระบุตัวบุคคลออกเลยว่า คืนนี้ท่าน….ภาวนาทำไมอย่างนั้น นั้นมันไม่ถูก ที่ถูกต้องทำอย่างนั้น และเมื่อเช้านี้ท่าน…..คิด…….อะไรอย่างนั้น ถ้าไม่อยากฉิบหายเพราะการทำลายตัวด้วยความคิดประเภทสังหารนั้นแล้ว อย่าหาญคิดต่อไป สิ่งที่พระพุทธเจ้าให้คิดให้ทำ ทำไมไม่คิดไม่ทำ แหวกไปคิดหาอะไรอย่างนั้น ที่นี่เป็นสถานที่อบรมศีลธรรมเพื่อแก้ความเห็นผิด คิดผิด มิใช่สถานที่สั่งสมความคิดเพื่อก่อไฟเผาตัวทำนองที่คิดนั้น
ผู้ที่ยอมรับความจริงทางใจจะรู้สึกเย็นสบาย ท่านเองก็ไม่ค่อยว่าอะไร สำคัญที่มีอะไรไปตะขิดตะขวงใจท่านอยู่ภายในอย่างลึกลับนั้น รู้สึกจะเหมือนเอาไฟไปเผาลนท่าน และจะได้ยินคำแปลก ๆ ออกมาทันที แต่ถ้าผู้นั้นรู้สึกตัว รีบแก้ไขความคิดเห็นเสียใหม่ก็ไม่มีอะไรต่อไปอีก เรื่องก็สงบไป
คืนหนึ่งมีพวกชาวเขาพูดกันว่า ตุ๊เจ้าหลวง (พระอาจารย์ใหญ่) ที่มาพักอยู่กับพวกเรา ท่านจะมีคาถากันผีขับไล่ผีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พรุ่งนี้พวกเราลองพากันออกไปขอท่านดู ท่านจะพอมีให้พวกเราบ้างไหม? พอตื่นเช้ามา ท่านอาจารย์มั่นก็รีบบอกกับพระทันทีว่า คืนนี้นั่งภาวนาอยู่ได้ยินพวกชาวเขาในหมู่บ้านนี้พูดกันว่า พวกพระเราจะมีคาถากันผีไล่ผีบ้างไหม เขาจะมาขอคาถานั้นกับพวกเรา ถ้าเขามาขอคาถาดังที่ว่านั้น ให้เอาคาถาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้เขาไปภาวนา คาถานี้กันผีดีนัก ผีในโลกนี้กลัวแต่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เท่านั้น ไม่มีผีตัวใดจะกล้าต่อสู้กับธรรมเหล่านี้ได้
พอตอนเช้าพวกชาวเขาพากันมาจริง ๆ ดังที่ท่านบอกไว้ และพร้อมกันมาขอคาถากันผีไล่ผีกับท่านจริงๆ ท่านก็บอกคาถา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้แก่เขาไป โดยบอกวิธีทำให้เขา คือนึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดบทหนึ่งไว้ในใจ และบอกว่าผีกลัวนักหนา พอเขาได้พุทโธ ธัมโม สังโฆไปแล้ว ต่างก็เริ่มทำพิธีกันผีตามที่ท่านสั่ง โดยที่เขาไม่รู้ว่าท่านให้เขาภาวนา พอเขาพากันทำแบบที่ท่านสั่งสอน ใจเลยรวมสงบลงเป็นสมาธิในขณะนั้น รุ่งเช้าเขาก็รีบออกมาหาท่านและเล่าอาการที่เป็นให้ท่านฟัง ท่านบอกว่านั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว ผีแถว ๆ นี้จะต้องกลัวและพากันวิ่งหนีหมด อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะธรรมของพวกแกแก่กล้าแล้ว ต่อไปพวกแกไม่ต้องกลัวผีอีกแล้ว แม้พวกที่ภาวนากันผียังไม่เป็น ผีก็เริ่มกลัวอยู่แล้ว
จากนั้นท่านสอนให้เขาทำทุกวัน ตามปกติคนชาวเขาเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตมาดั้งเดิมจึงสั่งสอนง่ายอยู่บ้าง เขาพากันทำทุกวันอย่างเอาจริงเอาจัง ต่อมาไม่ช้าคนในบ้านนั้นบางคนภาวนาเป็นจริง ๆ จนจิตเกิดความสว่างไสวสามารถรู้จิตใจของคนอื่นได้ ตลอดจิตพระที่อยู่ในวัด เช่นเดียวกับคนบ้านเสือเย็นที่กล่าวผ่านมาแล้ว เวลาเขาออกมาวัดมาเล่าเรื่องภาวนาให้พระอาจารย์ฟัง และเรื่องที่จิตสามารถรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างน่าจับใจนั้น พระในวัดเกิดความอัศจรรย์และกลัวเขาจะรู้เห็นจิตของตัวที่คิดไปต่าง ๆ พระบางองค์ที่มีนิสัยขี้ขลาดแต่อยากรู้เรื่องต่าง ๆ อดทนไม่ได้ก็ถามเขา เขาก็เล่าให้ฟังตามเป็นจริง ยังทนต่อความอยากถามไม่ได้อีก พยายามแคะไค้ไล่เบี้ยสอบถามเขาเข้ามาหาเรื่องของตัวโดยจะขาดทุนก็ไม่ยอมรู้สึกตัว ราวกับใจมีฝาปิดไว้ร้อยชั้นอย่างมิดชิด ไม่มีอะไรจะสามารถเอื้อมเข้าไปสัมผัสแตะต้องได้ พอถามเขา เขาก็บอกอย่างตรงไปตรงมาตามภาษาของคนป่าซึ่งไม่สนใจกับสังคมว่านิยมกันอย่างไร พระที่ฟังแล้วชอบใจว่า ถูกกับปมด้อยของตัว และกลัวในเวลาคิดปรุงไปต่าง ๆ ว่า เขาจะรู้ทำนองที่เขาเคยรู้แล้วนั้น
นอกจากเขาจะรู้สิ่งต่าง ๆ ดังที่ว่านั้น เขายังพูดกับท่านพระอาจารย์มั่นอย่างหน้าตาเฉยด้วยว่า จิตตุ๊เจ้าหลวง เฮาก็ฮู้ก๊า (เรารู้ครับ) เพราะเฮาดูและฮู้จิตตุ๊เจ้าหลวงก่อนใคร ๆ ท่านก็ถามบ้างว่า จิตเราเป็นอย่างไร กลัวผีไหม? เขายิ้มแล้วก็ตอบท่านว่า จิตของตุ๊เจ้าหลวงหมดดวงสมมุติแล้ว เหลือแต่นิพพานในร่างมนุษย์อย่างเดียว และไม่กลัวอะไรเลย จิตตุ๊เจ้าวิเศษสุดแล้ว เรื่องผีสางอะไรเขาเลยไม่กล่าวถึง แม้คนในบ้านนั้นก็หันมาเลื่อมใสศาสนาและท่านพระอาจารย์มั่นเสียหมด ไม่สนใจกับผีกับสางอะไรอีกต่อไป เพราะคนที่ภาวนาเก่งคนนั้นเป็นผู้ประกาศให้ชาวบ้านทราบเรื่องของศาสนา และเรื่องของท่านพระอาจารย์อยู่ทุกวัน
เวลาใส่บาตรเขาพร้อมกันมารวมใส่ในที่แห่งเดียว พอเสร็จจากการใส่บาตร เวลาจะอนุโมทนา ท่านพระอาจารย์บอกให้เขาพร้อมกันสาธุดัง ๆ เผื่อเทวดาจะได้อนุโมทนาด้วย เขาจะมีส่วนบุญกับพวกเราอีกส่วนหนึ่ง เขาเชื่อท่านพร้อมกันสาธุดัง ๆ ทุกวัน ที่ท่านให้เขาสาธุดัง ๆ นี้ ทราบว่าเวลากลางคืนยามดึกสงัด มักมีเทวดามาเยี่ยมและฟังเทศน์ท่านเสมอ บางพวกก็บอกว่าได้ยินเสียงสาธุดังไปถึงเขา เขาจึงทราบว่าพระคุณเจ้าพักอยู่ที่นี่ ถึงได้พากันมาเยี่ยม ตามธรรมดาทุกครั้งที่พวกเทพมาเยี่ยม จะต้องมีหัวหน้านำมาเสมอ และพวกเทวดานั้น ๆ ก็มีภูมิที่อยู่ต่าง ๆ กัน บางพวกก็เป็นรุกขเทวดามาจากที่ใกล้บ้างไกลบ้าง บางพวกก็เป็นพวกเทวดาบนสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ดังที่แสดงไว้ในตำรา
ก่อนเวลาเขาจะมาในคืนใด คืนนั้นท่านต้องทราบล่วงหน้าไว้ก่อนเสมอ ว่าเขาจะมาประมาณตี ๒ หรือตี ๓ ท่านก็พักผ่อนเสียก่อน พอจวนถึงเวลาก็ลุกขึ้นเข้าที่คอยต้อนรับ ถ้าทราบว่าเขาจะมาราวเที่ยงคืนหรือตี ๑ ท่านก็เข้าที่คอยต้อนรับ แต่การเข้าที่คอยนั้นมีสองประเภท คือภาวนาไปตามลำพังจนจิตลงสู่ความสงบแล้วพักอยู่หนึ่ง พอควรแก่กาลแล้วถอนขึ้นมาอยู่ระดับพอดีกับภูมิของแขกจะรับทราบกันได้หนึ่ง ถ้าแขกยังไม่มาก็ดี กำลังมาก็ดี หรือมารออยู่ก่อนแล้วก็ดี ย่อมรับทราบกันได้กับจิตที่อยู่ในระดับนี้ มีอะไรก็สนทนากันไปจนกว่าจะยุติลงด้วยเหตุการณ์อันควร ถ้าจิตลงไปอยู่ในสมาธิเสียจริง ๆ ภูมิของแขกที่มาเยี่ยมก็เข้าไม่ถึง ถ้าถอนออกมาเป็นจิตธรรมดาเสีย หากจิตไม่มีความชำนาญในทางนี้จริง ๆ ก็ไม่อาจรับทราบกันได้ทุกระยะกับสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง แม้ทราบได้ก็ไม่ถนัดเหมือนจิตที่อยู่ในขั้นเตรียมรับ ฉะนั้น จิตที่อยู่ภูมิอุปจาระ คืออยู่ที่ปากประตู จึงเป็นภูมิที่เหมาะกับเหตุการณ์แทบทุกกรณี
