หนังสือ ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระ 10
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โดย พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ด้วยเหตุนี้นักปราชญ์ทั้งหลายจึงไม่ท้อถอยในการสร้างกุศล
อันเป็นสวัสดีมงคลแก่ตนทุกเพศทุกวัย จนสุดวิสัยที่จะทำได้ไม่เลือกกาล
ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ ที่เขียนวกไปเวียนมาทั้งที่พยายามจนสุดกำลัง
แต่ความหลงลืมรู้สึกจะออกหน้าออกตาอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ยุ่ง หยิบหน้าใส่หลังหยิบหลังใส่หน้าไม่รู้จักจบสิ้นลงได้
ทั้งนี้เรื่องท่านผ่านไปไกลจนแทบพูดได้ว่าเกือบจบแล้ว
ผู้เขียนก็ยังเก็บไม่หมดเพราะความหลงลืมตัวเดียวเท่านั้น
พาให้วุ่นไม่เลิกแล้วไปได้
อ่านต่อไปท่านก็ยังจะได้เห็นความเหลวไหลของผู้เขียนไปตลอดสาย เกี่ยวกับเรื่องสับสนระคนกัน
ไม่เรียงลำดับไปตามแถวตามแนวที่ควรจะเป็น
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าคิดก็คือ
ที่วัดหนองผือนั่นเอง เช้าวันหนึ่งขณะที่ท่านออกจากที่ภาวนาแล้วออกมาจากห้อง
ท่านถามขึ้นมาเลยโดยไม่มีใครเริ่มเรื่องไว้ก่อนว่า “พากันไปดูซิที่ใต้ถุนกุฎีเรา
เห็นรอยงูใหญ่ออกไปจากที่นั่นหรือเปล่า คืนนี้พญานาคมาเยี่ยมฟังธรรม
ก่อนจะไปเราบอกให้แสดงรอยไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายให้พระเณรดูกันตอนเช้าบ้าง” พระก็เรียนตอบท่านว่า “มีรอยงูตัวใหญ่มาก
ซึ่งออกจากใต้ถุนท่านอาจารย์เข้าไปในป่าโน้น งูตัวนี้มาจากไหนก็ไม่รู้
ที่อื่นรอยไม่ปรากฏ แต่มาปรากฏเอาตรงใต้ถุนนี้เท่านั้น ลานวัดเตียน ๆ
รอยมาจากทางไหนก็พอจะเห็นได้ แต่นี่ไม่เห็นมาจากที่อื่นเลย
มามีเฉพาะใต้ถุนนี้แห่งเดียวนอกนั้นไม่มี”
ท่านตอบว่า
“จะให้มีมาจากที่ไหนกันก็พญานาคลงไปจากกุฎีเราเมื่อคืนนี้
ก่อนจะไปเราบอกให้แสดงรอยไว้ใต้ถุนกุฎีเรา” ดังนี้ ถ้ามีพระเณรเห็นรอยงูก่อนแล้วขึ้นไปเรียนถามท่านเป็นต้นเหตุก่อนก็จะไม่น่าคิดนัก
แต่นี้ท่านถามออกมาเลยทีเดียว โดยไม่มีใครปรารภเรื่องนี้ไว้ก่อน
ประกอบกับรอยงูใหญ่ที่ใต้ถุนท่านก็มีจริง ๆ ดังที่ท่านถามด้วย
นี้แสดงว่าท่านรู้เห็นทางใน และให้พญานาคแสดงรอยไว้ให้พระเณรดูทางตาเนื้อ
เพราะตาในบอด ไม่สามารถมองเห็นได้เวลาพญานาคมาเยี่ยมฟังธรรมท่าน
แล้วก็พากันเรียนถามท่านในโอกาสว่าง
ๆ ว่า เวลาพญานาคมาหาท่านอาจารย์ เขามาในร่างแห่งงูหรือในร่างอะไร ท่านตอบว่า
พวกนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ถ้ามาเพื่ออรรถเพื่อธรรมดังที่มาหาเรา ก็มาในร่างแห่งมนุษย์เป็นชั้น
ๆ ตามแต่ยศใครสูงหรือต่ำ ถ้าเป็นพญานาคก็มาในร่างแห่งกษัตริย์ มีบริวารห้อมล้อมมา
กิริยาอาการทั้งหมดเหมือนกิริยาของกษัตริย์ทั้งสิ้น
การสนทนาก็เหมือนพระสนทนากับกษัตริย์ ใช้ราชาศัพท์กันเป็นพื้น
บรรดาบริวารที่มาด้วยก็เหมือนข้าราชการตามเสด็จพระมหากษัตริย์
ต่างมีมรรยาทเรียบร้อยสวยงาม มีความเคารพกันมากยิ่งกว่ามนุษย์เรา
ขณะที่นั่งฟังธรรมไม่มีใครแสดงกิริยากระดุกกระดิกอันเป็นการแสดงความรำคาญ
ขณะสนทนาธรรมก็มีเฉพาะหัวหน้าเป็นผู้ทำหน้าที่แทน ใครสงสัยก็พูดกับหัวหน้า
หัวหน้าก็เรียนถามท่านแทน ท่านก็อธิบายให้ฟังตามจุดที่สงสัย
จนเป็นที่เข้าใจแล้วก็พากันลากลับ
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราจะพอเชื่อตามท่านได้แม้ตนไม่รู้
คือมีพระองค์หนึ่งเห็นท่านชอบสูบบุหรี่ตราไก่ เลยสั่งโยมไปแลกเปลี่ยนมาถวายท่าน
เวลาเขานำมาให้แล้วก็นำไปถวายท่าน ขณะนั้นท่านก็ยังไม่ว่าอะไร คงยังไม่มีเวลาพิจารณา
เพราะขณะที่พระนำบุหรี่ไปถวาย เป็นเวลาที่ท่านกำลังพูดธรรมะอยู่
จึงพากันฟังธรรมท่านไปเรื่อย ๆ จนจบแล้วพากันกลับมา
พอเช้าวันหลังพระองค์นั้นขึ้นไปหาท่านอีก ท่านบอกว่า “บุหรี่กล่องนี้ให้เอาไปเสีย ผมไม่สูบ
เพราะเป็นบุหรี่หลายเจ้าของ” ทางพระองค์นั้นเรียนท่านว่า
“บุหรี่นี่เป็นของกระผมคนเดียว
ที่สั่งให้โยมไปแลกเปลี่ยนมาวานนี้มิได้เป็นของหลายเจ้า
กระผมสั่งเขาให้หามาถวายท่านอาจารย์โดยเฉพาะ” ท่านก็พูดยืนคำอยู่อย่างนั้นว่า “ให้เอาไปเสีย เพราะบุหรี่นี้มีหลายเจ้าของเป็นกรรมสิทธิ์ไม่บริสุทธิ์
จะสูบเอาประโยชน์อะไร”
พระองค์นั้นก็ไม่กล้าเรียนท่านอีกเพราะกลัวถูกดุ
ต้องจำใจถือบุหรี่กล่องนั้นกลับมา
แล้วเรียกโยมคนที่สั่งให้ไปแลกเปลี่ยนนั้นมาถามเรื่องราวว่า เขาทำอย่างไรกันแน่
เมื่อถามโยมคนนั้นก็ทราบว่า
เขาเอาปัจจัยซึ่งเหลือจากที่แลกเปลี่ยนสมณบริขารของพระหลายองค์ ที่สั่งเขามาแลกเปลี่ยนบุหรี่กล่องนั้นมา
ท่านถามเขาว่า
พระองค์ใดบ้างที่สั่งและปัจจัยขององค์ใดบ้างที่โยมเอามาแลกเปลี่ยนบุหรี่กล่องนี้มา
เขาก็บอกว่าขององค์นั้น ๆ พอทราบเรื่องละเอียดแล้ว
ท่านก็รีบไปหาพระที่โยมระบุนามและบอกเรื่องราวของบุหรี่ให้ท่านทราบ
ต่างก็แสดงความยินดีต่อท่านอยู่แล้ว จึงพอใจอนุโมทนาโดยทั่วกันในขณะนั้น
พระองค์นั้นจึงได้นำบุหรี่กล่องนั้นไปถวายท่านอีก
โดยกราบเรียนสารภาพตัวว่าเป็นความผิดของตัวจริง ๆ
ที่ไม่ได้ไต่ถามโยมผู้ไปแลกเปลี่ยนโดยละเอียดถี่ถ้วนก่อน
แต่แล้วก็เป็นความจริงดังท่านอาจารย์ว่าจริง ๆ บัดนี้กระผมได้ถามโยมดูแล้วว่า
เป็นของหลายเจ้าที่เขาเอารวมกันซื้อมา ส่วนพระทั้งหลายพอทราบ
ต่างยินดีถวายท่านอาจารย์ด้วยกันทั้งหมด
ท่านก็รับบุหรี่กล่องนั้นไว้โดยมิได้พูดอะไรต่อไป
แม้หลังจากวันนั้นแล้วก็หายเงียบไปเลย
พอพระองค์นั้นกลับมาพูดเรื่องบุหรี่กับหมู่เพื่อนที่ตนไปคัดค้านท่านแต่ไม่ได้ผล
สุดท้ายก็ถูกตามคำท่าน พระที่ได้ยินคำนี้เกิดความแปลกใจว่าท่านรู้ได้อย่างไร
เพราะไม่มีใครไปกราบเรียนท่านเลย
ท่านหนึ่งพูดค้านขึ้นในสมาคมหนู
(สภาลับของพระที่แอบคุยกัน) ว่าก็ถ้าท่านเหมือนพวกเรา ๆ
ก็จะว่าท่านรู้ท่านฉลาดอย่างไรล่ะ เพราะท่านต่างจากพวกเราทุกด้านนั้นเอง
จึงได้เคารพและชมว่าท่านฉลาดจริง ที่พวกเราพากันมารุมอาศัยพึ่งร่มเงาท่านอยู่
ก็เพราะเห็นความสามารถท่านต่างจากพวกเราราวฟ้ากับดินนั่นแล ผมเองไม่สงสัย
แม้ไม่รู้อย่างท่านก็ยังเชื่อว่า ท่านรู้กว่าผม ฉลาดกว่าผมทุกด้าน ไม่มีอะไรต้องติ
จึงได้มามอบกายถวายชีวิตให้ท่านดุด่าสั่งสอน
โดยมิได้มีทิฐิมานะแสดงออกให้กระเทือนใจท่านแม้แต่น้อย ทั้งที่กิเลสมีอยู่กับใจ
แต่กิเลสมันคงกลัวท่านเหมือนกัน จึงไม่กล้าแสดงออกมาบ้างเลย
ผมเข้าใจว่าเพราะความยอมตน
ความกลัว ความเคารพเลื่อมใสท่าน ซึ่งมีอำนาจมากกว่ากิเลสประเภทเลว ๆ
ที่เคยต่อสู้กับครูหรือกับใคร ๆ มาประจำนิสัย
แต่พอมาถึงท่านแล้วมันหมอบราบไปเสียหมด
ไม่มีกิเลสตัวใดกล้าออกมาเพ่นพ่านเหมือนอยู่กับอาจารย์อื่น ๆ
ถ้าทราบว่าเรายังไม่ยอมลงท่าน ผมเองก็ไม่กล้ามาอยู่กับท่าน
แม้ขืนอยู่ไปคงไม่เกิดประโยชน์ นอกจากจะเกิดโทษโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
จะว่าอะไร
แค่นำของไปถวายท่านดังที่เห็น ๆ มา เพียงเราคิดไม่ดีในตอนกลางคืน
พอตกตอนเช้าไปกุฎีท่าน มองดูสายตาท่านแหลมคม
ราวกับจะฉีกเราให้แหลกละเอียดไปในขณะนั้นทีเดียว
ถ้าเห็นอาการอย่างนั้นอย่าขืนเข้าไปรับบริขารหรืออะไร ๆ จากมือท่าน ท่านเป็นไม่ยอมให้คนแบบนั้นรับเด็ดขาด
ที่ท่านทำอย่างนั้น ก็เพื่ออุบายทรมานความดื้อด้านของเราโดยทางอ้อม
ยิ่งกว่านั้นก็ใส่ปัญหาแทงเข้าไปในขั้วหัวใจเราให้เจ็บแสบอยู่นาน ๆ
เพื่อจะได้เข็ดหลาบเสียที แต่แปลกใจปุถุชนเรานี้มันเข็ดแต่ไม่หลาบ
คือเข็ดขณะที่ถูกของแข็งและเจ็บแสบลงลึกในเวลานั้น พอท่านแสดงอาการธรรมดากับตนบ้าง
เอาอีกแล้ว เกิดเรื่องอีกจนได้
ทั้งที่ไม่มีเจตนาจะคิดสิ่งที่เห็นว่าเป็นภัยแก่ตน
แต่มันตามอาจารย์ของเจ้าบอนนี่ (ลิง) ไม่ทันสักที
เพราะมันรวดเร็วยิ่งกว่าลิงร้อยตัวเป็นไหน ๆ
พอมาหาท่านอีกดูท่าทางแล้วชักจะเข้าไม่ติด มีสีหน้าและสายตาแปลก ๆ พอให้ระวังยาก ๆ
อยู่นั่นแล แม้เช่นนั้นมันยังไม่รู้สึกเข็ดหลาบเลย คือไม่เห็นภัยไปนาน พอไป ๆ
ชักจะเห็นสิ่งที่เคยเป็นภัยนั้น ๆ ว่าเป็นมิตรโดยไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว ฉะนั้น
จึงว่ามันเข็ดแต่ไม่หลาบ ถ้าทั้งเข็ดทั้งหลาบก็รู้สึกตัวและกลัวสิ่งนั้นไปนาน ๆ
ใจก็สงบเย็นไม่รุ่มร้อน เวลามาหาท่านก็ไม่ได้ระวังนักว่าท่านจะดุด่าต่าง ๆ
จิตผมเป็นอย่างนี้จึงหนีจากท่านไปไหนไม่ค่อยได้ เพราะไม่ไว้ใจตัวเอง
อยู่กับท่านมันกลัวและระวังอยู่เสมอ ใจก็ไม่กล้าคิดไปนอกลู่นอกทางนัก
หากมีบ้างก็รู้ได้เร็ว รีบฉุดมาทันกับเหตุการณ์ ไม่ถึงกับแสดงผลร้อนให้ปรากฏ