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเชี่ยวชาญในทางนี้มานาน เริ่มแต่สมัยท่านพักอยู่ถ้ำสาริกา นครนายกเป็นต้นมา ซึ่งระยะนั้นทราบว่าท่านได้ ๒๒ พรรษา จากนั้นมาจนถึงวันท่านมรณภาพพรรษาก็ร่วม ๖๐ แล้ว ท่านจึงมีความชำนิชำนาญในทางนี้มาก โลกมนุษย์เราต่างก็มีใจเป็นของคู่ควรกับสิ่งเหล่านี้ เช่นเดียวกับท่านที่สามารถปฏิบัติจนรู้เห็นได้ แต่ยังไม่ค่อยมีผู้สามารถปฏิบัติจนรู้เห็นได้อย่างท่าน พอเป็นพยานแก่ตัวเอง แม้ไม่มากเหมือนท่านที่เชี่ยวชาญ นอกจากไม่เห็นแล้ว ยังอาจเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในโลกสมมุติอีกด้วย จึงเป็นเรื่องลำบากที่จิตไม่มีระดับความพอดีเป็นธรรมเครื่องอยู่ ถ้าจิตมีความสามารถด้วยการปฏิบัติตนตามหลักธรรม ซึ่งเป็นหลักรับรองความรู้จริงเห็นจริงเท่าที่ควรแล้ว สิ่งที่ได้รู้ด้วยใจอย่างประจักษ์แล้ว แม้คำคัดค้านทั้งแผ่นดินว่าไม่จริงมาลบล้าง ก็เป็นคำคัดค้านที่เป็นโมฆะโดยประการทั้งปวง สิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือความจริงของผู้รู้จริงเห็นจริงนั่นแล ไม่มีสิ่งใดจะสามารถมาลบล้างได้ เพราะความจริงย่อมไม่ขึ้นอยู่กับคำเสกสรรและติชมใด ๆ นอกจากเป็นสิ่งที่จริงอยู่อย่างตายตัวตามหลักธรรมชาติเท่านั้น
ตามป่าตามเขาของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏว่าท่านพระอาจารย์มั่นได้ท่องเที่ยวซอกแซกทุกซอกทุกมุมกว่าจังหวัดอื่น ๆ เพราะท่านอยู่ที่จังหวัดนั้นมาหลายปี และนานกว่าที่อื่น ๆ การบำเพ็ญธรรมก็สะดวก ความรู้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็มีมากกว่าที่อื่น ๆ ท่านว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่นานเพราะเหตุหลายประการ คือสถานที่บำเพ็ญเหมาะสมมากหนึ่ง ชาวป่าผู้มีภูมิจิตที่น่าสงสารควรอนุเคราะห์มีอยู่มาก ความผิดปกติของคนในเขาที่มีจำนวนน้อย ซึ่งควรได้รับการอบรมส่งเสริมเพื่อความมั่นคงต่อไป ดีกว่าจะปล่อยทิ้งไว้อันอาจมีการเสื่อมถอยลงได้หนึ่ง และเพื่อสงเคราะห์พวกเทวดาทั้งหลายหนึ่ง
พวกกายทิพย์นี้ชอบมาถามปัญหาและฟังเทศน์ท่านเสมอ อย่างน้อยวันพระละสองครั้ง นอกจากนั้นยังมีพวกนาคพาบริวารมาฟังธรรมท่านอยู่เสมอเช่นกัน ท่านว่ากลางคืนท่านไม่ค่อยว่างจากการรับแขกจำพวกกายทิพย์เลย บางคืนพวกเทพจากเบื้องบนชั้นนั้น ๆ มาเยี่ยม บางคืนพวกรุกขเทพมาเยี่ยม บางคืนพวกพญานาคมาเยี่ยม พวกเทพเบื้องบนชั้นนั้น ๆ มาแต่ละครั้ง หัวหน้าเขาประกาศให้ท่านและเทวดาทั้งหลายทราบก่อนจะถามปัญหาและฟังธรรมว่า มีจำนวนหมื่นบ้าง แสนบ้าง พวกรุกขเทพมาแต่ละครั้งหัวหน้าประกาศว่า มีจำนวนพันบ้าง หมื่นบ้าง พวกพญานาคพาบริวารมาแต่ละครั้งประกาศว่า มีจำนวนห้าร้อยบ้าง หนึ่งพันบ้าง
เวลาท่านลงเดินจงกรมตอนเย็น จิตจะรับทราบความนัดหมายแห่งการมาของพวกเทพเหล่านั้นแทบทุกเย็น บางครั้งก็ปรากฏเอาเวลาเข้าที่ภาวนาว่า เทวดาชั้นนั้นจะมาเยี่ยมเวลาเท่านั้น ชั้นนั้นจะมาเวลาเท่านั้น รุกขเทพพวกนั้นจะมาเวลาเท่านั้น และพวกนั้นจะมาเวลาเท่านั้น พวกนาคจะมาเวลาเท่านั้น บางคืนมีถึงสองสามพวก ท่านต้องนัดเวลาไม่ให้มาตรงกัน โดยพวกหนึ่งนัดให้มาราวห้าทุ่มบ้าง พวกหนึ่งนัดให้มาราวหกทุ่มบ้าง อีกพวกหนึ่งนัดให้มาราวเจ็ดทุ่มบ้าง ตามแต่เห็นควร ไม่ให้เวลาตรงกัน เพราะพวกเทพแต่ละชั้นละภูมิ มีพื้นเพทางจิตใจและธรรมที่ควรแก่ตนต่างกัน พวกหนึ่งมาต้องการฟังธรรมประเภทหนึ่ง อีกพวกหนึ่งต้องการฟังธรรมอีกประเภทหนึ่ง เพื่อความเหมาะสมกับภูมิของเทวดาที่มีประเภทต่าง ๆ กัน ท่านจำต้องนัดให้มาในเวลาต่างกัน เพื่อสะดวกแก่การแสดงและการฟังทั้งสองฝ่าย เพราะความจำเป็นดังกล่าวนี้ ทำให้ท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่นาน
เฉพาะพวกเทพทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ปรากฏว่ามาเกี่ยวข้องกับท่านเป็นประจำยิ่งกว่ามนุษย์และนาคครุฑภูตผีทั้งหลาย ทั้งนี้เนื่องจากผู้เข้าถึงจำพวกกายทิพย์ในทางจิตใจมีจำนวนน้อยมาก จึงเป็นความจำเป็นมากในการทำประโยชน์แก่พวกเทวดา แม้เทวดาเองก็เคยพูดกับท่านแล้วแทบทุกจำพวกเกี่ยวกับผู้ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจกับพวกเทวดา และไม่สนใจว่าเทวดาก็เป็นกำเนิดชนิดหนึ่งที่มีโลกอยู่อาศัยตามกรรมของตน และมีความหวังในสิ่งที่พึงพอใจเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป
ฉะนั้น เทวดาจึงไม่มีความหมายสำหรับมนุษย์ประเภทดังกล่าวนั้น เมื่อมาพบท่านผู้ทรงคุณธรรมอันสูงสุดที่มีญาณหยั่งทราบว่า สัตว์เป็นสัตว์ คนเป็นคน เทวดาเป็นเทวดา และอะไรเป็นอะไรไม่ปฏิเสธ อันเป็นการให้เกียรติแก่ภพกำเนิดของสัตว์นั้น ๆ เช่นนี้ ซึ่งนาน ๆ จะเจอสักครั้งหนึ่ง จึงอดที่จะเกิดความปีติยินดีอย่างซาบซึ้งมิได้ และพากันมากราบไหว้ถามปัญหาข้อข้องใจและฟังธรรมเสมอ เพื่อดื่มโอชารสพระสัทธรรมเข้าไปหล่อเลี้ยงเชิดชูจิตใจ ความเป็นอยู่แห่งภพชาติของตนให้มีความสุขสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้นเทวดาทั้งหลายจึงเคารพเลื่อมใสท่านผู้มีคุณธรรมสูงมาก ทั้งรู้เรื่องและเห็นอกเห็นใจพวกเทวดาว่า เป็นสัตว์ที่มีความหวังอะไร ๆ ที่เป็นสิริมงคลแก่ตน และมีความหมายเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่วไป
ท่านเล่าว่า สัตว์จำพวกกายทิพย์ในกำเนิดต่าง ๆ ที่พอมีทางตะเกียกตะกายช่วยตัวเอง ได้มาติดต่อเกี่ยวข้องกับท่านเพื่อขอความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ มีจำนวนมากกว่ามนุษย์หลายเท่า แต่เป็นสิ่งลี้ลับสำหรับพวกเราผู้ยังไม่สามารถรู้เห็นได้ในทางจิตใจ สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นปัญหาต่อสังคมมนุษย์ชนิดไม่มีทางแก้ให้ตกได้ แต่ทั้งนี้มิได้เป็นอุปสรรคต่อการรู้เห็นของทุกรายไป ผู้มีความสามารถในทางจิตใจ สิ่งเหล่านี้ย่อมกลายเป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับเรื่องธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่มนุษย์สามารถ สำหรับท่านพระอาจารย์มั่นรู้สึกจะถือเป็นเรื่องธรรมดา ท่านจึงสามารถทำหน้าที่เกี่ยวกับพวกกายทิพย์ตลอดมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนท่านจำเป็นต้องมีการเกี่ยวข้องเสมอ ในเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากท่าน
เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ท่านว่าท่านได้ทำการเกี่ยวข้องกับพวกกายทิพย์ที่มีภพภูมิต่าง ๆ กันมากกว่าที่ทั่วไป โดยที่สัตว์จำพวกเหล่านี้ส่วนมากชอบมาติดต่อกับท่าน ขณะที่พักอยู่ในที่เปลี่ยว ๆ อันสงัด ปราศจากผู้คนพลุกพล่านหรือสัญจรไปมา ประกอบกับเชียงใหม่เป็นทำเลที่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะมีป่ามีเขามาก ท่านเองขณะพักอยู่ที่เช่นนั้น ก็มีเวลาว่างจากภาระภายนอกมากกว่าที่อื่น ๆ จึงเป็นโอกาสที่พวกกายทิพย์จะเข้าถึงได้ง่าย


เทวดาประเทศเยอรมันมาขอฟังธรรม
นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่เรื่องหนึ่ง ในบรรดาเรื่องที่เกี่ยวกับเทวดาที่ท่านเคยสงเคราะห์เรื่อยมา เทวดาพวกนี้มาจากประเทศเยอรมัน มาขอฟังเทศน์ท่านขณะที่พักอยู่หมู่บ้านอีก้อ กับพวกมูเซอในเขาลึก โดยเขาแสดงความประสงค์ออกมาเลยว่า อยากฟังเทศน์ชัยชนะคาถา ท่านกำหนดหาบทธรรมที่ตรงกับความต้องการของเขา ธรรมก็ผุดขึ้นมาภายในว่า อกฺโกเธน ชิเน โกธํ เป็นต้น บอกความหมายขึ้นมาพร้อม และแสดงให้พวกเทวดาฟังว่า ธรรมนี่แลเป็นยอดแห่งธรรมที่ผู้หวังความชนะจะพึงเจริญให้มาก โลกที่มีความร่มเย็นเป็นสุขต่อกันตลอดมาก็เพราะธรรมนี้ เป็นเครื่องปราบปรามความชั่วทั้งหลาย มีความโกรธเป็นต้น ให้เสื่อมสิ้นอำนาจในการทำลายสังคมมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ทำให้โลกมีความเจริญและสงบสุขโดยทั่วกัน เทวดาควรมีธรรมนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวประสานกัน
โลกถ้าขาดชัยชนะธรรมนี้แล้ว อย่างน้อยก็เกิดความไม่สงบสุข มากกว่านั้นก็สังหารทำลายกันให้ฉิบหายย่อยยับโดยถ่ายเดียว โลกจะเอาความโกรธแค้นมาปราบปรามข้าศึกทั้งภายในภายนอก ทั้งใกล้และไกล ทั้งวงแคบและวงกว้าง ด้วยความโกรธแค้น อันเป็นของไม่ดีและเป็นเครื่องทำลายตนและผู้อื่น จึงไม่มีทางสำเร็จได้ตลอดกาล ถ้าขืนปราบด้วยความโกรธแค้นมากขึ้นเพียงไร โลกก็ยิ่งจะเป็นไฟประลัยกัลป์เผาผลาญกันให้ย่อยยับจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เพียงนั้น เพราะความโกรธแค้นเป็นไฟอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่นำไปทำการหุงต้มอะไรไม่สำเร็จ ทางสำเร็จของมันก็คือทำโลกให้วอดวายไปโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ผู้ต้องการให้โลกยังคงเป็นโลกที่มีความหมายและน่าอยู่ จึงควรเห็นโทษของความโกรธแค้นอันเป็นเครื่องทำลายนี้ว่าเป็นไฟมหาวินาศ ไม่ควรนำมาใช้ จะเป็นการก่อไฟเผาตนและผู้อื่นให้เป็นไฟไปตาม ๆ กัน
โลกอยู่ได้ด้วยเมตตาคือความเอ็นดูสงสารกันทุกตัวสัตว์ที่มีชีวิตครองตัวอยู่ ไม่พึงเบียดเบียนทำลายกันด้วยความโกรธแค้น หรือด้วยความเห็นแก่ปากแก่ท้อง ซึ่งไม่มีประมาณแห่งความอิ่มพอและไม่มีทางสิ้นสุดแห่งการทำลายกัน พระพุทธเจ้าทรงเห็นโทษของมันด้วยพระปัญญาอันแหลมคมไม่มีทางสงสัย และทรงเห็นคุณในความเมตตาว่า เป็นธรรมอ่อนโยนและสมัครสมานรักใคร่ไมตรีต่อกันระหว่างสัตว์โลกทุกชั้นทุกภูมิ ซึ่งมีความรักสุขเกลียดทุกข์เสมอหน้ากัน จึงประทานไว้เพื่อความมั่นคงแห่งสันติสุขแก่โลกตลอดกาลนาน หากเมตตาธรรมยังมีในใจของสัตว์โลกอยู่ตราบใด โลกยังจะมีหวังความสุขความสมหวังอยู่ตราบนั้น แต่ถ้าเมตตาได้ห่างเหินจากใจของสัตว์โลกกาลใด กาลนั้นแม้สัตว์โลกจะมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคนานาชนิดอย่างพึงพอใจก็ตาม แต่จะไม่มีความสงบสุขตกค้างอยู่ในวงสัตว์โลกนั้น ๆ เลย ส่วนที่ได้รับจะมีแต่ความเดือดร้อนขุ่นเคืองไปทุกหย่อมหญ้า
ดังนั้นเมื่อเราทราบอยู่แก่ใจว่า ธรรมเป็นธรรม และเป็นเครื่องนำความเจริญมาสู่ตน และทราบอยู่ว่าโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเผาอยู่ในดวงใจ เหมือนไฟลุกโพลงอยู่ด้วยเชื้อ คอยแต่จะสังหารทำลายสิ่งต่าง ๆ ให้ย่อยยับดับสูญลงไปทุกเวลานาทีเช่นนี้ จึงควรเร่งบำเพ็ญตนให้พ้นภัยไปเฉพาะหน้า ซึ่งยังควรแก่วิสัยพอจะทำได้ หากกาลอันควรผ่านไปแล้วจะเสียใจภายหลัง เพราะโลกนี้คือโลกอนิจฺจํ และตั้งอยู่บนร่างกายและจิตใจของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า นี่เป็นใจความย่อแห่งชัยชนะคาถาที่ท่านแสดงแก่เทวดาที่มาจากประเทศเยอรมันฟัง
พอจบเทศนาเทวดาสาธุการสามครั้ง เสียงสะเทือนไปทั่วโลกธาตุ เสร็จแล้วท่านถามเขาว่าทำไมเทวดาอยู่ถึงประเทศเยอรมันซึ่งชาวมนุษย์ถือว่าไกลแสนไกล จึงทราบได้ว่าอาตมาพักอยู่ที่นี่ เขาตอบว่าสำหรับท่านแล้วจะอยู่ที่ไหนเขาก็ทราบกันทั้งนั้น อีกประการหนึ่ง เทวดาในประเทศไทยเคยไปมาหาสู่กับเทวดาในประเทศเยอรมันมิได้ขาด พวกเทวดามิได้ถือว่า ประเทศไทยกับประเทศเยอรมันหรือประเทศใด ๆ อยู่ห่างกันเหมือนที่พวกมนุษย์เข้าใจกัน แต่ถือว่าเป็นประเทศเขตแดนที่พวกเทวดาไปมาหาสู่กันได้สะดวกสบายธรรมดา ๆ เรานี่เอง เพราะมิได้ไปด้วยเท้าหรือด้วยยานพาหนะดังมนุษย์ทั้งหลายไปกัน แต่เทวดาเหาะลอยไปด้วยฤทธิ์ เหมือนกระแสจิตที่ส่งไปในที่ต่าง ๆ เพียงขณะเดียวก็ถึงจุดที่หมาย การไปมาของเทวดาจึงสะดวกกว่าชาวมนุษย์อยู่มาก ท่านว่าเทวดาประเทศเยอรมันมาฟังเทศน์ท่านเสมอ เช่นเดียวกับรุกขเทวดาซึ่งสถิตอยู่ในที่ต่าง ๆ ของเมืองไทยมาฟังเทศน์ท่านบ่อย ๆ ฉะนั้น
ความเคารพของเทวดาไม่ว่าชั้นบนชั้นล่างมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือเวลาเขามาเยี่ยมท่านในสถานที่ที่มีพระพักอยู่กับท่าน เทวดาจะไม่เข้ามาด้านที่มีพระอยู่นั้นเลยหนึ่ง มายามดึกสงัดเวลาพระท่านพักจำวัดหนึ่ง มาถึงแล้วพร้อมกันทำประทักษิณสามรอบหนึ่ง มีความสงบเสงี่ยมโดยทั่วกันหนึ่ง เวลาจะจากไปพร้อมกันทำประทักษิณสามรอบก่อน แล้วค่อย ๆ เดินถอยห่างออกไป พอเห็นว่าพ้นเขตที่พักท่านอันเป็นที่ควรเคารพแล้ว ต่างค่อยเหาะลอยขึ้นบนอากาศเหมือนสำลีฉะนั้นหนึ่ง เทวดาทั้งหลายทำความเคารพท่านโดยอาการอย่างนี้
ท่านอยู่ในเขาจังหวัดเชียงใหม่ สถานที่บำเพ็ญสะดวกทั้งกลางวันกลางคืน ท่านมีความ รื่นเริงในทิฏฐธรรมสุขวิหาร คือธรรมเป็นเครื่องอยู่สบายในเวลาขันธ์ยังครองตัวอยู่ การนั่งสมาธิภาวนาเป็นไปตามเวลาที่ต้องการ ไม่มีสิ่งมาเป็นอุปสรรคทำให้ขาดวรรคขาดตอน ท่านมีความสุขกายสบายใจมาก การสงเคราะห์ผู้มาเกี่ยวข้องนั้นในเวลากลางคืนก็เป็นพวกเทวดา ซึ่งมีภูมิละเอียดตามคตินิสัยอยู่แล้ว จึงไม่เป็นภาระกังวลมากในการต้อนรับ และการสงเคราะห์ด้วยธรรมที่เกี่ยวกับประชาชนก็มีบ้างเป็นบางกาล เช่น ตอนบ่าย ๆ หรือเย็น ส่วนพระของท่านเอง ถ้าวันจะมีการประชุมท่านก็นัดให้เองตามที่เห็นควร เช่น หนึ่งทุ่ม เป็นต้น โดยมากก็เป็นผู้มีภูมิจิตสูง นับแต่สมาธิขึ้นไปถึงปัญญาเป็นขั้น ๆ ทั้งเป็นผู้มุ่งมั่นต่อธรรม และฟังกันแบบบำเพ็ญเพียรเพื่อมรรคผลนิพพานในขณะฟังจริง  ๆ การแสดงธรรมแก่ผู้มีภูมิจิตภูมิธรรมต่างกันและสูงขึ้นไปตามลำดับลำดาเช่นนั้น ท่านก็แสดงธรรมไปตามลำดับภูมิ นับแต่ภูมิสมาธิขึ้นไปหาภูมิปัญญาเป็นขั้น ๆ จนถึงขั้นละเอียดสุด คือ วิมุตติหลุดพ้นแทบทุกครั้ง ผู้มีภูมิจิตนั่งฟังท่านอธิบายธรรมภาคต่าง ๆ ทำให้จิตเพลิดเพลินไปตามธรรมขั้นนั้น ๆ จนลืมตัวและลืมเวลา ปกติท่านเทศน์สอนพระล้วน ๆ ทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนา กว่าจะยุติก็กินเวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่ผู้ฟังมิได้สนใจกับเวล่ำเวลายิ่งไปกว่าสนใจไปตามกระแสธรรมที่ท่านกำลังแสดงไปเป็นระยะ ๆ ในเวลานั้น ขณะฟังถ้าจิตของผู้ฟังอยู่ในระดับใดก็ได้กำลังเพิ่มระดับเดิมของตนขึ้นเป็นลำดับในทุกครั้งที่รับการสดับธรรม