ผมน่ะเชื่อท่านชนิดหมอบราบเลยทุกวันนี้
ว่าท่านอาจารย์มั่นท่านรู้วาระจิตผมจริง ๆ
ส่วนท่านจะรู้วาระจิตใครหรือไม่ผมไม่สนใจ สนใจเฉพาะเรื่องท่านกับผมเท่านั้น
เพราะผมมันเป็นคนชอบดื้อไม่เข้าเรื่อง น่าให้ท่านดัดสันดาน ท่านจึงดัดเสียบ้างพอให้เข็ด
คือบางทีมันคิดบ้า ๆ ไปก็มี เมื่อมาอยู่กับท่านใหม่ ๆ โดยคิดว่า
เขาว่าท่านอาจารย์มั่นนี้รู้จิตใจคน ใครคิดอะไรท่านรู้ได้หมด ท่านจะรู้ได้หมดจริง
ๆ หรือ ถ้าท่านรู้ได้หมดจริง ๆ สำหรับเราไม่จำเป็นที่ท่านจะสนใจรู้ไปหมด
ขอให้ท่านรู้แต่ความคิดของเราที่คิดอยู่ขณะนี้ก็พอแล้ว
ถ้าท่านรู้แม้เพียงขณะจิตที่เราคิดต่อท่านอยู่เวลานี้เท่านั้น
เราจะยอมกราบท่านอย่างราบเลย
นอกนั้นเราไม่คิดเข้าบัญชีว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับท่านเลย
พอตกตอนเย็นไปหาท่าน
ดูท่าทางแทบนั่งไม่ติดพื้นเสียแล้ว ตาท่านจับจ้องมาหาเราราวกับไม่กะพริบตาเอาเลย
ขณะที่ตาจ้องมาก็เหมือนจะตะโกนจี้ใจเราอยู่ทุกขณะด้วย พอท่านเริ่มเทศน์ให้พระฟัง
เราไม่ค่อยได้เรื่องอะไร
ได้แต่ความร้อนใจอย่างเดียวและกลัวท่านจะดุเราคนเดียวที่ไปดื้อทดลองท่าน
พอท่านเริ่มเทศน์ไม่นานนัก ธรรมที่เต็มไปด้วยไม้เรียวชนิดต่าง ๆ ก็เริ่มเฉียดหลัง
เฉียดไปเฉียดมาและเฉียดใกล้เฉียดไกลเข้ามาทุกที
บางทีเฉียดมาขั้วหัวใจจนร้อนวูบและตัวไหวโดยไม่รู้สึกตัว
ยิ่งกลัวใจก็ยิ่งร้อนไม่เป็นสุขเลย ขณะนั่งฟังท่านเฆี่ยนท่านตีด้วยอุบายต่าง ๆ
พอจวนจะจบการแสดงธรรม ทนไม่ไหวต้องยอมท่านทางภายในว่า เท่าที่คิดไปนั้นก็เป็นเพียงอยากทราบเรื่องท่านอาจารย์เท่านั้น
ว่าจะรู้ใจคนอื่นจริงไหม มิได้มีความคิดจะดูถูกเหยียดหยามว่าไม่มีคุณธรรมอย่างอื่น
มาบัดนี้ได้ยอมรับแล้ว ว่าท่านอาจารย์สามารถและเก่งจริง
กระผมขอมอบกายถวายชีวิตต่อท่านอาจารย์ตลอดวันตาย ขอท่านได้เมตตาอนุเคราะห์สั่งสอนต่อไปเถิด
อย่าได้เกิดความอิดหนาระอาใจด้วยเรื่องเพียงเท่านี้เสียก่อนเลย
เราคิดยอมตนเพียงเท่านี้
การแสดงธรรมที่กำลังเผ็ดร้อนก็ค่อย ๆ อ่อนลง ๆ
สุดท้ายก็แย้มปัญหาออกมาฝากไว้วาระสุดท้ายอีกว่า
ความผิดความถูกมีอยู่กับตัวทำไมจึงไม่สนใจดูบ้าง เสือกไปหาดูเรื่องผิดเรื่องถูกของคนอื่นเพื่อประโยชน์อะไร
ความคิดชนิดนั้นหรือที่พาให้เราเป็นคนเก่งคนดี แม้จะรู้ว่าคนอื่นเก่งคนอื่นดี
แต่ถ้าเจ้าของไม่เก่งไม่ดีมันก็อยู่แค่นั้นเองไปไม่รอด
ถ้าอยากรู้เรื่องของคนอื่นว่าดีหรือไม่ดีเพียงไร
ก็ต้องดูเรื่องของตัวให้รอบคอบทุกด้านก่อน เรื่องของคนอื่นก็รู้ไปเอง
ไม่จำต้องทดลอง คนลองไม่ใช่คนเก่งคนดี ถ้าเก่งถ้าดีจริงแล้วไม่ต้องลองก็รู้
แล้วก็จบธรรมเพียงเท่านั้น
ผมเองเกือบสลบในขณะนั้น
เหงื่อแตกโชกไปทั้งตัว ยอมท่านอย่างหมอบราบและเข็ดหลาบจนป่านนี้
ไม่เคยไปหาญลองดีกับท่านอีกเลย คราวนี้เป็นคราวเข็ดหลาบขนาดหนักสำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับท่าน
ถ้าเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับท่านมันเข็ดขนาดนี้ ผมคงพ้นทุกข์ไปนานแล้ว
แต่มันไม่เข็ดแบบนี้จึงน่าโมโหจะตายไป
นี่เป็นเรื่องพระท่านแอบสนทนากันในสภาหนู
ผู้เขียนก็อยู่ในสภานั้นด้วย และมีส่วนได้เสียไปด้วยกัน จึงได้นำเรื่องนี้มาลงโดยมีบุหรี่ตราไก่เป็นต้นเหตุ
พอเป็นข้อคิดว่า ความจริงของความจริงมีอยู่ทุกแห่งทุกหนและทุกเวลาอกาลิโก
ขอแต่ปฏิบัติให้ถึงความจริงทำจริง ต้องรู้ตามความสามารถและภูมิวาสนาของตนแน่นอน
ไม่ว่าธรรมภายในคือสัจธรรม และธรรมภายนอกคือความรู้แขนงต่าง ๆ ตามภูมินิสัยวาสนาของแต่ละรายที่สร้างมา
และความปรารถนาที่ตั้งไว้ไม่เหมือนกัน แต่ผลส่วนใหญ่คือมรรคผลนิพพานนั้น
เมื่อถึงแล้วเหมือนกัน
ท่านอาจารย์มั่นท่านเป็นอาจารย์ที่ผู้อยู่ใกล้ชิดจะลืมเรื่องต่าง
ๆ และปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินไม่ได้ตลอดไปเมื่อยังมีลมหายใจอยู่ บรรดาลูกศิษย์ท่านที่เป็นพระเถระผู้ใหญ่เวลานี้มีอยู่หลายองค์ด้วยกัน
แต่ละองค์มีนิสัยวาสนาและปฏิปทาเครื่องดำเนินภายใน
ตลอดความรู้อรรถธรรมและความรู้พิเศษแปลกต่างกันไปเป็นราย ๆ
เท่าที่เขียนตอนต้นได้ระบุนามลูกศิษย์ท่านผ่านมาบ้างแล้ว
ที่ยังมิได้ระบุนามท่านก็มี จึงได้เรียนไว้ว่า เมื่อดำเนินเรื่องท่านเจ้าของประวัติไปพอสมควร
หากมีเวลาก็จะระบุนามคณะลูกศิษย์ท่านต่อไปอีกดังนี้
จึงได้เริ่มฟื้นนามลูกศิษย์ท่านขึ้นมาอีก พอทราบบ้างว่าท่านดำเนินและรู้กันอย่างไร
ท่านประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ มาอย่างไรบ้างแต่ละองค์ตามคติธรรมดา
พระพุทธเจ้าทรงเผชิญความลำบากและรู้ธรรมอย่างไรบ้าง
บรรดาสาวกก็ย่อมเดินตามรอยพระบาทที่ทรงพาดำเนิน
ตลอดความรู้ความเห็นก็เป็นไปตามร่องรอยของศาสดาแบบศิษย์มีครู
บรรดาลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันทางปฏิปทาเครื่องดำเนิน
ส่วนการประสบเหตุการณ์ภายนอกที่น่าตื่นเต้นหวาดเสียว มีต่าง ๆ
กันไปตามสถานที่อยู่บำเพ็ญและที่เที่ยวไป ไม่เหมือนกัน
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้
ก็ทำให้ระลึกเลื่อมใสและบูชาท่านอาจารย์องค์หนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ท่านอาจารย์
ที่มีการเที่ยวธุดงคกรรมฐานแตกต่างจากหมู่คณะอยู่บ้าง
จึงขอประทานโทษนำเรื่องท่านออกมาลงให้ท่านผู้อ่านได้ทราบบ้างในสมัยปัจจุบันว่า
สิ่งที่เคยมีในครั้งพุทธกาลอันเป็นส่วนภายนอกอาจยังมีในสมัยนี้ได้อยู่บ้างหรืออย่างไร
คือเราเคยได้ยินหรือได้เห็นในหนังสือ ว่าช้างมาถวายอารักขา
และลิงมาถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้าเป็นต้น เรื่องคล้ายคลึงกันในสมัยนี้ก็อาจเป็นเรื่องของท่านอาจารย์องค์นี้
จึงขอประทานออกนามท่านด้วย เพื่อเป็นหลักฐานไว้กับเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
ท่านมีนามว่า
“ท่านพระอาจารย์ชอบ” อายุคงย่างเข้า ๗๐ ปี จำไม่ถนัด
ทราบว่าท่านบวชมานาน การปฏิบัติท่านชอบอยู่ในป่าในเขาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
นิสัยท่านชอบออกเดินทางในเวลาค่ำคืน
ท่านจึงชอบเจอสัตว์จำพวกค่ำคืนมีเสือเป็นต้นเสมอ
บ่ายวันหนึ่งท่านออกเดินทางจากหล่มสัก เพชรบูรณ์ มุ่งไปทางจังหวัดลำปาง เชียงใหม่
พอจวนจะเข้าดงหลวงก็พบชาวบ้าน
เขาบอกท่านด้วยความเป็นห่วงว่าขอนิมนต์ท่านพักอยู่หมู่บ้านแถบนี้ก่อน
เช้าวันหลังค่อยเดินทางต่อไป
เพราะดงนี้กว้างมาก
ถ้าตกบ่ายแล้วเดินทางไม่ทะลุดงได้เลย ถ้าเดินไม่ทะลุป่าในตอนกลางวัน
โดยมากคนมักเป็นอาหารเสืออยู่เสมอ เพราะความไม่รู้ระยะทางใกล้ไกล
ดังนี้พอบ่ายไปแล้วเดินทางไม่ทะลุแน่ และตอนกลางคืนเสือออกมาเที่ยวหากินทุกคืน
ถ้าเจอคนแล้วมันก็ถือเป็นอาหารของมันเลย ไม่มีรายใดผ่านปากเสือไปได้
นี่ก็กลัวพระคุณเจ้าจะเป็นเช่นนั้น จึงไม่อยากให้ไปในเวลาบ่ายแล้วเช่นวันนี้
ป้ายประกาศเขาปิดไว้เพื่อผู้เดินทางจะได้อ่าน
และทราบเรื่องของดงยักษ์นี้แล้วไม่กล้าไป ยักษ์จะได้ไม่กินเป็นอาหารของมัน
ท่านถามเขาว่ายักษ์อะไรกัน
เคยได้ยินแต่โบราณท่านว่าไว้ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยได้เห็นได้ยินเลย
เพิ่งมาได้ยินเอาวันนี้เอง เขาเรียนท่านว่า
ยักษ์เสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนนั่นเองท่าน มิใช่ยักษ์อื่นที่ไหนหรอก ถ้าไปไม่ทะลุดง
เสือต้องกินเป็นอาหารแน่นอน จึงขอนิมนต์ท่านกลับคืนไปพักค้างที่บ้านแถบนี้เสียก่อน
พรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จแล้วค่อยเดินทางต่อไป
แต่ท่านไม่ยอมกลับและจะขอเดินทางต่อไปในวันนั้น
เขาเรียนถามท่านด้วยความเป็นห่วงว่า
บ่ายขนาดนี้ใครจะเดินเร็วขนาดไหนต้องมืดอยู่กลางดงใหญ่นี้ไม่มีทางพ้นไปได้เลย
ท่านไม่ฟังเสียงเขาเลย มีแต่จะไปท่าเดียว
เขาถามท่านว่า
“ท่านกลัวเสือไหม” ท่านตอบเขาว่า “กลัวแต่จะไป” ชาวบ้านเรียนท่านว่า “หากมันมาเจอแล้วอย่างไรมันก็ไม่หนีคนเลย
ต้องกินเป็นอาหารแน่นอน ถ้าท่านกลัวเสือกินคน
ท่านก็ไม่ควรไปเพราะถ้าขืนไปมันก็กินท่านจนได้” ท่านตอบว่า “ถ้ากรรมมาถึงตัวแล้วก็ยอมเป็นอาหารของมันไปเสีย
ถ้ากรรมยังสืบต่ออยู่มันคงไม่กิน” ว่าแล้วก็ลาเขาออกเดินทางไปอย่างไม่อาลัยเสียดายชีวิตเลย
พอก้าวเข้าในดงมองดูสองฟากทางมีแต่รอยเสือตะกุยดิน
ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวทั้งเก่าทั้งใหม่เต็มไปตลอดทาง ท่านก็เดินภาวนาเรื่อยไป ดูรอยเสือตามทางเรื่อยไป
ใจก็ไม่กลัว พอมืดก็ถึงกลางดงพอดี
ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงเสือโคร่งใหญ่กระหึ่มตามมาข้างหลัง
ตัวหนึ่งกระหึ่มมาทางด้านหน้า ต่างร้องมาหากัน
ตัวอยู่ข้างหลังก็ร้องใกล้เข้ามาจวนจะทันท่าน
ตัวอยู่ข้างหน้าก็ร้องใกล้เข้ามาหาท่าน และต่างตัวต่างร้องใกล้เข้ามาทุกที ๆ
ผลสุดท้ายทั้งตัวอยู่ข้างหน้าทั้งตัวอยู่ข้างหลังก็มาถึงท่านพร้อมกัน
พอมาถึงท่านแล้วยิ่งกระหึ่มใหญ่
พอเห็นท่าไม่ดี
ท่านก็หยุดยืนนิ่งปลงอนิจฺจํว่า เราคงครั้งนี้แน่เป็นครั้งยุติของชีวิต
เพราะมองไปดูตัวอยู่ข้างหน้า ก็กำลังทำท่าทำทางจะโดดมาตะครุบท่าน
ชำเลืองตาไปดูตัวอยู่ข้างหลัง ก็กำลังทำท่าจะโดดมาตะครุบท่านอยู่เช่นเดียวกัน
แต่ละตัวอยู่ห่างจากท่านราววาเศษเท่านั้น ขณะนั้นปรากฏว่าจิตกลัวจนเลยกลัว
ยืนตัวแข็งโด่อยู่กับที่ แต่สติยังดีจึงกำหนดจิตให้ดีไม่ให้เผลอ
แม้จะตายในขณะนั้นเพราะเสือกินก็ไม่ให้เสียที
พอได้สติก็กำหนดย้อนกลับจากเสือเข้ามาหาตัวโดยเฉพาะ
จิตก็รวมลงอย่างสนิทในขณะนั้น ความรู้ผุดขึ้นมาว่า เสือกินไม่ได้แน่นอน ดังนี้
จากนั้นก็หายเงียบไปเลยทั้งเสือทั้งคน ไม่รู้สึกว่าตนยืนอยู่หรือนั่งอยู่
ความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอก ตลอดร่างกายได้หายไปโดยสิ้นเชิงในเวลานั้น
ความหมายว่าเสือก็หายไปพร้อม ๆ กัน
ยังเหลืออยู่เฉพาะความรู้ที่เด่นดวงเพียงอันเดียวทรงตัวอยู่ในขณะนั้น
จิตรวมลงอย่างเต็มที่ คือถึงฐานแห่งสมาธิแท้และนานเป็นเวลาหลายชั่วโมงจึงถอนขึ้นมา
พอจิตถอนขึ้นมาตัวเองยังยืนอยู่อย่างเดิม
บ่าแบกกลดและสะพายบาตร มือข้างหนึ่งหิ้วโคมไฟเทียนไข
ส่วนไฟดับแต่เมื่อไรไม่ทราบได้เพราะจิตรวมอยู่นาน พอจุดไฟสว่างขึ้น
แล้วตามองไปดูเสือสองตัวนั้นเลยไม่เห็น ไม่ทราบว่าพากันหายไปไหนเงียบ
ขณะที่จิตถอนขึ้นมานั้นมิได้คิดกลัวอะไรเลย แต่มีความอาจหาญเต็มดวงใจ ขณะนั้นแม้เสือจะมาอีกสักร้อยตัวพันตัวใจก็ไม่มีสะทกสะท้านเลย
เพราะได้เห็นฤทธิ์ของใจและของธรรมประจักษ์แล้ว
เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้วยังเกิดความอัศจรรย์ตัวเองว่า รอดปากเสือมาได้อย่างไรกัน
และอัศจรรย์จนไม่มีอะไรเทียบได้
ขณะนั้นทำให้เกิดความรักความสงสารเสือตัวนั้น
ว่าเป็นคู่มิตรมาให้อรรถให้ธรรมเราอย่างถึงใจ แล้วก็พากันหายไปราวกับปาฏิหาริย์
ทำให้คิดถึงมันมากแทนที่จะกลัวเหมือนครั้งแรกพบ
ท่านว่าเสือโคร่งทั้งสองตัวนั้นใหญ่มาก ตัวขนาดม้าที่แข่งอยู่ที่สนามม้านางเลิ้ง
กรุงเทพฯ เราดี ๆ นี่เอง แต่ตัวมันยาวกว่าม้ามากมาย หัวมันวัดผ่าศูนย์กลางคงได้ราว
๔๐ เซ็นติเมตร ใหญ่พิลึก ไม่เคยพบเคยเห็นนับแต่เกิดมา
ฉะนั้นเมื่อเห็นมันทีแรกจึงยืนตัวแข็งโด่ราวกับตายไปแล้ว
เพียงแต่ยังมีสติดีอยู่เท่านั้น หลังจากจิตถอนขึ้นมาแล้วมีแต่ความรื่นเริงเย็นใจ
คิดว่าไปที่ไหนไปได้ทั้งนั้น ไม่คิดกลัวอะไรเลยในโลก และมิได้คิดว่าจะมีอะไรสามารถทำลายได้
เพราะได้เชื่อจิตเชื่อธรรมว่าเป็นเอกในโลกทั้งสามอย่างเต็มใจเสียแล้ว
หลังจากนั้นก็ออกเดินทางด้วยวิธีจงกรมไปในตัว อย่างเยือกเย็นเห็นผลในธรรมเต็มดวงใจ
ไม่หวั่นไหว จิตมีความระลึกคิดถึงเสือคู่มิตรทั้งสองตัวนั้นมิได้ลืมเลย ถ้าเผื่อเห็นมันอีกคราวนี้
คิดว่าจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันเล่นได้อย่างสบาย ราวกับสัตว์เลี้ยงในบ้านเราดี ๆ
นี่เอง แต่มันจะยอมให้เราลูบคลำหรือไม่เท่านั้น
การเดินทางในคืนวันนั้น
หลังจากพบเสือแล้วมีแต่ความวิเวกวังเวงและรื่นเริงในใจไปตลอดทาง
จนสว่างก็ยังไม่ทะลุดงเลย กว่าพ้นดงไปถึงหมู่บ้านก็ราว ๙ น.กว่า
จึงเตรียมครองผ้าเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านนั้น
พอชาวบ้านเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตต่างก็ร้องบอกกันมาใส่บาตร
พอใส่บาตรเสร็จเขาก็ตามท่านออกมาที่พักซึ่งวางบริขารที่ไม่จำเป็นไว้ที่นั้น
และถามถึงการมาของท่าน ท่านก็บอกว่า มาจากที่โน้น ๆ ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว
มีความประสงค์จะเที่ยววิเวกไปเรื่อย ๆ
บ้านแถบนั้นเป็นบ้านป่าบ้านดงกันทั้งนั้น
พอเห็นท่านผ่านมาจากทางดงหลวงผิดเวลา จึงพากันถามท่าน ก็ทราบว่า
ท่านเดินผ่านดงหลวงมาตลอดคืน ไม่ได้พักหลับนอนที่ไหนเลย
พวกเขาพากันตกใจว่าท่านมาได้อย่างไร เพราะทราบกันดีว่าใครก็ตามถ้าผ่านดงนี้มาผิดเวลา
ต้องเป็นอาหารเสือโคร่งใหญ่ในดงนี้กันแทบทั้งนั้น แล้วท่านมาได้อย่างไร
เสือถึงไม่เอาท่านเป็นอาหารเล่า เขาถามท่านว่า
ขณะท่านเดินผ่านดงใหญ่มาเจอเสือบ้างหรือเปล่าตลอดคืนที่มา
ท่านก็บอกว่าเจอเหมือนกัน แต่มันไม่ได้ทำอะไรอาตมา เขาไม่อยากจะเชื่อท่าน
เพราะเสือเหล่านี้คอยดักกินคนที่ตกค้างในป่าในเวลาค่ำคืนอยู่เป็นประจำ
เมื่อท่านเล่าพฤติการณ์ระหว่างท่านกับเสือเจอกันให้เขาฟังแล้ว
เขาถึงได้ยอมเชื่อว่า เป็นอภินิหารของท่านโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับรายอื่น ๆ
ซึ่งเป็นอาหารเสือแทบทั้งนั้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ไม่น้อย
เพราะปกติคนที่เดินผ่านดงที่ว่านี้ โดยมากก็มักเป็นอาหารเสือกันดังกล่าว
ความไม่รู้หนทางและระยะทางใกล้ไกล ตลอดอันตรายต่าง ๆ ที่อาจมีในระหว่างทาง
นับว่าเป็นอุปสรรคแก่การเดินทาง ไม่ว่าทางภายในคือทางใจ และทางภายนอกคือทางเดินด้วยเท้า
ย่อมอาศัยผู้เคยเดินเป็นผู้นำทางจึงจะปลอดภัย
นี่เป็นเรื่องควรคิดสำหรับพวกเราผู้กำลังเดินทาง
เพื่อความปลอดภัยและความสุขความเจริญแก่ตนทั้งปัจจุบันและอนาคต
ไม่ควรประมาทว่าตนเคยคิดเคยพูดเคยทำและเคยเดิน
โดยมากมักเป็นความเคยในทางที่ผิดมาแล้ว จึงชอบพาคนไปในทางผิดอยู่เสมอโดยไม่เลือกวัยและเพศ
ถ้าเดินไม่ถูกทาง
ท่านอาจารย์องค์นี้ชอบจะพบเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่เสมอ
ในชีวิตนักบวชที่ท่านดำเนินมา อีกครั้งหนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงค์ในประเทศพม่า
พักบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำ เสือชอบมาหาท่านเสมอแต่ไม่ทำอะไรท่าน วันหนึ่งราว ๕
โมงเย็น ท่านนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำ
โดยมิได้คาดฝันว่าจะมีสัตว์มีเสือที่อาจหาญขนาดนั้นมาหาท่าน
พอออกจากที่ภาวนาพอดีตามองไปหน้าถ้ำ
เห็นเสือโคร่งใหญ่ลายพาดกลอนตัวหนึ่งเดินขึ้นมาหน้าถ้ำที่ท่านกำลังพักอยู่
มันตัวใหญ่มาก น่ากลัวพิลึก แต่ท่านไม่คิดกลัวมัน คงจะเป็นเพราะท่านเคยเห็นสัตว์พรรค์นี้มาบ่อยครั้งก็เป็นได้
พอมันเดินขึ้นมา มันก็มองเห็นท่าน และท่านก็มองเห็นมันพอดีเช่นเดียวกัน
ขณะที่มันมองมาเห็นท่าน
แทนที่มันจะแสดงอาการกลัวหรือแสดงอาการคำรามให้ท่านกลัว แต่มันทำอาการเฉย ๆ
เหมือนสุนัขบ้าน ไม่แสดงอาการกลัวและอาการขู่คำรามใด ๆ ทั้งสิ้น
พอมันขึ้นมาถึงถ้ำแล้ว
ตามันมองโน้นมองนี้แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหินด้านทางขึ้นถ้ำสูงประมาณ ๑
เมตร ห่างจากท่านประมาณ ๓ วา นั่งเลียแข้งเลียขาอยู่นั้นอย่างสบายแบบทองไม่รู้ร้อน
และไม่สนใจกับท่านเลยทั้งที่มันก็เห็นและรู้อยู่ว่าท่านอยู่ที่นั้น
การนั่งของมันนั่งแบบสุนัขบ้าน
พอนั่งเลียแข้งเลียขาเหนื่อยก็นอนหมอบแบบสุนัขอีกเช่นกัน
แล้วเลียแข้งขาและลำตัวแบบไม่สนใจกับอะไรทั้งสิ้น
ท่านว่าท่านก็ไม่กล้าออกไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำใกล้ชิดกับที่มันกำลังนอนอยู่ได้เช่นกัน
เพราะทำให้รู้สึกหวาดเสียวเล็กน้อย เนื่องจากไปไม่เคยพบเคยเห็นมาในชีวิต
ที่เสือป่าทั้งตัวมาทำตัวเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงในบ้านเช่นนั้น
แต่ก็นั่งภาวนาได้ตามธรรมดา ไม่นึกกลัวว่ามันจะมาทำอะไรให้ตน
ตอนมันขึ้นมาทีแรกท่านก็นั่งอยู่แคร่เล็ก
ๆ นั่นเอง ส่วนมันนาน ๆ จะมองมาดูเราสักครั้งหนึ่ง และมองแบบไม่สนใจจดจ้อง
มองอย่างธรรมดา ๆ ในลักษณะเป็นมิตรมาแต่ครั้งไหนก็ยากจะพูดถูก
นับแต่มันมานั่งนอนเลียแข้งเลียขาอยู่ที่นั้นก็นานพอสมควร
นึกว่ามันจะหนีไปที่ไหนต่อไป แต่ที่ไหนได้มันกลับอยู่สบายไปเลย
ไม่สนใจว่าจะไปไหนอีก ตอนมันมาถึงทีแรกท่านก็นั่งอยู่นอกมุ้ง จนมืดแล้วท่านจึงเข้าในมุ้ง
เวลาจุดไฟและแสงไฟสว่างไปหาตัวมัน มันก็ไม่สนใจกับท่าน
คงอยู่ทำนองที่มันเคยอยู่นั่นแล จนดึกดื่นได้เวลาพักท่านก็พักตามปกติ
ท่านตื่นนอนราว ๓ น. และจุดเทียนไขสว่างขึ้นมองไปดู มันยังนอนอยู่ที่เก่า
แบบไม่สนใจกับท่านอีกเช่นเคย พอล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว
ท่านก็นั่งขัดสมาธิภาวนาต่อไปจนสว่าง เวลาออกจากที่ภาวนารื้อมุ้งขึ้นเก็บ
มองไปดูมันยังนอนสบายอยู่เหมือนสุนัขนอนอยู่ในบ้านเราดี ๆ นี่เอง
จนกระทั่งถึงเวลาจะออกบิณฑบาต
ทางออกบิณฑบาตก็จำต้องเดินผ่านมันไปที่นั่นเอง ท่านเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า
เวลาเราเดินผ่านมันไปที่นั่น มันจะมีความรู้สึกอย่างไร
และจะทำอะไรเราบ้างหรือเปล่าหนอ จนครองผ้าเสร็จ
มันก็ยังนอนมองมาทางเราด้วยสายตาอ่อน ๆ ที่น่าสงสารเหมือนสุนัขมองดูเจ้าของฉะนั้น
ท่านเลยตัดสินใจว่าต้องไปตรงนั้นแล ซึ่งห่างจากตัวมันราว ๑ เมตรกว่าเท่านั้น
ที่อื่นไม่มีทางพอจะด้นดั้นหลีกไปได้ เวลาจะไปทราบว่าท่านพูดกับมันบ้างว่า
นี่ถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้ว เราก็มีท้องมีปากมีความหิวกระหายเหมือนสัตว์โลกทั่วไป
เราจะขอทางออกไปบิณฑบาตมาฉันหน่อยนะ จงให้ทางเราบ้าง
ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ หรือจะไปเพื่อหาอยู่หากินที่ไหนก็ตามใจสะดวก
เราไม่ว่า ทราบว่ามันนอนฟังท่านเหมือนสุนัขนอนฟังเจ้าของพูดกับมันฉะนั้น
พอพูดจบคำท่านก็เดินผ่านออกมาที่มันกำลังนอนอยู่อย่างสบายนั่นแล
ขณะที่ท่านเดินผ่านมันออกมา
ตามันชำเลืองดูท่านแบบแสงตาอ่อน ๆ เหมือนจะบอกว่า ไปเถอะท่าน ไม่ต้องกลัวหรอก
ที่มานี้ก็มาเพื่อรักษาอันตรายให้ท่านนั่นเอง แล้วท่านก็เดินเข้าบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ทราบว่าท่านมิได้บอกใครให้ทราบเลย กลัวเขาจะมาทำลายมัน
พอบิณฑบาตกลับมาถึงที่มันเคยนอน มองหาที่ไหนก็ไม่เจอ
ไม่ทราบมันหายไปทางไหนเงียบไปเลย นับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยเห็นมันมาหาท่านอีก
จนกระทั่งท่านจากที่นั้นไป ท่านว่าคงไม่ใช่เสือในป่าธรรมดาเรา
อาจเป็นเสือเทพบันดาล จึงทำตัวเหมือนสัตว์เลี้ยงในบ้านได้ดี
ไม่ทำให้เป็นที่น่ากลัวอะไรเลย นับแต่ขณะมันขึ้นมาหาทีแรกจนกระทั่งมันจากไป
จึงเป็นสัตว์ที่น่ารักน่าสงสารอย่างยิ่งตัวหนึ่ง
ท่านว่าท่านคิดถึงมันอยู่หลายวัน
นึกว่ามันจะมาหาท่านอยู่เรื่อย แต่ไม่เห็นกลับมาอีกเลย
ได้ยินแต่เสียงมันร้องในเวลากลางคืนดึกสงัดแทบทุกคืน
จะเป็นเสียงมันหรือเสียงเสือตัวอื่น ๆ ก็ไม่ทราบ เพราะแถบนั้นเสือชุมมากจริง ๆ
คนขี้ขลาดไปอยู่ไม่ได้ สำหรับท่านเองท่านบอกว่าไม่นึกกลัวมันเลย ยิ่งเห็นมันมานอนเฝ้าอยู่จนตลอดรุ่ง
และมีกิริยาท่าทางเหมือนสัตว์บ้านด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้รักและสงสารมันมากกว่าจะกลัวมันเสียอีก
จากนั้นแล้วยิ่งทำให้เรามีความเชื่อธรรมในแง่ต่าง ๆ เป็นพิเศษขึ้นอีกแยะ
ท่านว่าท่านไปอยู่ประเทศพม่าถึง
๕ ปี จนพูดภาษาพม่าได้คล่องปากคล้ายกับภาษาของตัว
เหตุที่ท่านจะได้กลับมาไทยเราเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง
ญี่ปุ่นกับอังกฤษเข้าไปวุ่นวายในเมืองพม่าเต็มไปหมด ไม่ว่าในเมือง บ้านป่า ภูเขา
พวกทหารอังกฤษไปเที่ยวค้นจนหมด เพราะคนอังกฤษเคียดแค้นคนไทยมากเวลานั้น
หาว่าเข้ากับญี่ปุ่น ถ้าค้นพบคนไทยไม่ว่าหญิงชายและนักบวชจะฆ่าทิ้งให้หมดไม่มีข้อยกเว้น
ชาวบ้านที่ท่านอาศัยเขาอยู่ รู้สึกเขาเคารพเลื่อมใสและรักท่านมาก
พอเห็นทหารอังกฤษมาเที่ยวจุ้นจ้านมาก กลัวท่านจะไม่ปลอดภัย
พวกเขารีบปรึกษากันพาท่านไปซ่อนอยู่ในเขาลึกที่พวกทหารอังกฤษไม่สามารถค้นพบ
แต่ทราบว่าเขามาพบท่านเข้าวันหนึ่งเหมือนกัน
ขณะที่กำลังนั่งอนุโมทนาให้พรชาวบ้านอยู่ พวกชาวบ้านหน้าเสียไปหมด
เขาไต่ถามท่านก็บอกว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้ว ท่านมิได้เกี่ยวกับการบ้านเมือง
ท่านเป็นพระ ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเลย
พวกชาวบ้านก็ช่วยพูดกันอย่างเต็มที่ด้วยเหตุผลว่า พระท่านมิเกี่ยวกับการสงครามแบบฆราวาส
จะมาเกี่ยวข้องเอาเรื่องเอาราวกับท่านนั้นไม่ถูก
ถ้าเอาเรื่องกับท่านก็เท่ากับทำลายหัวใจของคนชาวพม่าซึ่งไม่มีความผิด
ให้เกิดความเสียหายโดยใช่เหตุ นับว่าทำไม่ถูกอย่างยิ่ง
ประการหนึ่งท่านมาอยู่ที่นี่แต่ก่อนสงคราม ท่านไม่รู้เรื่องอะไรกับการบ้านเมืองอะไรเลย
แม้คนพม่าเองยังไม่เห็นว่าท่านเป็นภัยแก่ประเทศ
ทั้งที่ประเทศพม่ากำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม
ถ้าทำลายท่านก็เท่ากับทำลายคนพม่าทั้งประเทศด้วย
ชาวพม่าไม่เห็นดีด้วยในการทำเช่นนั้น
ทหารอังกฤษหลายคนยืนพูดกันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเกี่ยวกับเรื่องท่าน
จากนั้นเขาก็แนะว่าให้รีบพาท่านหนีจากที่นี่เสียโดยเร็ว เดี๋ยวพวกอื่นมาจะลำบาก
บางทีเขาไม่ฟังคำขอร้อง ท่านอาจเป็นอันตรายได้
องค์ท่านเองขณะเข้าจับจ้องมองดูด้วยท่าทางเป็นศัตรู
ท่านมีแต่เจริญเมตตาและระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ตลอดเวลา
เมื่อเขาผ่านไปแล้ว
ญาติโยมก็พาท่านไปส่งและพาไปอยู่ในภูเขาที่ลึกลับไม่ให้เขาค้นพบ
ไม่ให้ท่านลงมาบิณฑบาต พอถึงเวลาชาวบ้านพากันแอบเอาจังหันไปถวายท่าน
นับแต่วันนั้นผ่านไปทหารอังกฤษมากวนเรื่อย ถ้าพบท่านเห็นท่านคงทำลายจริง ๆ
เขามาวุ่นวายถามหาท่านวันหนึ่งหลาย ๆ พวก
พวกญาติโยมเห็นท่าไม่ดี
กลัวท่านจะไม่ปลอดภัย จึงได้พาท่านไปส่งให้หลบหนีกลับมาเมืองไทยเรา
โดยเขามาส่งใส่ทางในป่าในเขาซึ่งเป็นทางปลอดภัย และพวกทหารอังกฤษเข้าไปไม่ถึง
เขาบอกทางท่านอย่างละเอียดไม่ให้ปลีกแวะทางเดิมที่เขาบอก
แม้ทางจะรกแสนรกก็ให้พยายามไปตามนั้น ทางนั้นเป็นทางเดินเท้าของพวกชาวป่า
เขาเดินท่องเที่ยวหากันจนทะลุถึงเมืองไทยเรา พอเขาบอกทางให้เรียบร้อยแล้ว
ท่านก็เริ่มออกเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งไม่ได้หลับนอน ทั้งไม่ได้ฉันอะไรเลย
นอกจากน้ำเท่านั้น ทั้งเดินบุกป่าฝ่าเขาแทบเป็นแทบตาย ในป่ามีแต่รอยสัตว์เต็มไปหมด
มีเสือ ช้าง เป็นต้น มิได้นึกว่าชีวิตจะรอดพ้นมาได้ นึกแต่ว่าจะตายท่าเดียว
เพราะหลงป่าถ้าเดินผิดทางเสียนิดเดียว
ตอนเช้าวันคำรบสี่ราว
๙ นาฬิกา เป็นเรื่องอัศจรรย์เกินคาด
ส่วนจะจริงเท็จแค่ไหนกรุณานำไปพิจารณาเมื่ออ่านพบเรื่องซึ่งกำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
พอท่านเดินไปถึงไหล่เขาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีความเมื่อยหิวอ่อนเพลียเป็นกำลัง
คิดว่าจะไปไม่ตลอด เหมือนใจจะขาดในเวลานั้นจนได้
เพราะเดินทางมาได้สามวันกับสามคืนเต็ม ๆ แล้ว ไม่ได้พักนอนและฉันอะไรที่ไหนเลย
นอกจากนั่งพักพอบรรเทามหันตทุกข์จากการเดินทางชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พอมาถึงที่นั้นเกิดความคิดขึ้นมาว่า
เราก็เดินทางเสี่ยงความตายมาทุกลมหายใจ จนกระทั่งบัดนี้ก็พอผ่านมาได้ยังไม่ตาย
ลมหายใจก็ยังไม่ขาดความสืบต่อ แต่นับแต่ขณะแรกที่เราออกเดินทางมาจนบัดนี้
ไม่เคยเห็นบ้านคนเลยแม้หลังคาเรือนหนึ่ง พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาตประทังชีวิตไว้บ้าง
นี่เราเลยจะตายทิ้งเสียเปล่า ๆ
จะไม่มีคนมาชุบชีวิตไว้ด้วยอาหารเพียงมื้อหนึ่งบ้างหรือ
เรามาด้วยความลำบากยากเย็นในคราวนี้
ซึ่งไม่มีคราวไหนในชีวิตของเราจะทุกข์มากเหมือนครั้งนี้
ก็เพื่อหลบภัยสงครามอันเป็นเรื่องของความตายที่มนุษย์กลัวกัน
แต่แล้วก็จะมาตายเพราะสงครามอดอยากหิวโหย และการเดินทางแบบล้มทั้งยืนนี้หรือ
ถ้าเทวบุตรเทวธิดาชั้นฟ้าบนสวรรค์มีดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้
และว่าพวกนี้มีตาทิพย์หูทิพย์ มองเห็นได้ไกลจริงดังว่า
ก็จะไม่มองเห็นพระซึ่งกำลังจะสิ้นลมตายอยู่เวลานี้บ้างหรืออย่างไร
เราเชื่อคำของพระพุทธองค์ตรัสไว้ แต่เทพฯ
ทั้งหลายที่เคยได้รับความอนุเคราะห์จากพระมามากต่อมากทั้งครั้งโน้นและครั้งนี้
จะเป็นผู้มีใจอันจืดดำจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ถ้าไม่ใจจืดก็ขอได้แสดงน้ำใจให้พระที่กำลังจะตายอยู่ขณะนี้ได้เห็นบ้าง
จะได้ชมว่าเทวธิดาเทวบุตรทั้งหลายเป็นผู้มีใจสูงและสะอาดจริง ดังชาวมนุษย์สรรเสริญ
(ที่ท่านพูดอย่างนี้ทราบว่าท่านก็เคยมีอะไร ๆ กับพวกนี้อยู่เหมือนกัน แต่ขอผ่านไป)
เป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์
บาปมีบุญมีเห็นผลทันตาซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ พอท่านนึกอย่างนั้นจบลงไม่กี่นาทีเลย
ขณะที่กำลังเดินโซซัดโซเซไปนั้น ก็ได้เห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งแต่งตัวหรูหราผิดคนชาวป่าอยู่มากราวฟ้ากับดิน