ฉะนั้นการฟังธรรมทางภาคปฏิบัติด้วยความสำรวมระวัง และทดสอบจิตไปตามขณะที่ฟัง จึงจัดเป็นความเพียรสำคัญภาคหนึ่ง ไม่ด้อยกว่าการทำความเพียรในอิริยาบถและความเพียรภาคอื่น ๆ ท่านผู้แสดงก็มีความมุ่งหมายอยากให้ผู้ฟังได้รู้เห็นความจริงตามธรรมที่แสดงออกทุกระยะไปเช่นเดียวกัน และแสดงไปตามความคิดนึกความแสดงออกของจิต ทั้งที่เป็นฝ่ายสมุทัยและฝ่ายมรรคของผู้ฟังจริง ๆ เพื่อให้รู้ทั้งโทษและคุณที่ควรละและควรเจริญให้ยิ่งขึ้นไปในขณะที่นั่งฟังยิ่งกว่าขณะอื่นใดในเวลานั้น ผู้มีสติจดจ่อต่อจิตซึ่งเป็นที่รวมของธรรมไม่ให้ส่งไปที่อื่น ย่อมได้รับความสงบตามขั้นสมาธิและได้อุบายต่าง ๆ ตามขั้นของปัญญาที่สามารถไตร่ตรองตามธรรมซึ่งท่านกำลังแสดงในขณะนั้น ผู้ที่ควรผ่านไปได้ในขณะฟังก็ผ่านไปเป็นพัก ๆ ฟังคราวนี้ได้อุบายอย่างหนึ่งขึ้นมา ฟังคราวหน้าได้อุบายอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา อันเป็นการเพิ่มสติปัญญาด้วยการฟังอยู่เสมอ จิตย่อมเจริญก้าวหน้าทั้งทางสมาธิทุกขั้นและปัญญาทุกภูมิเป็นลำดับ จนสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยการปฏิบัติและการฟังที่ผู้แสดงเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง และแสดงถูกต้องกับจุดความจริงที่กำลังเป็นไปในผู้ปฏิบัติที่มาอบรมศึกษา ฉะนั้นการฟังสำหรับพระธุดงคกรรมฐาน จึงถือเป็นกิจจำเป็นทางภาคปฏิบัติเช่นเดียวกับการปฏิบัติภาคอื่น ๆ เสมอมา จะห่างเหินต่อการฟังย่อมไม่ได้ เมื่อครูอาจารย์ผู้สามารถทางจิตใจมีอยู่ ด้วยเหตุนี้พระธุดงค์ผู้มุ่งอรรถธรรมอย่างแท้จริง จึงชอบแสวงหาครูอาจารย์ผู้คอยแนะนำทางจิตตภาวนาเป็นนิสัย และเคารพรักในอาจารย์มาก หวังพึ่งเป็นพึ่งตายด้วยจริง ๆ ท่านให้อุบายแนะนำอย่างไรย่อมเข้าถึงใจจริง ๆ และนำไปใคร่ครวญและปฏิบัติตามเต็มสติกำลังของตน ถ้ายังมีแง่สงสัยหรือมีข้อสงสัยที่เกิดจากการภาวนาในแง่ใดบ้างก็มาขอคำแนะนำจากท่านอีก แล้วนำไปปฏิบัติเป็นอาจิณ ฉะนั้น ครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในทางจิตตภาวนามีอยู่ ณ ที่ใด พระธุดงคกรรมฐานจึงมักไปรุมล้อมอยู่กับท่าน ณ ที่นั้น ดังท่านพระอาจารย์มั่นท่านอาจารย์เสาร์เป็นตัวอย่าง ทั้งสององค์นี้นับว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นพระธุดงค์จำนวนมากเป็นพิเศษในภาคอีสาน
แต่เวลาที่พระอาจารย์มั่นพักอยู่ที่เชียงใหม่นั้น ท่านตั้งใจปลีกองค์จากหมู่คณะออกบำเพ็ญเป็นพิเศษ ไม่ต้องการความยุ่งเหยิงวุ่นวายจากภาระต่าง ๆ มีการอบรมสั่งสอนเป็นต้น เพื่อเร่งความเพียรให้ถึงจุดที่หมายและเพื่อความอยู่สบายในทิฎฐธรรม แม้เช่นนั้นก็จำต้องได้รับภาระในการอบรมสั่งสอนประชาชนและพระเณรอยู่โดยดี ดังที่รู้ ๆ กันอยู่ทั่วไปว่า ท่านมีลูกศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสจำนวนมากมายในประเทศไทย ก่อนหน้าที่ท่านจะปลีกจากหมู่คณะไปบำเพ็ญอย่างเด็ดเดี่ยวแต่ผู้เดียวที่เชียงใหม่ ท่านเคยพูดเสมอว่า เวลานี้กำลังท่านยังไม่เพียงพอ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ท่านจึงได้ปลีกออกไปตามเจตนาเดิมที่พูดไว้และบำเพ็ญเต็มกำลังจนสิ้นความสงสัยทางจิตใจทุกด้าน ดังที่เคยกล่าวผ่านมาบ้างแล้ว จากนั้นมาท่านไม่เคยพูดอีกเลยว่า กำลังไม่พอ
ครั้งหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปในเขาด้วยกันสามองค์ มีท่านพระอาจารย์ขาว วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี และท่านพระอาจารย์มหาทองสุก วัดสุทธาวาส สกลนคร ติดตามไปด้วย พอไปถึงช่องแคบจะขึ้นเขาก็เผอิญไปเจอช้างใหญ่เชือกหนึ่ง ที่เจ้าของเขามาปล่อยทิ้งไว้แล้วหนีไปไหนก็ไม่ทราบ เห็นแต่ช้างเที่ยวหากินอยู่ปากช่องขึ้นเขา งาของมันยาวเกือบวา เห็นแล้วน่ากลัวพิลึก ท่านปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ทางก็จำเพาะมีเท่านี้ไม่มีที่พอปลีกแวะไปได้บ้างเลย ท่านพระอาจารย์มั่นบอกให้ท่านพระอาจารย์ขาวพูดกับช้างซึ่งกำลังกินใบไผ่อยู่ติด ๆ กับทางที่ท่านจะผ่านไป ช้างอยู่ห่างกับท่านประมาณสิบวา ยืนหันก้นมาทางพระ มันยังไม่เห็นพระเวลานั้น
ท่านพระอาจารย์ขาวก็เริ่มพูดกับช้างว่า พี่ชาย เราขอพูดด้วยประโยคแรกมันยังไม่ได้ยินชัดเป็นแต่หยุดกินใบไผ่ ท่านอาจารย์ขาวพูดขึ้นอีกว่า พี่ชาย เราขอพูดด้วยพอประโยคนี้จบลง มันรีบหันหน้ามาทางพระยืนอยู่ทันที หูกางเต็มที่ และยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ท่านก็พูดซ้ำกับมันอีกว่า พี่ชาย เราขอพูดด้วยพี่ชายนั้นตัวก็ใหญ่กำลังก็มาก ส่วนพวกเราเป็นพระ ทั้งกำลังมีน้อยและกลัวพี่ชายมาก พวกเราขอเดินผ่านไปที่พี่ชายยืนอยู่นั้น ขอให้พี่ชายหลีกทางให้พวกเราบ้างพอมีทางไปได้ ถ้าพี่ชายยืนอยู่ที่นั้นพวกเรากลัวพี่ชายมาก ไม่กล้าเดินผ่านไปที่นั้นได้
พอพูดจบลง ช้างตัวนั้นรีบยืนหันหน้าเข้ากอไผ่ข้างทางทันที เอางายาว ๆ สอดเข้าไปในกลางกอไผ่ซึ่งแสดงว่าไม่ทำไมแล้ว ให้มากันได้ พอช้างหันหน้าเข้ากอไผ่เรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็บอกกันว่า ทีนี้เขาไม่ทำไมแล้ว พวกเราไปได้ ท่านอาจารย์ทั้งสองขอนิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นเดินกลาง ท่านอาจารย์ขาวเดินหน้า ท่านอาจารย์มหาทองสุกเดินหลัง พากันเดินผ่านไปที่ก้นช้างห่างกันประมาณหนึ่งวา โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผอิญพอเดินผ่านช้างไปได้ประมาณวาเศษ ขอกลดท่านอาจารย์มหาทองสุกก็ไปเกี่ยวเอาแขนงไม้ไผ่เข้าพอดี ปลดอย่างไรก็ไม่ยอมออก ต้องพยายามปลดอยู่นั้นนานจนเหงื่อโชกไปทั้งตัวเพราะกลัวช้างมาก ซึ่งกำลังยืนดูท่านอยู่ ขณะที่กำลังปลดขอกลดอยู่นั้น ได้ชำเลืองดูตาช้างตัวกำลังยืนนิ่งเหมือนตุ๊กตาอยู่นั้น ได้เห็นตาช้างตัวนั้นใสแจ๋ว น่ารักมากกว่าจะน่ากลัว แต่ใจก็ยังกลัวอยู่ในขณะนั้น พอพ้นไปได้แล้ว ใจกลับเห็นช้างตัวนั้นเป็นสัตว์ที่น่ารักมาก เมื่อผ่านกันไปหมดแล้ว ท่านอาจารย์ขาวหันมาพูดกับมันว่า พี่ชายเอ๋ย พวกเราผ่านมาแล้ว ขอให้พี่ชายหากินได้ตามสบายเถิดพอจบลงเท่านั้น เสียงมันฉุดลากกิ่งไม้ดังฟูดฟาดขึ้นทันที
เมื่อไปถึงที่พักแล้ว จึงได้สนทนากันถึงช้างตัวแสนรู้นั้นว่า เป็นสัตว์ที่น่ารักน่าสงสารมาก เป็นแต่มันพูดไม่เป็นเท่านั้น ขณะสนทนากันท่านอาจารย์มหาทองสุกกราบเรียนถามท่านอาจารย์มั่นว่า ขณะนั้นท่านอาจารย์ได้กำหนดดูจิตมันบ้างหรือเปล่าว่า ช้างตัวนี้นึกอะไรบ้าง ขณะที่พวกเราเรียกและพูดกับมันตลอดขณะที่เราเดินผ่านมันมา กระผมอยากทราบบ้าง เพราะเป็นสัตว์ที่น่ารักและน่าสงสารมาก ขณะพวกเราเรียกมัน พอได้ยินเสียงเรียก เห็นมันทำท่าตึงตังหันหน้ากลับมาหาพวกเราทันทีทันใด ราวกับจะวิ่งมาขยี้ให้แหลกละเอียดในขณะนั้นจนได้ แต่พอทราบเรื่องแล้วกลับเป็นมนุษย์ขึ้นมาในร่างสัตว์ และรีบหันหน้าเข้ากอไผ่เอางายาว ๆ สอดเข้ากลางกอไผ่ ยืนนิ่งเหมือนสัตว์ไม่มีวิญญาณ ซึ่งเป็นการบอกอย่างชัดเจนว่า พวกน้อง ๆ พากันมาเถอะ พี่ไม่ทำไมแล้ว พี่เก็บศาสตราอาวุธซ่อนมันหมดแล้ว เชื่อและมาเถอะในทำนองนี้
แล้วก็พูดเชิงหยอกเล่นกับท่านอาจารย์ขาวบ้างว่า ท่านอาจารย์ขาวก็พิสดารไม่ใช่เล่น พูดกับช้างซึ่งเป็นสัตว์ทั้งตัว ราวกับพูดกับมนุษย์ทั้งคนว่า พี่ ๆ พวกน้องกลัว ไปไม่ได้ ขอให้พี่หลีกทางให้หน่อย พวกน้องจะได้ไปกันได้ ไม่ต้องกลัวพี่ไอ้พี่ก็เหมือนเทวบุตรใจมหาเวสสันดร พอได้ลูกยอเข้าไปสักลูกเท่านั้นก็อิ่มท้อง รีบจัดแจงหลีกทางให้ทันทีทันใดไม่รีรอ แต่น้องคนเล็กเซ่อเอาการ พอผ่านพี่ไปได้ขอกลดก็เกิดไปเกี่ยวกับแขนงไม้ไผ่ ปลดเท่าไร ๆ ก็ไม่ยอมออก จะพยายามให้อยู่กับพี่จนได้ ใจหายหมดขณะที่กำลังปลดขอกลดอยู่นั้น กลัวพี่จะเล่นไม่ซื่อ
ท่านพระอาจารย์มั่นพอฟังคำท่านอาจารย์มหาทองสุกพูดหยอกเล่นท่านอาจารย์ขาว ว่าฉลาดพูดกับช้างแล้ว เลยหัวเราะใหญ่ไปพักหนึ่ง จึงพูดต่อไปว่า ทำไมจะไม่กำหนดดูมันเล่า แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น นกและลิง เรายังกำหนดดูมันในบางเวลา นี่มันเรื่องถึงตายจะไม่กำหนดได้หรือ” “เวลาท่านอาจารย์กำหนดดูช้างตัวนั้นมันคิดอย่างไรบ้างผู้ถาม ท่านตอบ ทีแรกได้ยินเสียงพวกเรามันตกใจ จึงรีบหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว เป็นท่าและความคิดจะต่อสู้ พอมองเห็นพวกเราซึ่งมีสีผ้ากาสาวพัสตร์ครองอยู่ มันก็รู้ทันทีว่าเป็นเพศที่เย็นและไว้ใจได้ เพราะมันเคยเห็นมาจนชินตาชินใจแล้ว เจ้าของมันก็เคยเสี้ยมสอนมาจนพอแล้วไม่ให้ทำอันตรายแก่เพศนี้ ฉะนั้น พอพวกเราพูดกับมันซึ่งเป็นคำที่มันชอบมากอยู่แล้วว่า พี่ ๆ ดังที่ท่านขาวพูดกับมัน ก็ยิ่งทำให้มันชอบใจใหญ่และหลีกทางให้ทันที
ผู้ถาม มันรู้ภาษาที่เราพูดกับมันได้ทุกคำหรือเปล่า” “ทำไมจะไม่รู้ ไม่เช่นนั้นจะเอามันมาลากไม้เข็นซุงในป่าในเขาได้หรือ เดี๋ยวมันฆ่าตายทิ้งเปล่า ๆ สัตว์พรรค์นี้เขาต้องฝึกสอนจนมันรู้ภาษาคนได้ดีถึงจะนำมาทำงานชนิดต่าง ๆ ได้ ช้างตัวนี้อายุมันเป็นร้อยปีขึ้นไป ดูงามันซิยาวเกือบวา แล้วมันอยู่กับคนมากี่ปี แม้เจ้าของของมันก็น่ากลัวเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปียังมาเป็นควาญมันได้ มันจะไม่แสนรู้ภาษามนุษย์อย่างไรเล่า ต้องรู้อย่างไม่มีปัญหา” “ขณะที่มันหันหน้าและสอดงาเข้ากอไผ่มันคิดอย่างไรบ้างผู้ถาม  ท่านตอบ  ก็มันรู้เรื่องแล้วนั่นเองมันจึงให้ทาง ไม่คิดจะทำอะไรผู้ถาม ขณะที่พวกเราเดินผ่านมันมานั้น ท่านอาจารย์ได้กำหนดดูใจมันมาตลอดทางผ่านหรือเปล่า ว่ามันอาจคิดอย่างไรบ้าง ขณะที่พระกำลังเดินผ่านมาท่านตอบ กำหนดดูก็เห็นแต่มันให้ทางอยู่แล้วโดยไม่คิดอะไรอื่นกระผมกลัวว่าเวลาพวกเรากำลังเดินผ่านมามันอาจคิดสนุกขึ้นมา อยากทำลายพวกเราเล่นสนุก ๆ ไปตามประสาสัตว์ จึงเรียนถามอย่างนั้น
ท่านว่า หาคิดเรื่องพิสดารที่โลกเขามิได้คิดกันมาถาม ถ้าชอบคิดซอกแซกดังที่คิดถามเรื่องช้างก็คงมีหวังพ้นทุกข์ได้ในวันหนึ่งแน่นอน แต่นี้คงไม่สนใจคิด นิสัยมนุษย์เราชอบเป็นอย่างนี้มาดั้งเดิม ถ้าสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ไม่ชอบคิด แต่ที่เสียเวลาและเป็นโทษแล้วชอบคิด แบบถึงไหนถึงกัน นี่ก็จะพยายามคิดและถามเรื่องช้างไปตลอดคืน จนไม่ต้องสนใจกับธรรมะธัมโมอะไรละหรือพอถูกขู่เท่านั้นเรื่องช้างเลยจบลงทันที เพราะกลัวท่านจะเข่นใหญ่ (นี่ท่านอาจารย์มหาทองสุกเล่าให้ฟัง)
เรื่องการพูดคุยอะไรกับท่านแบบไร้สติ ว่าควรอย่างไรไม่ควรอย่างไรบ้าง นี่เคยโดนท่านดุมามากราย บางรายถึงกับเสียสติในวาระต่อไปก็มี มีพระรูปหนึ่งซึ่งมีนิสัยไม่ค่อยสุภาพนักไปพำนักอยู่กับท่านชั่วคราว เวลาท่านพูดอะไรขึ้นมาเธอชอบพูดไปตามท่านเสมอ ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ ท่านเคยเตือนบ่อยให้สนใจในหน้าที่ของตัว โดยมีสติระวังรักษาใจที่จะคิดจะพูดในเรื่องต่าง ๆ ไม่สนใจกับเรื่องของผู้อื่น นักปฏิบัติต้องรู้จักวิธีปฏิบัติตัวโดยถูกทาง ผู้มีสติอยู่กับตัวย่อมเห็นความบกพร่องของใจที่แสดงออก แต่เธอนั้นคงมิได้สนใจคิดเรื่องท่านให้อุบายสั่งสอนเท่าที่ควร จึงชอบเป็นไปตามนิสัยเสมอ วันหนึ่งเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีนิสัยที่ใคร ๆ สังเกตได้ยาก เวลาเดินไปไหนมาไหนท่านมองเห็นอะไร เช่นสัตว์ต่าง ๆ หรือผู้คนตลอดเด็ก ๆ ท่านมักจะเอาเรื่องที่ได้เห็นนั้น ๆ มาพิจารณาและพูดของท่านไปคนเดียว ดังที่เคยเขียนไว้บ้างแล้ว
วันนั้นขณะที่กำลังบิณฑบาต ท่านได้เห็นลูกวัวมีรูปร่างน่ารักที่กำลังวิ่งเพลินอยู่กับแม่ของมัน ขณะพระเดินไป มันยังมองไม่เห็นท่าน พอพระเดินไปจวนถึงตัวมันจึงหันหน้ามามองอย่างตกใจ และกระโดดวิ่งอ้าวไปหาแม่แล้วเอาหลังหนุนคอแม่ไว้ หันหน้าออกมาสู่พระ นัยน์ตาบอกว่ากลัวมาก ส่วนแม่พอเห็นลูกวิ่งไปหาก็รีบหันหน้ามองมาทางพระ พอรู้แล้วก็ทำเฉยตามนิสัยของสัตว์ที่เคยกับพระมาจำเจแล้ว แต่ลูกของมันยืนตาจับจ้องอยู่ใต้คางแม่อย่างไม่ไว้ใจ เมื่อท่านอาจารย์เห็นอาการของทั้งแม่ทั้งลูกที่แสดงอาการต่างกันเช่นนั้น จึงพูดขึ้นลอย ๆ ว่า แม่ไม่เห็นแสดงอาการกลัว แต่ลูกทำไมกลัวจนจะแบกแม่ทั้งตัววิ่งหนีไปได้ (ท่านเห็นมันอยู่ใต้คอแม่อันเป็นลักษณะแบกแม่ถึงได้พูดอย่างนั้น) พอเหลือบเห็นพระเท่านั้นก็ทั้งเผ่นทั้งร้องหาแม่ให้ช่วย