กำลังนั่งนิ่งยกเครื่องไทยทานขึ้นจบอยู่บนศีรษะ
ข้างทางที่ท่านจะเดินผ่านไปในหุบเขาอันลึก ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
ขณะนั้นท่านเกิดความอัศจรรย์ขนลุกซู่ ๆ ไปทั้งตัว ลืมความเมื่อยหิวอ่อนเพลียไปหมด
ปรากฏว่าความอัศจรรย์เต็มหัวใจ
เมื่อมองเห็นสุภาพบุรุษผู้ใจบุญนั่งรอใส่บาตรอยู่ข้างหน้าห่างกับท่านประมาณ ๔ วา
ข้างพุ่มไม้
พอท่านเดินไปถึง
สุภาพบุรุษนั้นพูดขึ้นประโยคแรกว่า “นิมนต์พระคุณเจ้าพักฉันจังหันพอบรรเทาความหิวโหยอ่อนเพลียที่นี่ก่อน
มีกำลังแล้วค่อยเดินทางต่อไป คงจะพ้นดงหนาป่าทึบในวันนี้แน่นอน” ท่านเองก็หยุดปลงบริขาร
จัดบาตรเตรียมรับบาตรกับสุภาพบุรุษนั้น เสร็จแล้วก็เข้ารับบาตร
น่าอัศจรรย์ไม่ว่าข้าวว่ากับหวานคาวทุกชิ้นที่บุรุษนั้นใส่บาตร ขณะที่เทลงในบาตร
ปรากฏว่าหอมตลบอบอวลไปทั้งป่าและทั่วพิภพ ข้าวกับก็พอดีกับความต้องการไม่มากไม่น้อย
ซึ่งล้วนแต่มีโอชารสอย่างมหัศจรรย์ทั้งสิ้นชนิดบอกไม่ถูก ถ้าพูดมากเขาก็จะว่าโกหก
แต่ความจริงได้กลายเป็นความอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตา
จนไม่สามารถพูดอย่างไรจึงจะถูกกับความจริงที่ประจักษ์ตาประจักษ์ใจในขณะนั้น
พอใส่บาตรเสร็จท่านถามว่า
“โยมมาจากไหน บ้านโยมอยู่ที่ไหน
อาตมาเดินทางมาได้สามคืนกับสี่วันนี้แล้ว ไม่เคยเจอบ้านคนเลย” สุภาพบุรุษนั้นตอบท่านว่า “ผมมาจากโน้น” ชี้มือไปสูง ๆ พิกล “บ้านผมอยู่โน้น” ท่านถามว่า “ทำไมถึงรู้ว่าพระจะมาที่นี่และมาคอยใส่บาตรถูก” เขายิ้มนิดแต่ไม่ตอบว่ากระไรเลย
จากนั้นท่านก็อนุโมทนาให้พร พอให้พรเสร็จเขาก็พูดเป็นประโยคสุดท้ายว่า “โยมจะได้ลาท่านกลับไปเพราะบ้านอยู่ไกล” ดังนี้ ซึ่งปกติเขาเป็นคนพูดน้อย
แต่มีท่าทางองอาจมากผิดคนธรรมดา ผิวกายทุกส่วนผ่องใสมากขนาดกลางคนตามวัย
รูปร่างก็ปานกลางไม่สูงนักต่ำนัก กิริยาสำรวมดีมาก
พอเขาลาท่านแล้วก็ลุกจากที่
ท่านพยายามคอยสังเกตเพราะเขาเป็นคนที่ผิดสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเขาเดินออกไปประมาณ ๔
วา ก็ลับกับไม้ต้นหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่โตนัก แล้วหายไปเลย คอยจะผ่านออกไปก็ไม่เห็น
ตาจับจ้องคอยดูเท่าไรก็ไม่เห็น ยิ่งทำให้ผิดสังเกต
ท่านจึงลุกจากที่นั่งเดินไปดูที่ต้นไม้ที่เขาผ่านไปก็ไม่เห็น มองไปมาที่ไหน
ซึ่งถ้ามีคนอยู่บริเวณนั้นต้องเห็นแน่นอน แต่นี่ไม่เห็นเลยแต่บัดนั้น
ยิ่งทำให้ท่านผิดสังเกตและเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น บุรุษนั้นทำให้ท่านประหลาดใจมาก
เมื่อไม่เห็นท่านก็กลับมาเริ่มฉันจังหัน
ข้าวก็ดีแกงก็ดี หยิบชิ้นไหนขึ้นมามันมิใช่อาหารในเมืองมนุษย์ที่เคยฉันมาธรรมดา
ความหอมหวนชวนชื่นและรสชาติเอร็ดอร่อย มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ไปเสียหมด
ทั้งข้าวและอาหารหวานคาวล้วนพอดิบพอดีกับความต้องการของธาตุทุกส่วน อะไร ๆ
ซึ่งช่างพอดีเอาเสียทุกอย่างไม่เคยพบเคยเห็น ขณะที่ฉันปรากฏว่าโอชารสของอาหารวิ่งซ่านไปทุกขุมขน
ประกอบกับความหิวโหยก็กำลังบีบบังคับอย่างเต็มที่อยู่ด้วย
เลยไม่ทราบว่ารสความหิวหรือรสอาหารเทวดากันแน่
อาหารที่สุภาพบุรุษถวายทั้งสิ้นท่านฉันหมดพอดี และพอเหมาะกับความต้องการของธาตุ
ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน ถ้าสมมุติว่าอาหารยังเหลืออยู่อีกแม้เพียงเล็กน้อยก็คงฉันต่อไปอีกไม่ได้
พอฉันเสร็จก็เริ่มออกเดินทางด้วยท่าทางแข็งแรงเปล่งปลั่งอาจหาญสุดจะคาด
ราวกับมิใช่คนที่กำลังจะสิ้นลมหายใจอยู่ในครู่ก่อน ๆ นั่นเลย
ทั้งเดินทางทั้งคิดเรื่องบุรุษลึกลับไปตลอดทาง จนลืมเหน็ดเหนื่อย และลืมระยะทางว่า
ยังใกล้ยังไกล เป็นทางผิดหรือทางถูก ลืมสนใจทั้งสิ้น
พอตกเย็นก็พ้นดงหนาป่าใหญ่พอดี ตรงกับคำสุภาพบุรุษทำนายไว้ทุกประการ
ก้าวเข้าเขตประเทศไทยเราด้วยความปีติยินดีมาตลอดทาง
วันนั้นหายความทุกข์ทรมานกายทรมานใจตลอดวัน
เมื่อเข้าถึงเขตไทยอันเป็นแดนที่เกิดของตน จึงเกิดความแน่ใจว่าเรายังไม่ตายสำหรับคราวนี้
ท่านว่าบุรุษนั้นต้องเป็นทวยเทพชาวไตรภพแน่นอน
ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญที่ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบนั้นเลย
คิดดูเวลาจากสุภาพบุรุษคนนั้นมาแล้วก็ไม่ปรากฏว่าได้พบบ้านเรือนที่ไหนอีกเลย
ทางสายนี้น่าแปลกใจ ซึ่งน่าจะมีหมู่บ้านอยู่บ้างในระหว่างทางอย่างน้อยสักแห่งหนึ่ง
เลยทำให้สงสัยไปเสียหมด กระทั่งหนทางเดินเพื่อหลบภัย
การหลบภัยก็หลบเอาเสียจริง
ๆ หลบกระทั่งผู้คนไม่เจอ จังหันก็ไม่เจอ หลบจนแทบเจอภัยคือความอดตายถึงผ่านมาได้
ท่านว่าการที่ผ่านความตายและความรอดตายมาได้ครั้งนี้
ทำให้ท่านอดคิดไปในแง่เทวาปาฏิหาริย์ไม่ได้
เพราะทางที่มาล้วนเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ช้าง เสือ หมี งู ชุกชุมมากตลอดเวลา
แต่ตลอดทางที่ผ่านมาไม่เคยเจอจำพวกสัตว์ร้ายเหล่านี้เลย
นอกจากจำพวกเนื้อที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิตเราเท่านั้น ถ้าอย่างธรรมดาแล้ว
ท่านว่าอย่างน้อยต้องเจอในวันหรือคืนหนึ่ง ๆ ถึงห้าจำพวก
เฉพาะเสือกับช้างเป็นสำคัญ น่ากลัวจะยังไม่ข้ามวันข้ามคืน
ต้องทอดทิ้งร่างกายไว้กับสัตว์ร้ายจำพวกใดจำพวกหนึ่งแน่นอน
แต่ที่ยังผ่านมาได้ราวกับปาฏิหาริย์เช่นนี้จะไม่อัศจรรย์อย่างไร
ต้องเป็นเรื่องของธรรมบันดาลหรือเทวาฤทธิ์บันดาลอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างแน่นอน เพราะก่อนจะมา
ชาวบ้านก็วิตกห่วงใยด้วยกันทั้งบ้านว่ากลัวเราจะไปไม่รอด
อันตรายที่เกิดจากสัตว์มีเสือ ช้าง เป็นต้น แต่เขาก็หาทางหลีกเลี่ยงช่วยเราไม่ได้
ถ้าขืนก็ไม่ได้ คือขืนอยู่พม่าอีกต่อไปก็ยิ่งแน่ต่ออันตรายจากสงครามและทหารอังกฤษ
จึงช่วยกันคิดเพื่อแบ่งหนักให้เป็นเบาลงบ้าง
โดยส่งเราข้ามเขตอันตรายของมนุษย์กระหายเลือดไปเสีย
เพื่ออนาคตของเราที่อาจจะยังสืบต่อไปอีกนาน ถ้าเขาไม่ฆ่าเสียในระยะนี้
จึงได้ฝืนเดินฝ่าอันตรายนานาชนิดมาแทบเอาตัวไม่รอดดังนี้
กรุณาท่านผู้อ่านพิจารณาดู
ผู้เขียนได้ยินมาอย่างนี้ไม่กล้าตัดสินเอาคนเดียว
แบ่งให้ท่านผู้อื่นได้มีส่วนวินิจฉัยด้วย แต่อดที่จะอัศจรรย์ในเหตุการณ์ไม่ได้
ที่ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปให้เห็นอย่างชัดเจน
นับว่าชีวิตธุดงคกรรมฐานของท่านอาจารย์องค์นี้สมบุกสมบันมาก
นอกนั้นยังมีประสบการณ์ปลีก ๆ ย่อย ๆ เรื่อยมา เพราะท่านชอบอยู่แต่ป่าแต่เขาตลอดมา
ไม่ค่อยเห็นท่านเข้ามาเกี่ยวข้องกับฝูงชน ท่านอยู่ลึกไม่มีใครกล้าเข้าไปนิมนต์ถึง
พระปฏิบัติสายท่านพระอาจารย์มั่นท่านมักอยู่แต่ในป่าในเขา
เนื่องจากองค์ท่านอาจารย์เองพาดำเนินมาและส่งเสริมบรรดาศิษย์ในทางนั้น
เท่าที่สังเกตท่านตลอดมา ท่านชอบพูดชมป่าชมเขาประจำนิสัย
ที่ท่านชอบอยู่ป่าอยู่เขาตลอดมา ท่านว่าแม้รู้ธรรมมากน้อย
หยาบละเอียดเพียงไรก็ชอบรู้อยู่ตามป่าตามเขาแทบทั้งนั้น ไม่ค่อยรู้ธรรม
พอให้มีความสงบเย็นเพราะอยู่ในที่เกลื่อนกล่นบ้างเลย
แม้ธรรมที่นำมาสั่งสอนหมู่คณะอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้มาจากความรอดตายในป่าในเขานั่นแล
หลังจากท่านมรณภาพแล้วโดยทางรูปกาย
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนิมิตที่ปรากฏเป็นองค์แทนท่าน
กับความรู้ทางจิตตภาวนาของบรรดาศิษย์ที่มีนิสัยในทางนี้ก็มีต่อกันอยู่เสมอมา
ราวกับท่านยังมีชีวิตอยู่ การภาวนาเกิดขัดข้องอย่างไรบ้าง ท่านก็มาแสดงบอกอุบายวิธีแก้ไขโดยทางนิมิต
เหมือนองค์ท่านแสดงจริง ๆ ทำนองพระอรหันต์มาแสดงธรรมให้ท่านฟังในที่ต่าง ๆ ดังที่เขียนผ่านมาแล้ว
ถ้าจิตของผู้นั้นอยู่ในภูมิใด และขัดข้องธรรมแขนงใด
ที่ไม่สามารถแก้ไขโดยลำพังตนเองได้ ท่านก็มาแสดงธรรมแขนงนั้นจนเป็นที่เข้าใจ
แล้วนิมิตคือรูปภาพขององค์ท่านก็หายไป
หลังจากนั้นก็นำธรรมเทศนาที่ท่านแสดงให้ฟังในขณะนั้น
มาแยกแยะหรือตีแผ่ออกตามกำลังสติปัญญาของตนให้กว้างขวางออกไป
และได้อุบายเพิ่มขึ้นอีกตามภูมิที่ตนสามารถ
ท่านที่มีนิสัยในทางออกรู้สิ่งต่าง
ๆ ย่อมมีทางรับอุบายจากท่านที่มาแสดงให้ฟังได้ตลอดไป
ที่เรียกว่าฟังธรรมทางนิมิตภาวนา ท่านมาแสดงธรรมให้ฟังทางนิมิต
ผู้รับก็รับรู้ทางนิมิต ซึ่งเป็นความลึกลับอยู่บ้างสำหรับผู้ไม่เคยปรากฏ
หรือผู้ไม่เคยได้ยินมาเลย อาจคิดว่าผู้รับในทางนิมิตเป็นความเหลวไหลหลอกลวงก็ได้
แต่ความจริงก็เป็นอย่างนั้น พระปฏิบัติที่มีนิสัยในทางนี้
ท่านรับเหตุการณ์ในทางนี้ด้วย อันเป็นความรู้พิเศษเฉพาะราย ๆ
มิได้ทั่วไปแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย คือเป็นไปตามภูมินิสัยวาสนา
ดังท่านอาจารย์มั่นฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่เสด็จไปโปรด
และฟังธรรมที่พระสาวกมาแสดง โดยทางนิมิตเสมอมา บรรดาศิษย์ที่มีนิสัยคล้ายคลึงท่านก็มีทางทราบได้จากนิมิตที่ท่านมาแสดง
หรือพระพุทธเจ้าและพระสาวกมาแสดง ถ้าเทียบก็น่าจะเหมือนพุทธนิมิตของพระพุทธเจ้า
ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาในชั้นดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น
แต่เรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องใหญ่มาก
จิตใจคนน้อมเชื่อได้ง่ายกว่าเรื่องทั่ว ๆ ไป แม้มีมูลความจริงเท่ากัน
จึงเป็นการยากที่จะพูดให้ละเอียดยิ่งกว่าที่เห็นว่าควร
ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่สะดวกใจที่จะเขียนให้มากไปกว่านี้
และขอมอบไว้กับท่านผู้ปฏิบัติ
จะทราบเรื่องเหล่านี้ด้วยความรู้อันเป็นปัจจัตตังของตัวเอาเองดีกว่าผู้อื่นอธิบายให้ฟัง
เพราะเป็นความแน่ใจต่างกันอยู่มาก สำหรับผู้เขียนมีความรู้สึกอย่างนั้น
อะไรก็ตามถ้าตนมีความสามารถพอเห็นได้ฟังได้
สูดกลิ่นลิ้มรส และรู้เห็นทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง
ก็ไม่อยากรับทราบจากผู้อื่นมาเล่าให้ฟัง เพราะแม้ทราบแล้ว บางอย่างก็อดสงสัยและคิดตำหนิติเตียนไม่ได้
แม้ผู้มีเมตตาจิตเล่าให้ฟังด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะเรามันปุถุชนไม่บริสุทธิ์นี่
จึงมักจะชนดะไปเรื่อยไม่ค่อยลงใครเอาง่าย ๆ ฉะนั้นจึงควรให้ตนรู้เอาเอง
ผิดกับถูกก็ตัวรับเอาเสียเอง ไม่ต้องให้คนอื่นพลอยรำคาญ ทนฟังคำตำหนิติเตียนจากตน
ดังท่านว่าบาปใครบุญใครก็รับเอาเอง ทุกข์ก็แบกหามเอง สุขก็เสวยเอง
รู้สึกว่าถูกต้องและง่ายดีด้วย
ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น
ผู้เขียนได้พยายามหมดภูมิเพียงเท่านี้ ในชีวิตก็น่าจะมีครั้งเดียวเท่านี้
ไม่สามารถจะเขียนให้ละเอียดลออและไพเราะเพราะพริ้งยิ่งกว่านี้ได้อีก
ผิดถูกประการใดก็หวังได้อภัยจากท่านผู้อ่านดังที่เคยให้มาแล้ว
ที่เขียนมาแต่ต้นจนเข้าขั้นสรุปความพยายามก็นับว่ากินเวลานานพอควร
แต่เรื่องท่านแม้จะเขียนไปอีกราวสามปีก็คงไม่จบ
ส่วนความสามารถแห่งการจดจำและการเขียน หากหมดกำลังเอาเอง
ทั้งที่อยากเขียนให้พี่น้องทั้งหลายได้อ่านสมใจที่พวกเราไม่เคยเห็นองค์ท่านก็อาจมีอยู่มาก
ที่ได้อ่านประวัติท่านอยู่เวลานี้
ตลอดการปฏิบัติดำเนินที่ท่านพยายามฝึกตนมานับแต่วันบวชจนถึงวันมรณภาพ
แม้ได้เห็นบ้างเพียงประวัติท่าน
ทั้งที่ไม่สมบูรณ์เต็มภูมิแห่งเรื่องที่บรรจุอยู่ในองค์ท่าน
ท่านพระอาจารย์มั่น
เป็นผู้มีประวัติงดงามมากมาแต่เป็นฆราวาส ท่านมีนิสัยสมเป็นนักปราชญ์มาดั้งเดิม
ไม่ปรากฏว่าได้ทำความเสียหายและกระทบกระเทือนจิตใจท่านผู้ใดมาก่อนเลย
ตลอดบิดามารดาวงศาคณาญาติ ท่านปฏิบัติตัวราบรื่นปลอดภัยตลอดมา
เวลามาบวชก็พยายามบำเพ็ญตนจนเป็นหลักฐานมั่นคงในองค์ท่าน
และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชนพระเณรตลอดมาจนวันอวสานสุดท้าย
นี้คือท่านผู้สว่างมาและสว่างไป
ควรเป็นคติตัวอย่างอันดีเยี่ยมในสมัยปัจจุบันได้ผู้หนึ่ง
โดยปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย
การบำเพ็ญประโยชน์ตนก็เยี่ยมยอดเฉียบขาด
ไม่มีกิเลสตัวใดแซงหน้าท่านไปได้ ทำความบำราบปราบปรามจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ
จนได้นามจากบรรดาศิษย์ผู้ใกล้ชิดและเคารพนับถือว่า
ท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในสมัยปัจจุบัน
การบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกก็ไม่มีอะไรเคลื่อนคลาดขาดสติปัญญา
พอจะแทรกแซงคัดค้านได้ว่าท่านพาดำเนินผิดทาง นับแต่ขั้นต้นจนอวสานแห่งธรรม
เป็นผู้สามารถฉลาดรู้ทั้งภายใน คือ จริตนิสัยของผู้มาอบรมศึกษา
ทั้งภายนอกเกี่ยวกับการสังคมสงเคราะห์โลกทั่วไป
ไม่นิยมว่าเป็นคนป่าคนเขาคนฉลาดชาติชั้นวรรณะสูงต่ำประการใด
ท่านเต็มไปด้วยการเมตตาอันหาที่เปรียบมิได้
แม้วันใกล้จะลาโลกลาขันธ์
เมื่อลูกศิษย์ผู้จนตรอกออกซอยไม่ได้ เข้าไปกราบเรียนถามปัญหาข้ออรรถข้อธรรม
แทนที่ท่านจะปล่อยวางไปตามขันธ์เสียทุกอย่าง แต่เมตตาจิตประจำนิสัยมิได้ปล่อยวาง
ยังอุตส่าห์เมตตาอนุเคราะห์สั่งสอนจนสิ้นสงสัยไปในขณะนั้น
บรรดาศิษย์แต่ละองค์ได้ปัจฉิมโอวาทไว้เป็นขวัญใจคนละบทละบาท
ไม่เสียชาติที่ได้มาพบเห็นท่านผู้ประเสริฐเลิศโลก
ยังได้ยึดไว้เป็นสรณะอย่างสนิทติดใจตลอดมา บรรดาศิษย์ผู้ใหญ่หลายท่าน
ที่ได้รับประสิทธิ์ประสาทธรรมจากท่านมาเป็นหลักยึด
ต่างก็ตั้งตัวเป็นหลักฐานทางด้านจิตใจได้
จนกลายเป็นครูอาจารย์สั่งสอนสานุศิษย์สืบทอดกันมา
ไม่ขาดทุนสูญอริยทรัพย์อันเลิศไปเสีย ส่วนศิษย์ผู้น้อยและย่อย ๆ
ลงไปที่จะเป็นกำลังของศาสนาต่อไปก็ยังมีอยู่มาก และท่านที่มีสมบัติ (คุณธรรม)
แต่มิได้ปรากฏตัวเปิดเผยก็ยังมีอยู่หลายท่าน
ซึ่งล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ท่านเมตตาเป่ากระหม่อมกล่อมธรรมลงในดวงใจมาแล้วทั้งนั้น
บรรดาการพัฒนาหมู่ชนและการเข้าถึงประชาชน
ควรพูดได้ว่าท่านเป็นอาจารย์เอกในการพัฒนาจิตใจคนให้เข้าถึงอรรถถึงธรรมถึงเหตุถึงผล
ให้รู้ดีรู้ชั่ว อันเป็นหลักสากลของการปกครองโลก
เพราะการพัฒนาจิตใจเป็นการพัฒนาที่ถูกกับจุดศูนย์กลางของโลกของธรรมอย่างแท้จริง
โลกจะเสื่อมพินาศ ธรรมจะฉิบหาย ต้องขึ้นอยู่กับจิตเป็นผู้เสื่อมฉิบหายมาก่อน
การเคลื่อนไหวคือการทำจึงเป็นประโยคสังหารโลกทำลายธรรมตามกันมา
ถ้าใจได้รับการอบรมด้วยดี การเคลื่อนไหวทางกายวาจา ก็เป็นประโยคส่งเสริมโลกให้เจริญ ธรรมก็รุ่งเรืองเป็นเงาตามตัว ก็คนที่ได้รับการอบรมธรรมจนเข้าถึงจิตใจแล้วจะทำความฉิบหายได้ลงคอละหรือ
ไม่เคยเห็นมีในคติธรรมดาที่เป็นมาแล้ว นอกจากความรู้ประเภทนกขุนทองท่องได้คล่องปาก
จำได้คล่องใจ แต่ธรรมนิสัยไม่เข้าถึงใจเท่านั้น
ท่านเป็นผู้เข้าถึงจิตใจประชาชนพระเณรแท้
ผู้เคารพเลื่อมใสท่านอย่างถึงใจแล้ว แม้ชีวิตก็ยอมถวายได้ไม่อาลัยเสียดาย
ทุกสิ่งถ้าลงได้เข้าถึงใจแล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมเป็นแรงผลักดันอย่างไม่มีแรงใด
ๆ เทียบเท่าได้ในโลก ไม่เช่นนั้นคนเราไม่กล้าทำความดีหรือความชั่วอย่างสมใจได้
ที่ทำได้อย่างไม่สะทกสะท้านและกลัวตาย ก็เพราะใจได้เข้าถึงสิ่งนั้น ๆ
โดยไม่มีทางหลบหลีกแล้ว
นี่พูดเฉพาะทางดีเกี่ยวกับความเคารพเลื่อมใสในท่านอาจารย์มั่นว่าเป็นอย่างนั้นจริง
ๆ เท่าที่ทราบในวงปฏิบัติด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่ง คือ
พระที่ธรรมเข้าถึงใจแล้วท่านแสดงความอาจหาญมาก
ว่าความเชื่อความเลื่อมใสท่านไม่มีอะไรเทียบได้เลย แม้ชีวิตที่แสนรักสงวนมาดั้งเดิมยังกล้าสละเพื่อท่านได้ด้วยอำนาจความเชื่อความเลื่อมใสที่มีกำลังแรง
สิ่งนี้สละไม่ได้ ส่วนชีวิตสละได้ไม่ยากเลยดังนี้
เพียงเท่านี้ก็พอทราบได้ว่าท่านเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดจิตใจคนได้อย่างอัศจรรย์
ทั้งยังชีวิตอยู่และผ่านไปแล้วเฉพาะความเคารพรักและเลื่อมใสในท่าน
สำหรับผู้เขียนคนไม่เป็นท่ามาดั้งเดิม รู้สึกว่าแปลกต่างคนทั้งหลายอยู่มาก
ว่าท่านเพิ่งผ่านไปโดยทางขันธ์เมื่อวานนี้เท่านั้น ทั้งที่ได้ ๒๐ ปีเต็มแล้ว
ส่วนทางจิตใจท่านเหมือนไม่ได้ผ่านไปเลย คงเมตตาต่อเราอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายแห่งประวัติท่าน
จึงขอนำธรรมที่ท่านแสดงในระยะที่เริ่มป่วยมาถึงระยะปัจฉิมโอวาทมาลงเท่าที่จำได้
เพราะความสลักใจในองค์ท่านตลอดมา
ในเนื้อธรรมที่แสดงในระยะเริ่มป่วยคล้ายกับเป็นคำเตือนสงฆ์ว่า
นับแต่ขณะท่านเริ่มป่วยคราวนี้ เป็นการป่วยในลักษณะที่เริ่มถอดถอนรากเหง้าเค้ามูลชีวิตธาตุขันธ์เกี่ยวกับการผสมทุกส่วนของร่างกาย
ให้ลดความคงที่ดีงามลง เป็นของชำรุดใช้การใช้งานไม่ได้โดยลำดับ
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การห่วงธาตุขันธ์ความเป็นความตายนั้น
ผมได้พิจารณามานานแล้วเกือบ ๖๐ ปี ไม่มีสิ่งเป็นที่น่าห่วงใยเสียดายใด ๆ
ทั้งสิ้นแล้ว ผมหายสงสัยกับสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว
นับแต่ขณะธรรมของจริงเต็มส่วนเข้าถึงใจมาจนบัดนี้ มองดูสิ่งใดทั้งในกายทั้งนอกกาย