คนเราก็เหมือนกันต้องวิ่งหาที่พึ่ง ถ้าอยู่ใกล้แม่ก็วิ่งพึ่งแม่ อยู่ใกล้พ่อก็วิ่งพึ่งพ่อ อยู่กับใครก็มักจะพึ่งคนนั้น จะคิดพึ่งตัวเองไม่ค่อยมี ตอนยังเล็กก็คิดหวังพึ่งผู้อื่นแบบหนึ่ง โตขึ้นมาคิดหวังพึ่งผู้อื่นไปอีกแบบหนึ่ง แก่ตัวลงไปคิดหวังพึ่งผู้อื่นอีกแบบหนึ่ง จะย้อนจิตเข้ามาใช้อุบายหาทางพึ่งตัวเองไม่ค่อยจะมีกัน ฉะนั้น คนเราจึงมักทำตัวให้อ่อนแอ อยู่ในวัยใดก็หวังพึ่งแต่ผู้อื่น อยู่ที่ใดไปที่ใดก็หวังพึ่งแต่ผู้อื่น เลยไม่เป็นตัวของตัวเองได้ตลอดกาล พระเราก็เหมือนกันบวชมาในศาสนาจะศึกษาก็เกียจคร้าน จะปฏิบัติก็กลัวเป็นทุกข์ลำบาก เพราะความขี้เกียจไม่ยอมให้ทำ คิดอะไรที่จะเป็นประโยชน์บ้าง พอคิดจะลงมือทำความขี้เกียจก็มาคอยกันท่าไว้เสีย เลยไม่มีอะไรสำเร็จได้ เมื่อไม่มีทางช่วยตัวเองได้จำต้องหวังพึ่งผู้อื่น ไม่เช่นนั้นก็ครองตัวไปไม่ได้
คำว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เลยไม่มีประโยชน์สำหรับคนไม่มีจมูกหายใจ เราผู้บวชเป็นพระและเป็นนักปฏิบัติจึงไม่ควรทำตนเป็นคนไม่มีจมูก คอยหายใจจากผู้อื่นอยู่เรื่อยไป ครูอาจารย์สั่งสอนอะไรควรนำไปคิดและพยายามทำตาม ไม่ให้หลุดมือตกสูญหายไปเปล่า ๆ พยายามคิดและทำตามท่านจนเกิดประโยชน์ขึ้นมาแก่ตนจนได้ จะต้องไม่หวังพึ่งท่านตลอดไป จมูกทางหายใจคือความรู้ความฉลาดทางระบายทุกข์น้อยใหญ่ออกจากใจก็พอมีทางอาศัยตนได้ ชื่อว่าเป็นพระขึ้นมาโดยลำดับ จนกลายเป็นพระสมบูรณ์แบบและพึ่งตนเองได้อย่างเต็มที่
ท่านพูดเป็นเชิงสอนพระหรือสอนใครก็สุดแต่ผู้จะพิจารณานำมาสอนตน คำพูดท่านยังไม่จบเรื่องซึ่งพอจะแทรกขึ้นในระหว่างท่านหยุดชั่วคราว แต่พระองค์ไม่ค่อยพิจารณานักก็พูดพล่ามไปตามท่าน โดยมิได้สำนึกตัวว่าควรหรือไม่ควรเพียงไร ความบ้าของเธออาจจะเข้าไปกระทบธรรมภายในท่านอย่างแรง จึงทำให้ท่านหันหน้ากลับมาชำระเสียบ้าง พอให้พระองค์ที่มีสังวรธรรมพลอยตกตะลึงกลัวไปตาม ๆ กัน ใจความว่า ท่านนี้จะบ้าเสียแล้วกระมังนี่ พอตามองเห็นค้อนเห็นไม้ที่ใครโยนมาแต่ทิศใดแดนใดก็คอยแต่จะโดดกัดร่ำไปเหมือนสุนัขบ้า ไม่มองดูใจที่กำลังจะบ้าอยู่ขณะนี้บ้างเลย ผมว่าท่านจะบ้าแล้วนะ ถ้ายังขืนปล่อยให้น้ำลายไหลออกแบบไม่มีสติดังที่เป็นอยู่ขณะนี้ว่าเท่านั้นก็หันกลับและเดินเข้าที่พักไม่พูดอะไรต่อไปอีก
มองดูพระองค์นั้นหน้าตาพิกลอย่างพูดไม่ออก ตอนมาถึงที่พักแล้ว ขณะฉันก็เห็นเธอฉันนิดเดียว พอเห็นอาการอย่างนั้น ต่างองค์ก็ต่างนิ่งเฉย ทำเหมือนไม่รู้และไม่เกี่ยวข้องกับเธอ เกรงว่าจะอาย เวลาอื่นก็ทำเหมือนไม่มีอะไร ต่างองค์ต่างอยู่และบำเพ็ญภาวนาไปตามที่เคยปฏิบัติมา พอตกกลางคืนเงียบ ๆ ได้ยินเสียงร้องโวยวายขึ้นแบบคนไม่มีสติ พูดไม่ได้ศัพท์ได้แสง พอทราบเหตุต่างองค์ต่างก็รีบไปดูที่เสียงปรากฏขึ้น ก็ได้เห็นพระองค์นั้นนอนร่ายมนต์บ่นเพ้อทิ้งเนื้อทิ้งตัวอยู่บริเวณที่พักนั้นแบบคนไม่มีสติเอาเลย แต่พอจับใจความได้เป็นบางตอนว่า เสียใจที่ได้ล่วงเกินท่านอาจารย์โดยไม่รู้กาลเทศะใครก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน และต้องรีบไปตามชาวบ้านมาช่วยพยาบาลรักษา คือหายาแก้ลมเป็นต้น มาให้เธอฉัน คนนั้นบีบคนนี้นวดตามบริเวณร่างกายอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็สงบและนอนหลับได้จนสว่าง
พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมารับเธอไปหาหมอฉีดหยูกยาให้เธอ อาการก็พอลดลงบ้าง แต่ยังมีการกำเริบเป็นคราว ๆ พอค่อยยังชั่วบ้างก็ส่งเธอกลับบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่าโรคหายหรือเป็นตายอย่างไร ผู้เขียนก็ทราบจากพระที่อยู่ด้วยกันกับเธอในเวลานั้นเล่าให้ฟัง ทั้งนี้พูดเรื่องโดนดุ ถ้าโดนพอเบาะ ๆ ก็พอให้ผู้ถูกดุได้สติและระวังตัวต่อไป ถ้าหาเรื่องให้ถูกโดนดุอย่างหนักและผู้ถูกดุ ไม่มีสติปัญญาพอจะถือเอาประโยชน์ได้ มักมีทางเสียได้ดังที่ปรากฏมา ฉะนั้น ผู้อยู่กับท่านจึงอยู่ด้วยความระวังสำรวมอย่างยิ่ง จะตีสนิทคุ้นเคยในฐานะว่าเคยอยู่กับท่านมานานย่อมไม่ได้ เพราะนิสัยท่านเป็นนิสัยที่ไม่คุ้นกับใครเอาง่าย ๆ แต่ไหนแต่ไรมา ผู้อยู่กับท่านจึงนอนใจไม่ได้ แม้ระวังตัวอยู่เหมือนแม่เนื้อระวังนายพรานก็ยังถูกโดนยิงจนได้ 
เท่าที่ทราบจากครูอาจารย์ที่เคยอยู่กับท่านมาก่อนว่า ถ้ามีเฉพาะท่านที่มีภูมิจิตใจสูงอยู่กับท่าน การวางตัวท่านก็ปล่อยตามนิสัยที่รู้จักท่านดีแล้ว คือแสดงกิริยามรรยาทธรรมดาสบาย ๆ เหมือนผู้ใหญ่อยู่ด้วยกัน ไม่ค่อยเข้มงวดกวดขันนัก แต่การเปลี่ยนแปลงมรรยาท ท่านรู้สึกเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วจนตามแทบไม่ทัน อยู่สถานที่แห่งหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง ตามแต่เหตุการณ์ที่ควรเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่บุคคลนั้น และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วทั้งไม่ซ้ำรอยกันเลย นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสำหรับผู้ไม่สามารถทำอย่างท่านได้ เวลาว่างโอกาสดี ๆ ท่านเล่านิทานให้ฟัง ซึ่งโดยมากมักขัน ๆ และน่าหัวเราะทั้งนั้น จึงขอยกเรื่องท่านมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเล็กน้อย พอทราบว่าคน ๆ เดียวมีการเปลี่ยนแปลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์
คือสมัยท่านเป็นฆราวาสกำลังแตกหนุ่ม ท่านเคยเป็นหมอลำหมอเพลง คราวหนึ่งท่านขึ้นไปขับลำทำเพลงประชันกันกับหญิงสาว ซึ่งเป็นนักประชันที่มีชื่อคนหนึ่งในงานใหญ่ มีคนไปในงานนั้นเป็นพัน ๆ ท่านนึกสนุกขึ้นมาก็ขึ้นไปบนเวทีขอประชันเพลงกับหญิงคนนั้น หรือท่านอาจมีรักเขาบ้างก็ทราบไม่ได้ จึงเกิดความฮึกหาญขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง หญิงนั้นยินดีเป็นคู่แข่งกับท่าน พอเริ่มกลอนประชันยังไม่ถึงไหน ท่านก็เป็นฝ่ายแพ้กลอนเขาเข้าไปสองสามกลอนแล้ว พอดีมีเทวบุตรมาโปรดไว้ทัน คือในงานนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ซึ่งเวลานั้นท่านเป็นฆราวาสและอยู่ในวัยหนุ่มเช่นเดียวกัน แต่อายุแก่กว่าท่านอาจารย์มั่นบ้าง ได้ไปในงานนั้นด้วย และเข้าฟังเพลงระหว่างท่านอาจารย์มั่นซึ่งเป็นชายหนุ่ม กับหญิงสาวคนนั้นขับเคี่ยวกันในเชิงกลอนต่าง ๆ
ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ เห็นท่าไม่ได้การ เพราะฝ่ายเราคือท่านอาจารย์มั่นแพ้เขาไปหลายกลอนแล้ว ถ้าตกดึกไปกว่านี้ คงจะลงเวทีไม่ได้แน่ อาจจะถูกหญิงสาวคนนั้นหามลงแบบไม่มีหน้าติดตัวลงมาเลย เพราะหญิงสาวเป็นนักต่อสู้มาหลายเวทีแล้ว ส่วนคนของเราเพิ่งจะเริ่มขึ้นเวที และก็ใจปํ้าฮึกหาญสำคัญ โดดขึ้นสู้กับเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอน แม้จะเป็นเสือตัวเมียมันก็มีเขี้ยวเต็มปากอย่างพอตัว แต่เสือเราแม้จะเป็นเสือตัวผู้แต่ฟังน้ำนมมันก็เพิ่งจะออกไม่กี่ซี่ ขืนให้สู้ต่อไปเสือตัวเมียต้องถลกหนังมันเข้าตลาดแน่ ๆ อ้ายมั่นนี่มันไม่รู้จักเสือ มันนึกว่าแต่สาว ๆ เท่านั้น แต่มันไม่รู้จักตาย เราต้องเข้าช่วยเอาหนังมันไว้ก่อนครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นหนังมันจะเข้าตลาดแน่นอน