มันเป็นสภาพอันเดียวกันกับสิ่งอันมีอยู่ในกายเรา
ที่เริ่มสลายตัวลงวันละเล็กละน้อยนี้ เพื่อความเป็นของเดิมเขา
แม้สมมุติว่ายังเป็นกายเราอยู่ก็ตาม มันก็คือสิ่งเดียวกันกับธาตุทั่ว ๆ ไปนั้นเอง
สิ่งที่ผมเป็นห่วงใยอยู่เวลานี้คือท่านผู้มาศึกษาทั้งหลาย
ทั้งมาจากที่ใกล้และที่ไกล กลัวจะไม่ได้อะไรเป็นหลักใจ เมื่อผมผ่านไปแล้ว
จึงได้เตือนอยู่เสมอว่า
อย่าพากันประมาทนอนใจว่ากิเลสคือเชื้อแห่งภพความเกิดตายไม่มีทางสิ้นสุด
เป็นของเล็กน้อยไม่เป็นภัยแก่ตน
แล้วไม่กระตือรือร้นเพื่อแก้ไขถอดถอนเสียแต่กาลที่ยังควรอยู่
เมื่อถึงกาลที่สุดวิสัยแล้ว จะทำอะไรกับกิเลสเหล่านี้ไม่ได้นะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน
คนและสัตว์ทุกข์ทรมานมาประจำโลก อย่าเข้าใจว่าเป็นมาจากอะไร แต่เป็นมาจากกิเลสตัณหาที่เห็นว่าไม่สำคัญและไม่เป็นภัยนั่นแล
ผมค้นดูทางมาของการเกิดตาย
และการมาของกองทุกข์มากน้อยจนเต็มความสามารถของสติปัญญาที่มีอยู่แล้ว
ไม่มีอะไรเป็นตัวเหตุชักจูงจิตใจให้มาหาที่เกิดตายและรับความทุกข์ทรมานมากน้อยเลย
มีแต่กิเลสตัวที่สัตว์โลกเห็นว่าไม่สำคัญและมองข้ามไปมาอยู่นี้ทั้งสิ้นเป็นตัวการสำคัญ
ทุกท่านที่มีกิเลสประเภทดังกล่าวบนหัวใจด้วยกัน
มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
หรือยังเห็นว่าไม่สำคัญเช่นเดียวกับโลกทั้งหลายอยู่ด้วยหรือ ถ้าเห็นอย่างนั้น
การมาอยู่และอบรมกับผมจะเป็นเวลานานเพียงไร ก็เท่ากับท่านทั้งหลายมาทำตัวเป็นทัพพีขวางหม้ออยู่นานเพียงนั้น
ถ้าต้องการเป็นเหมือนลิ้นผู้รอรับรส
ก็ควรฟังธรรมที่ผมแสดงอย่างถึงใจทุกครั้งให้ถึงใจ
อย่าพากันเป็นทัพพีขวางธรรมอยู่นานนักเลยจะตายทิ้งเปล่า ๆ
ยิ่งกว่าสัตว์ตายที่เนื้อหนังยังเป็นประโยชน์อยู่บ้าง
ส่วนคนประมาทยังเป็นอยู่หรือตายไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ผมเริ่มป่วยก็ได้บอกมาโดยลำดับมาว่า
ผมเริ่มตายไปโดยลำดับเช่นเดียวกัน
การตายด้วยความเพียงพอทุกอย่างเป็นการตายที่หมดกังวลพ้นทุกข์
แม้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีอะไรบกพร่อง
แต่ผู้เพียงพอทุกอย่างแล้วไม่จำเป็นต้องคาดต้องหวังสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น อยู่กับความเพียงพอนี้เอง
แต่การตายด้วยกิเลสความไม่มีอิ่มพอจะไปอยู่โลกไหน
ความไม่อิ่มพอก็ติดแนบอยู่ที่ดวงใจ
ต้องทำให้เป็นทุกข์ตามส่วนของกิเลสที่ยังมีในใจอยู่นั่นเอง
ท่านทั้งหลายอย่าไปคาดโลกนั้นโลกนี้ว่าน่าสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ
เวลาตายไปอยากไปอยู่โลกนั้นโลกนี้
อันความอยากความไม่เพียงพอกวนใจอยู่ก่อนที่ยังไม่ตาย
ท่านทั้งหลายยังไม่มองดูมันว่าเป็นข้าศึกเครื่องรบกวนใจ
แล้วพวกท่านจะไปหาเอาความสุขจากอะไรที่ไหนกัน
ถ้าท่านทั้งหลายไม่หมดความหวังว่าจะไปโลกนั้นโลกนี้อยู่อย่างนี้แล้ว
ผมเองก็หมดปัญญาไปด้วยท่านทั้งหลายแล้วเวลานี้
การเป็นพระถ้าใจยังไม่มีความสงบเยือกเย็นทางสมาธิธรรมแล้ว
อย่าเข้าใจว่าตนจะได้รับความสุขเย็นใจในที่ไหน ๆ เลย
แต่จะไปเจอเอาแต่ความรุ่มร้อนที่แอบแฝงไปกับหัวใจที่ไม่มีความสงบนั้นนั่นแล
จงพากันรีบชำระแก้ไขให้พอเห็นช่องทางเดินของจิตเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครเพียร
ใครอาจหาญ ใครอดทนในการต่อสู้กับกิเลสตัวฝืนธรรมอยู่ตลอดเวลา
ผู้นั้นจะเจอร่มเงาแห่งความสงบเย็นใจในโลกนี้ ในบัดนี้และในใจดวงนี้
ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยวที่เจือไปด้วยสุขด้วยทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติ
ไม่มีวันจบสิ้นลงได้นี้
ธรรมทุกบททุกบาทที่ศาสนาสอนไว้
ล้วนเป็นธรรมรื้อขนสัตว์ผู้เชื่อฟังพระองค์ให้พ้นทุกข์ไปโดยลำดับ
จนถึงขั้นธรรมที่ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายนี้อีกต่อไป ท่านผู้ไม่หวังมาเกิดอีก
ต้องประมวลโลกทั้งสามภพลงในไตรลักษณ์ที่หมุนไปด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
ตามขั้นหยาบละเอียดของภพชาตินั้น ๆ ด้วยปัญญาจนปราศจากความสงสัย อุปาทานที่ว่ายึด
ๆ ชนิดแกะไม่ออกนั้น จะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทันนั่นแล
ขอแต่ปัญญาเครื่องตัดสิ่งกดถ่วงให้คมกล้าเถอะ
ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องมือแก้กิเลสทุกประเภทอย่างทันสมัยเหมือนสติปัญญาเลยในสามภพนี้
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุกพระองค์
แก้กิเลสทุกประเภทด้วยสติปัญญาทั้งนั้น มิได้แก้ด้วยอะไรอื่นนอกจากนี้เลย
จึงไม่ทราบยกย่องอะไรว่าเป็นเอกยิ่งกว่าสติปัญญานี้ไป
ธรรมนอกนั้นก็มิได้ประมาทว่าไม่ดี หากแต่เป็นเครื่องช่วยส่งเสริมกำลัง
เช่นเดียวกับเสบียงอาหารในการรบสงครามฉะนั้น ส่วนผู้รบกับเครื่องมือในการรบนั้นสำคัญ
ผู้รบในที่นี้หมายถึงความมุ่งมั่นปั้นมืออย่างเอาจริงเอาจัง
ไม่ถอยทัพกลับมาเกิดตายให้กิเลสหัวเราะเยาะอีก
เครื่องมือชิ้นเอกคือ
สติปัญญาทุกขั้น ต้องติดแนบกับตัวอย่าให้ห่างจากใจ
จิตติดอยู่ตรงไหนจงพิจารณาเข้าไปไม่ต้องกลัวตาย เพราะความเพียรกล้าเพื่อรื้อภพชาติออกจากใจ
เมื่อถึงคราวตายก็ขอให้ตายอย่างมีชัย อย่าตายแบบผู้พ่ายแพ้จะช้ำใจไปนาน
จงเพียรต่อสู้จนวัฏสงสารได้ร้างเมืองเพราะไม่มีใครมาเกิด
ลองดูซิเมืองวัฏสงสารจะร้างไปไม่มีสัตว์โลกผู้ยังมีความหลงมาเกิดอีกจริง ๆ หรือ
ทำไมการทำความเพียรเพียงเล็กน้อยกลัวแต่วัฏฏะจะร้าง กลัวจะไม่ได้กลับมาเกิดตายอีก
และทำไมจึงคอยแต่จะเที่ยวจับจองภพชาติอยู่ทุกขณะจิตที่คิดทั้งที่ยังไม่ตาย
ความย่อหย่อนต่อความเพียรนี่แหละ คือความขยันต่อการเกิดตาย
และเป็นลักษณะจับจองภพชาติไม่ให้บกพร่องจากใจ ใจจึงมิได้บกพร่องจากทุกข์ตลอดมา
การสั่งสอนหมู่คณะผมก็ได้คุ้ยเขี่ยธรรมมาสอนอย่างเปิดเผยไม่มีปิดบังลี้ลับเลย
บรรดาธรรมที่ควรแก่การรู้เห็นในวงสัจธรรมหรือสติปัฏฐานสี่
เว้นแต่ธรรมที่เป็นไปตามนิสัยวาสนาโดยเฉพาะเป็นราย ๆ ไม่เกี่ยวแก่การบรรลุ เช่น
ความรู้ปลีกย่อยต่าง ๆ ดังที่เคยเล่าให้ฟังเป็นกรณีพิเศษเสมอมา
ใครจะรู้เห็นอะไรขึ้นมาผมยินดีฟังและแก้ไขเต็มกำลังอยู่เสมอ
เวลาผมตายไปแล้วจะลำบาก หาผู้แก้ไขได้ยากมากนะ
ธรรมทางด้านปฏิบัติไม่เหมือนทางด้านปริยัติ ผิดกันอยู่มาก
ผู้ไม่เคยรู้เคยเห็นสมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพานมาก่อน แต่จะมาสามารถสั่งสอนคนอื่นให้ถูกต้องเพื่อมรรค
ผล นิพพานนั้นไม่ได้
ตอนสุดท้ายแห่งธรรมที่พอยึดได้ว่าเป็นปัจฉิมโอวาท
เพราะท่านมาลงเอยในสังขารธรรมเช่นเดียวกับพระปัจฉิมโอวาท
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สงฆ์เวลาจะเสด็จปรินิพพาน
โดยท่านยกเอาพระธรรมบทนั้นขึ้นมาว่า ดูก่อนพระภิกษุทั้งกลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลาย
สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดหรือเจริญขึ้นแล้วเสื่อมไป ดับไป
จงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด
จากนั้นท่านก็อธิบายต่อใจความว่า
คำว่าสังขารในพระปัจฉิมโอวาทนั้นเป็นยอดธรรม
พระองค์ทรงประมวลมาในคำว่าสังขารทั้งสิ้น แต่พระประสงค์ทรงมุ่งสังขารภายในมากกว่าสังขารอื่นใดในขณะนั้น
เพื่อเห็นความสำคัญของสังขารอันเป็นตัวสมุทัย
เครื่องก่อกวนจิตให้หลงตามไม่สงบลงเป็นตัวของตัวได้ เมื่อพิจารณาสังขาร
คือความคิดปรุงของใจทั้งหยาบละเอียด รู้ตลอดทั่วถึงแล้ว สังขารเหล่านั้นก็ดับ
เมื่อสังขารดับใจก็หมดการก่อกวน แม้มีการคิดปรุงอยู่บ้างก็เป็นไปตามปกติของขันธ์
ที่เรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ ไม่แฝงขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหาอวิชชา
ถ้าเทียบกับการนอนก็เป็นการนอนหลับอย่างสนิท
ไม่มีการละเมอเพ้อฝันมาก่อกวนในเวลาหลับ ถ้าหมายถึงจิตก็คือ วูปสมจิต
เป็นจิตสงบที่ไม่มีกิเลสนอนเนื่องอยู่ภายใน
จิตของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งปวงเป็นจิตประเภทนี้ทั้งนั้น
ท่านจึงไม่หลงใหลใฝ่ฝันหาอะไรกันอีก นับแต่ขณะที่จิตประเภทนี้ปรากฏขึ้น คำว่า
สอุปาทิเสสนิพพาน ก็มีมาพร้อมกัน ความสิ้นกิเลสก็สิ้นไปในขณะเดียวกัน
ความเป็นพระอรหันต์ก็เป็นขึ้นพร้อมในขณะเดียวกัน จึงเป็นธรรมอัศจรรย์ไม่มีอะไรเทียบได้ในโลกทั้งสาม
พอแสดงธรรมถึงที่นี้แล้วท่านก็หยุด
นับแต่วันนั้นมาไม่ปรากฏว่าได้แสดงที่ไหนในเวลาใดอีกเลย