พอคิดแล้วก็โดดขึ้นบนเวทีทำท่าว่า อ้ายมั่น อ้ายห่า กูเที่ยวตามหามึงแทบตาย แม่มึงตกเรือนสูง ๆ ลงมากองอยู่กับพื้น จะตายหรือยังก็ไม่แน่ใจเลย พอกูโผล่เข้าไปจะช่วย เขาก็ใช้ให้กูมาเที่ยวตามหามึงตั้งแต่วัน ๆ จนป่านนี้ กูตามหามึงแทบตาย ข้าวก็ยังไม่ตกท้องเลย กูจะเป็นลมตายอยู่เดี๋ยวนี้
ทางอ้ายมั่นก็ตกตะลึง หญิงสาวก็ตกตะลึงในอุบายไปตาม ๆ กัน ฝ่ายอ้ายมั่นอดไม่ได้รีบถามขึ้นมาทันทีว่า แม่กูเป็นยังไงวะ อ้ายจันทร์” (ชื่อท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ว่านายจันทร์ สมัยเป็นฆราวาส ท่านพูดกันตอนเป็นฆราวาส) ฝ่ายอ้ายจันทร์ทำเป็นอิดโรยจะเป็นลมตายอยู่บนเวทีว่า กูคิดว่าแม่มึงตายแล้ว ส่วนกูกำลังจะตายด้วยทั้งหิวข้าวทั้งเป็นลมพอจบคำ อ้ายจันทร์ก็ฉุดแขนอ้ายมั่นทำท่าลากกันลงมาจากเวทีท่ามกลางคนเป็นพัน ๆ ตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน แล้วพากันออกวิ่งผ่านฝูงคนไปอย่างรีบด่วน พอพ้นหมู่บ้านนั้นไปแล้ว อ้ายมั่นถามซ้ำอีกอย่างกระหาย อยากทราบเป็นกำลังว่า แม่กูไปทำอะไรถึงได้ตกเรือนขนาดกองกับพื้นเล่าฝ่ายอ้ายจันทร์ตอบว่า กูเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุชัด พอมองเห็นและจะวิ่งเข้าไปช่วย เขาใช้ให้วิ่งตามหามึง กูวิ่งมานี่ จะไปรู้เรื่องละเอียดลอออย่างไรเล่า” “เท่าที่มึงดูบ้างแล้วแม่กูพอจะตายไหมอ้ายมั่นถามอย่างกระวนกระวาย อ้ายจันทร์ตอบว่า ตายหรือยังอยู่เราจะไปดูเองอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ
พอเลยหมู่บ้านไปไกล กะประมาณว่าอ้ายมั่นไม่กล้ากลับมาคนเดียวได้อีกแล้ว (สมัยก่อนหมู่บ้านอยู่ห่างกันมาก สัตว์เสือผีก็ชุม ใคร ๆ จึงไม่กล้ามาคนเดียวในเวลาค่ำคืน) จึงเปลี่ยนกิริยาอาการทุกอย่างเสียใหม่ แล้วบอกกับอ้ายมั่นโดยตรงว่า แม่มึงไม่ได้เป็นอะไรหรอก ที่กูทำท่าอย่างนั้นกูทนดูมึงติดกลอนอียายเมียมึงคนนั้นไม่ไหว กลัวมันจะถลกหนังมึงไปขายตลาด ซึ่งเป็นการขายหน้ากู และขายหน้าบ้านเราว่าอ้ายมั่นสู้ผู้หญิงไม่ได้ ให้เขาเปิดผ้าลบลายเล่นเหมือนเสือตายแล้ว กูจึงได้คิดอุบายหลอกมึงและหลอกอียายเมียมึงให้มันตายใจ และให้ชาวบ้านเชื่อถือได้ว่ามึงยังไม่หมดประตูสู้ แต่ต้องหนีไปเพราะเหตุสุดวิสัย แล้วฉุดมึงหนีเพื่อไม่ให้ใครเขาจับพิรุธได้ แม้อียายเมียคู่แข่งมึงก็เห็นอดตกตะลึงไปตามอุบายอันแยบคายของกูไม่ได้ มันต้องสนใจฟังและมองตามพวกเราด้วยความตกใจแสนสงสารแม่มึงและมึงไปตามเรา เห็นไหมอุบายกูช่วยมึงออกจากนรกผู้หญิง คราวนี้มึงคิดว่าแยบคายดีพอใช้ไหม
พออ้ายจันทร์พูดจบลง อ้ายมั่นอุทานว่า โอ้โฮ น่าเสียดาย อ้ายห่านี่ทำกูถึงขนาดนี้เทียวนะ กูกำลังคันฟันห้ำหั่นกับมันอย่างสนุกสนาน มึงมาฉุดกูออกจากถ้วยลาภ แหม มึงทำกูอย่างถนัด กูมิได้นึกเลยอ้ายจันทร์ กูอยากคืนไปซ้ำมันอีก เอาหนังเข้าตลาดในคืนวันนี้จนได้อ้ายจันทร์ตอบ โธ่ มึงจะตายกูช่วยชุบชีวิตไว้ได้แล้ว มึงยังกลับทำท่าอวดเก่งอยู่อีก เดี๋ยวกูจะผลักหลังกลับคืนไปให้อียายเมียมึงเอาเนื้อขึ้นเขียงเสียในคืนนี้ไม่ดีหรืออ้ายมั่นออกท่าว่า ที่กูทำท่าติดกลอนมันบ้างพอให้มันได้ใจไปหน่อยนั้น เพราะกูก็เห็นมันเป็นผู้หญิง พอตกดึกกูก็มัดมันเข้ากระสอบเอาไปขายกินอย่างหวาน ๆ ยังไงล่ะ มึงยังไม่รู้อุบายกู เป็นอุบายเสือหลอกลิงเลย
ถ้ามึงเก่งจริงดังที่คุยโม้ เพียงกูคิดอุบายนิดหน่อยฉุดมึงขึ้นจากนรกผู้หญิงมึงยังตกตะลึง ทั้งจะร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเมียมึงอย่างไม่คิดอายว่าตัวเป็นผู้ชายเลย แล้วใครจะชมมึงว่าฉลาดพอจะเอาอียายเมียมึงเข้ากระสอบล่ะ กูคิดเห็นแต่มันจะมัดมึงโยนลงเวทีต่อหน้าคนจำนวนพัน ๆ เท่านั้น มึงอย่าคุยโม้ไปมาก รีบสาธุอุบายเมตตากูที่มีต่อมึงดีกว่าอ้ายแพ้ผู้หญิงสุดท้ายคืนนั้นทั้งอ้ายจันทร์ทั้งอ้ายมั่นเลยไม่ได้ดูงานตามความคาดหมายไว้ เพราะเรื่องนี้เป็นสาเหตุให้ต้องพรากงาน
ฟังนักปราชญ์ทั้งสองโต้กัน แม้สมัยท่านยังเป็นฆราวาสก็ยังรู้สึกน่าฟังมาก ถึงจะเป็นเรื่องโลก ๆ แต่ก็เป็นเชิงของคนฉลาดพูดกัน จึงเป็นที่ซาบซึ้งจับใจในอุบายที่แสดงออกทุก ๆ ประโยค ฟังแล้วทำให้เพลินใจประหนึ่งท่านสนทนากันอยู่ต่อหน้าเราฉะนั้น เรื่องของท่านทั้งสองโต้กันยังมีอีกแยะ แต่เห็นว่าเท่าที่กล่าวมาพอเป็นคติแก่พวกเราพอสมควร อุบายของท่านทั้งสองแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีเค้าแห่งความฉลาดมาแต่เป็นฆราวาส ฉะนั้นเวลามาบวชเป็นพระ ท่านจึงเป็นจอมปราชญ์ทั้งสององค์ในสมัยปัจจุบัน ปรากฏชื่อลือนามกระเดื่องเลื่องลือทั่วประเทศไทยว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน ที่เขียนว่าอ้ายจันทร์และอ้ายมั่นนั้นเขียนตามที่ทราบจากท่านเล่าให้พระฟัง
เวลาท่านเปิดโอกาสสบาย ๆ กับบรรดาศิษย์ที่เคร่งเครียดต่อการระวังในท่านมาเป็นประจำ  หากเป็นการไม่บังควรประการใด ก็ขอประทานโทษท่านเจ้าพระคุณทั้งสองและท่านผู้อ่านทั่ว ๆ ไปด้วย ถ้าจะเลี่ยงเขียนตามศัพท์นิยมก็ไม่ถนัดใจ ที่ท่านเรียกกันเช่นนั้น เข้าใจว่าท่านนิยมนับถือกันด้วยคำพูดทำนองนั้น ซึ่งเราเองก็เคยใช้ต่อกันระหว่างบุคคลที่สนิทสนมกันตามฐานะและวัยเสมอมา จึงได้เขียนตามเค้ามาดั้งเดิม จะหยาบคายหรือละเอียดประการใด ก็ประสงค์ให้เป็นไปตามเรื่องเดิมซึ่งเป็นธรรมชาติแท้ที่ท่านใช้กันในเพศและวัยนั้น รู้สึกสะดวกใจ และอาจมองเห็นภาพท่านทั้งคราวเป็นฆราวาสที่กำลังคะนองรื่นเริง และภาพที่เป็นนักบวชซึ่งสละความเป็นโลกออกอย่างสิ้นเชิง มีแต่ความอัศจรรย์ล้วน ๆ อยู่ในองค์แห่งพระเวลาท่านบวชแล้ว
ขณะท่านเล่านิทานให้ฟัง น่าฟังมาก โดยมากก็เป็นเรื่องสมัยปัจจุบันมากกว่าจะเป็นนิทาน ท่านชอบชมเชยความฉลาดของเจ้าคุณอุบาลีฯ ให้ฟังเสมอ ครั้งหนึ่งท่านเล่าว่า ท่านสนทนากับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ถึงพระเวสสันดร พอได้โอกาสท่านเรียนถามถึงแม่ของพระนางมัทรีคือใคร ไม่เห็นกล่าวไว้ในคัมภีร์ หรือค้นหาไม่พบต่างหาก ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็ตอบขึ้นทันทีว่า ท่านยังไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินแม่นางมัทรีบ้างหรือ เขาเห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง ท่านมัวไปหานางมัทรีอยู่ที่ไหนถึงไม่ได้เห็นกับเขา ท่านพระอาจารย์มั่นกราบเรียนว่ายังไม่เคยเห็นเลย ไม่ทราบว่าอยู่ในคัมภีร์ไหน ท่านตอบทันทีว่าจะอยู่ในคัมภีร์อะไรที่ไหนกัน ก็สาวอบผู้พูดเสียงดัง ๆ บ้านแกหลังใหญ่ ๆ อยู่สี่แยกทางออกไปวัดยังไงล่ะ
ท่านพระอาจารย์มั่นเกิดงง ต้องเรียนถามท่านอีกว่า สี่แยกที่ไหนและทางออกไปวัดไหน ท่านไม่เห็นกล่าวเรื่องวัดเรื่องวาไว้เลย ท่านตอบว่า ก็แม่นางมัทรีบ้านแกอยู่เกือบติดกับบ้านท่านอย่างไรล่ะ ทำไมยังไม่รู้กระทั่งนางมัทรีและสาวอบแม่นางมัทรีเข้าอีก ท่านนี้แย่จริงๆ  เพียงนางมัทรีและสาวอบในหมู่บ้านเดียวกันยังไม่รู้อีก ท่านจะไปเที่ยวหาแม่นางมัทรีในคัมภีร์ไหนกันอีก ผมก็แย่แทนท่านถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านอาจารย์ก็ระลึกได้ทันทีเมื่อท่านพูดว่า นางมัทรีและสาวอบที่อยู่ในบ้านเดียวกัน แต่ก่อนมัวไปนึกภาพในเรื่องพระเวสสันดรในคัมภีร์โน้นจึงทำให้งงไปนาน ท่านว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านฉลาดโต้ตอบด้วยอุบายแปลก ๆ อย่างนี้เสมอมา ท่านมักโต้ตอบแบบศอกกลับเสมอ ทำเอาผู้ฟังงงไปตาม ๆ กันและก็ได้สติปัญญาจากอุบายท่านตลอดมา ท่านเล่าทั้งหัวเราะขันตัวท่านเองที่ไม่ทันลูกไม้ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ
ท้าวสักกเทวราชบนสวรรค์มาเยี่ยมท่านเสมอ
ท่านพักจำพรรษาอยู่บ้านน้ำเมา อำเภอแม่ปัง เชียงใหม่ ท่านว่าท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์ มีท้าวสักกเทวราชเป็นหัวหน้ามากเป็นพิเศษ แม้หน้าแล้งท่านหลีกออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียวอยู่ในถ้ำดอกคำ ก็มีท้าวสักกเทวราชพาพวกเทวดามาเยี่ยมท่าน ซึ่งมาแต่ละครั้งเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด ถ้าพวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้เขาเข้าใจวิธีฟังธรรมก่อนที่ท่านจะแสดงให้ฟัง โดยมากท่านแสดงเมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหารให้เขาฟัง เพราะพวกเทวดาชอบธรรมนี้มากเป็นพิเศษ ท่านพักอยู่ทั้งสองแห่งนี้ ท้าวสักกเทวราชมาเยี่ยมฟังธรรมเสมอ การต้อนรับพวกเทพทุกชั้นทุกภูมิก็ปรากฏว่ามากเป็นพิเศษกว่าที่อื่น ๆ เพราะที่นี่อยู่ลึกและสงัดมากบรรยากาศก็อำนวย
พวกนี้เคารพท่านและสถานที่ที่ท่านพักอยู่มาก แม้ทางจงกรมที่ญาติโยมเอาทรายมาเกลี่ยไว้สำหรับให้ท่านเดินจงกรมก็ไม่กล้าผ่านเข้ามา ต้องเว้นไปเข้าทางอื่น พวกพญานาคก็เช่นกัน เวลาเขาเข้ามาเยี่ยมฟังธรรมท่านก็ไม่อาจเดินข้ามทางจงกรมเข้ามา ถ้าหัวหน้าจำเป็นต้องเดินผ่านเข้ามาเป็นบางครั้ง ต้องเว้นไปทางหัวจงกรมเดินอ้อมเข้ามา บางครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์ท่านในกิจบางอย่าง เช่นเดียวกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงาน ก็ไม่กล้าเดินข้ามทางจงกรมเข้ามา ถ้ามีทรายโรยไว้ก็เอามือกวาดทรายออกเสียก่อนแล้วค่อยคลานเข้ามา พอพ้นจากนั้นแล้วค่อยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาท่าน กิริยามรรยาททุกอาการอยู่ในความสำรวมดีมาก
ท่านว่ามนุษย์เราซึ่งเป็นเจ้าของศาสนา ถ้าต่างสนใจในธรรมและมีความเคารพต่อตัวเองสมกับว่ารักตนจริง ๆ ตามความรู้สึกที่ฝังลึกอยู่ภายใน  ก็ควรมีมรรยาทเคารพศาสนาเช่นเดียวกับพวกเทวดาและพญานาคที่เขาทำกัน แม้ไม่สามารถจะมองเห็นวิธีการที่เขาทำความเคารพต่อศาสนา แต่ศาสนาก็สอนวิธีเคารพไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่มีอะไรบกพร่อง นอกจากพวกมนุษย์เราไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร และตั้งใจสั่งสมความประมาทใส่ตนจนหาที่เก็บไม่ได้เท่านั้น จึงไม่ค่อยประสบความสุขความสมหวังดังที่ปรารถนากัน
ความจริงศาสนาเป็นแหล่งผลิตมรรยาทศีลธรรมอันดีงามเพื่อผล คือความสุขความสมหวังจะมีทางเกิดขึ้นแก่ผู้สนใจตามหลักศาสนาที่สอนไว้ ท่านกล่าวเน้นหนักลงไปว่า ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ 10

หนังสือ  ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ   10 โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์ทั้งหลายจึงไม่ท้อถอยในการสร้างกุศล อันเป็นสวัสดีมงคลแก่ตนทุกเพศทุกวัย จนสุดวิสัยที่จะทำได้ไม่เลือกกาล ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ ที่เขียนวกไปเวียนมาทั้งที่พยายามจนสุดกำลัง แต่ความหลงลืมรู้สึกจะออกหน้าออกตาอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ยุ่ง หยิบหน้าใส่หลังหยิบหลังใส่หน้าไม่รู้จักจบสิ้นลงได้ ทั้งนี้เรื่องท่านผ่านไปไกลจนแทบพูดได้ว่าเกือบจบแล้ว ผู้เขียนก็ยังเก็บไม่หมดเพราะความหลงลืมตัวเดียวเท่านั้น พาให้วุ่นไม่เลิกแล้วไปได้ อ่านต่อไปท่านก็ยังจะได้เห็นความเหลวไหลของผู้เขียนไปตลอดสาย เกี่ยวกับเรื่องสับสนระคนกัน ไม่เรียงลำดับไปตามแถวตามแนวที่ควรจะเป็น อีกเรื่องหนึ่งที่น่าคิดก็คือ ที่วัดหนองผือนั่นเอง เช้าวันหนึ่งขณะที่ท่านออกจากที่ภาวนาแล้วออกมาจากห้อง ท่านถามขึ้นมาเลยโดยไม่มีใครเริ่มเรื่องไว้ก่อนว่า “ พากันไปดูซิที่ใต้ถุนกุฎีเรา เห็นรอยงูใหญ่ออกไปจากที่นั่นหรือเปล่า คืนนี้พญานาคมาเยี่ยมฟังธรรม ก่อนจะไปเราบอกให้แสดงรอยไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายให้พระเณรดูกันตอนเช้าบ้าง ” พระก็เรียนตอบท่านว่า

คลิปธรรมครูบาอาจารย์

ธรรมะในลิขิต

ขอบูชาน้ำใจอันแสนประเสริฐ และงดงามยิ่งขององค์ท่าน พระธรรมวิสุทธิมงคล พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จากฉบับที่ ๑ ถึงฉบับที่ ๕๗ รวบรวมไว้โดย คุณเอี๋ยน ธัมมัญญู จังหวัดจันทบุรี ธรรมะลิขิต ฉบับที่ ๑                                                                              วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี                                                                         ๙   มีนาคม   ๒๔๙๙           เรื่องพระไตรลักษณ์ย่อมมีประจักษ์อยู่ทั้งภายนอกและภายในจิต   แม้เราจะพิจารณาเฉพาะจิต ก็ไม่ผิดจากสัจธรรม ไตรลักษณ์เป็นสัจธรรมด้วย มีอยู่ประจำจิตเราทุกท่านด้วย ข้อสำคัญก็คือให้รู้ด้วยปัญญา สังขารธรรมที่เกิด (ปรุง) ขึ้นจากจิตย่อมมีลักษณะเป็นสาม คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อริยสัจสี่รวมลงที่จิต ขันธ์ห้าเป็นอริยสัจด้วย เป็นไตรลักษณ์ด้วย ในบรรดาขันธ์ห้า ขันธ์ใดถูกจริต พึงพิจารณาขันธ์นั้นให้มาก แม้เราตั้งความระวังสำรวมอยู่เฉพาะจิต ก็ไม่ผิดจากองค์มรรค อย่างที่โยมทองแดงบอกว่าไม่ผิดนั้นอาตมาก็เห็นด้วย ฉะนั้นขอให้พยายามเป็นลำดับ คนเราถ้ามีความสงบแล้วก็เป็นสุข ถ้าไม่มีค