จึงได้ยึดเอาว่าเป็นปัจฉิมโอวาท และได้นำลงในประวัติท่านเป็นวาระสุดท้าย
สมนามว่าเป็นปัจฉิมโอวาท
ประวัติท่านพระอาจารย์มั่นแต่ต้นจนจบนี้
ผู้เขียนได้พยายามคัดเลือกสุดกำลังสติปัญญาทุก ๆ ประโยค
แล้วนำมาลงเท่าที่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทั่ว ๆ ไป
ส่วนที่เห็นว่าจะไม่เกิดประโยชน์ หรือไม่เป็นมงคลก็งดเสียมิได้นำลง
เรื่องทั้งหมดที่เที่ยวจดบันทึกมาจากอาจารย์ทั้งหลายซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่าน ตลอดความจดจำของตน
นำมาลงได้ราว ๗๐% ปล่อยให้ผ่านไปเสียทั้งที่เสียดายราว ๓๐%
แม้ส่วนที่เข้าใจว่าได้คัดเลือกแล้วนำลง
ก็ไม่แน่ใจนักว่าจะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านเพียงไรเลย
อาจมีที่แสลงแทงตาแทงใจอยู่จนได้ตามนิสัยความไม่รอบคอบที่เคยเป็นมา
ประวัติท่านรู้สึกสวยงามลึกซึ้งละเอียดลออมากทั้งภายนอกภายใน
ยากจะมีผู้เสมอเหมือนได้ในสมัยปัจจุบันเท่าที่ผ่าน ๆ มา
ถ้าจะเขียนให้สมบูรณ์ตามประวัติท่านจริง ๆ
ก็น่าจะไม่ผิดอะไรกับประวัติของพระสาวกอรหันต์ที่ท่านเชี่ยวชาญในสมัยพุทธกาลเลย
ขณะนั่งฟังท่านเมตตาอธิบายธรรมภาคต่าง
ๆ ตลอดเหตุการณ์ไม่มีประมาณที่มาเกี่ยวข้องกับท่านให้ฟัง
ใจเกิดความอัศจรรย์ในองค์ท่านเหลือประมาณ
ประหนึ่งท่านทำหน้าที่ประกาศธรรมแทนพระศาสดาและพระสาวกอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญแห่งพุทธกาล
ให้พวกเราได้เห็นได้ฟังอย่างถึงใจ
ราวกับมองเห็นภาพพระองค์และพระสาวกทั้งหลายเสด็จมาโปรดโสรจสรงอยู่เฉพาะหน้าฉะนั้น
แต่จะนำมาลงตามความรู้ความเห็นของท่านเสียทุกแง่ทุกมุมนั้นรู้สึกอายตัวเอง
ซึ่งเป็นเพียงร่างของพระป่า ๆ รูปหนึ่งปลอมแทรกในวงพระศาสนาเท่านั้น
และอาจเป็นการทำลายเกียรติอันสูงส่งของท่านที่ควรรักสงวนอย่างยิ่งให้เสียไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แม้ได้เคยเขียนไว้ในต้นประวัติท่านมาแล้วว่า
จะเขียนทำนองเกจิอาจารย์ที่เขียนประวัติพระพุทธเจ้าและประวัติพระสาวกทั้งหลาย
แต่อดกระดากใจที่ตนมิได้เป็นเกจิอาจารย์อย่างท่านมิได้
จึงได้เขียนเท่าที่ความรู้สึกอำนวย แม้จะไม่สมบูรณ์แบบตามประวัติท่าน ก็กรุณาให้อภัย
ผู้เขียนมีสติปัญญาน้อย ดังที่เคยเรียนไว้เสมอมา
ผู้เรียบเรียงจึงขอเริ่มยุติประวัติท่านด้วยความสุดกำลังความสามารถเพียงเท่านี้
ในประวัติท่านนับแต่ต้นจนถึงวาระสุดท้าย
หากมีคลาดเคลื่อนเลื่อนลอยไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์ประการใด
ก็กราบขอโทษท่านพระอาจารย์มั่นผู้เป็นบิดาอนุเคราะห์เมตตา
เป็นผู้ให้ศรัทธากำเนิดแห่งธรรมทั้งปวงแก่ผู้เขียนไว้ ณ ที่นี่
ด้วยความเคารพบนเศียรเกล้า
ขออำนาจแห่งเมตตาธรรมที่ได้เคยโสรจสรงแก่หมู่ชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
จงมาปกเกล้าปกกระหม่อมจอมขวัญปวงประชา ขอให้มีโอกาสวาสนาศรัทธาแก่กล้า ได้ดำเนินตามร่องรอยแห่งธรรมที่ได้ประสิทธิ์ประสาทไว้ดังใจหวัง
ขอความจีรังถาวรแห่งประเทศเขตแดนไทย จงเจริญรุ่งเรืองไปด้วยความสม่ำเสมอ
ปราศจากข้าศึกศัตรูหมู่ภัยเวร อย่าได้มีเคราะห์เข็ญเวรภัยมาก่อกวนตลอดกาล
ขอให้มีแต่ความสุขความสำราญเป็นคู่เคียงกับพระศาสนาตราบเท่าฟ้าดินสลายเถิด
สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอเรียนอภัยโทษจากท่านผู้อ่านทั้งหลาย
หากข้อความในหนังสือนี้ไม่ถูกต้อง ทำให้ท่านผู้อ่านเกิดข้อข้องใจ ไม่สบายจิต
เพราะเรื่องและสำนวนโวหารไม่ไพเราะเหมาะสมด้วยประการใด
ก็กรุณาให้อภัยแก่พระป่าตามเคย เพราะนิสัยป่าเป็นสิ่งยากที่จะแก้ไขให้อำนวยสวยงามได้เหมือนโลกทั่ว
ๆ ไป การเขียนประวัติท่านทุกวรรคทุกตอน
ได้พยายามเพื่อความถูกต้องเหมาะสมตามเนื้อเรื่องตลอดมา
แต่นิสัยความไม่รอบคอบที่เคยเป็นมานั้น ขอสารภาพว่าสุดจะแก้ให้หายได้
ฉะนั้นการเขียนนี้คงต้องมีความเคลื่อนคลาดทำให้ท่านผู้อ่านเวียนศีรษะจนได้
จึงได้เรียนความเหลวไหลให้ทราบเรื่อยมา
ประวัติท่านพระอาจารย์มั่นนี้
ตามความเข้าใจของตัวที่ให้ชื่อเอาเองว่า สำเร็จ ก็ได้คิดมานานพอสมควร
จึงได้พยายามเที่ยวจดบันทึกเอาจากพระอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์
เคยอยู่กับท่านมาในยุคนั้น ๆ บ้าง จากความจำของตัวที่ท่านเคยเล่าให้ฟังบ่อยครั้งบ้าง
ก่อนจะรวบรวมมาพอได้ลงให้ท่านได้อ่านแบบเวียนศีรษะ
เพราะความสับสนแห่งสำนวนและเนื้อเรื่องที่คละเคล้ากันก็เป็นเวลาแรมปี
ในเนื้อเรื่องที่จดบันทึกมาและความจำของผู้เขียนเองดังกล่าวแล้ว ถ้าคิดเป็น ๑๐๐
เปอร์เซ็นต์ก็ออกได้ราว ๗๐ เปอร์เซ็นต์
เท่าที่เห็นว่าไม่ลึกและสับสนเกินไป ที่ต้องปล่อยให้ผ่านไปราว ๓๐ เปอร์เซ็นต์นั้น
โดยเห็นว่าเป็นธรรมที่เรียนยากเขียนยาก อ่านยาก และคิดอ่านไตร่ตรองตามยาก
เกรงจะไม่เกิดผลเท่าที่ควรตามเจตนาที่นำมาลง จึงยอมให้ผ่านไปทั้งที่เสียดาย
เท่าที่นำมาลงแล้ว บางตอนยังรู้สึกไม่สะดวกใจทั้งที่เป็นความจริงตามท่านเล่าให้ฟัง
แต่ก็ฝืนเอาบ้างที่เห็นว่าพอฝืนได้ ส่วนที่ฝืนไม่ได้เลยก็จำต้องยอม
ดังนั้นส่วนที่ผ่านไปจึงยอมให้ผ่านตามเหตุผลที่เรียนมานี้
เฉพาะที่ออกแล้วเป็นความยอมรับการติชมโดยไม่มีข้อแก้ตัว
คือยินดีรับคำติด้วยความรู้สึกสำนึกโทษของตัวว่าเป็นความโง่มาแล้วตลอดสายแห่งประวัติท่าน
และยินดีรับความชมด้วยความภาคภูมิ
ที่หนังสือนี้ยังพอเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอยู่บ้าง จากการตะเกียกตะกายในการนี้
ส่วนกุศลทั้งมวลขอได้เป็นสมบัติของท่านผู้อ่านและท่านผู้เกี่ยวข้องโดยสมบูรณ์
หากจะพึงมีได้แก่ผู้เขียนจากการเรียบเรียงประวัติท่านอยู่บ้าง
ก็ขอรับและขอแบ่งส่วนแก่ทุกท่านที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์ท่านพระอาจารย์มั่น
ให้มีส่วนเท่า ๆ กันกับผู้เขียนด้วย
ในอวสานแห่งการเรียบเรียงนี้
ขอบุญญานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และบุญญาบารมีท่านพระอาจารย์มั่น
พร้อมทั้งบารมีของผู้เขียนที่มีมากน้อย ตลอดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก
จงมาคุ้มครองรักษาท่านผู้อ่านทั้งหลาย และท่านบรรณาธิการแห่งศรีสัปดาห์
พร้อมทั้งศรีสัปดาห์ที่อุตส่าห์พยายามช่วยเหลือ
และล้มลุกคลุกคลานตามผู้เขียนที่ส่งต้นฉบับมาให้ช่วยนำลงแต่ต้นจนจบประวัติท่าน
โดยไม่เห็นแก่ความลำบากรำคาญใด ๆ ในทุกกรณีที่เกี่ยวแก่การนี้และการอื่น ๆ
ที่ผู้เขียนขอร้องให้ช่วยเหลือตลอดมา ขอได้พร้อมกันปราศจากโรคาพยาธิ
และสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย มีแต่ความสุขกายสบายใจ ปรารถนาสิ่งใดในขอบเขตแห่งธรรม
จงสมหวังดังใจหมายโดยทั่วกันเทอญฯ
ตุลาคม
๒๕๑๔
ได้มีท่านผู้มีใจกรุณามอบหนังสือให้ผมเล่มหนึ่ง
เป็นหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระ ซึ่งท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด
อุดรธานี เป็นผู้เรียบเรียง
หนังสือเล่มนี้ผมเข้าใจว่าได้พิมพ์แจกไปแล้วเป็นจำนวนมาก
เล่มที่ผมได้รับมานี้เป็นเล่มที่เพิ่งได้พิมพ์ขึ้นใหม่
และผมก็เพิ่งได้เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ในคราวนี้
ที่ได้นำเอาหนังสือเรื่องนี้มาเขียนถึงในคอลัมน์นี้ ก็เพราะเห็นว่าหนังสือเล่มเป็นหนังสือที่น่าอ่านอยู่มาก
ใครที่ยังไม่เคยอ่านก็ควรจะได้หามาอ่านเสีย ที่ว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านนั้น
ผมหมายถึงวิธีเขียนหนังสือของท่านอาจารย์พระมหาบัว
ผู้เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้นเป็นสำคัญ เมื่อจับหนังสือเล่มนี้ขึ้นอ่าน ก็สังเกตได้ทันทีว่าท่านผู้เรียบเรียง
ท่านได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นตามสบายของท่าน
เมื่อผู้เขียนหนังสือเขียนตามสบาย
ใจของคนอ่านก็เกิดความรู้สึกว่าตามสบายคล้อยตามไป
และอ่านหนังสือนั้นตามสบายเช่นเดียวกัน
เมื่อเกิดความรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้อ่านได้ตามสบาย แต่ในขั้นแรกแล้ว
ผมเองก็เริ่มอ่านตามสบายเรื่อย ๆ ไป
และถ้าไม่มีธุระบางอย่างมาขัดข้องเสียแล้วก็คิดว่า
คงจะได้อ่านเรื่อยไปจนจบในรวดเดียวนั้น อย่างไรก็ตาม
เมื่ออ่านจบแล้วก็เกิดความนับถือเลื่อมใสในท่านเจ้าของประวัติ คือพระอาจารย์มั่น
ภูริทัตตเถระเป็นอย่างยิ่ง ในการเขียนประวัติของพระอาจารย์มั่นนั้น
ท่านอาจารย์พระมหาบัวได้เขียนอย่างตามสบายของท่านจริง ๆ
กล่าวคือนึกถึงเรื่องอะไรออก ท่านก็เขียนลงไว้
มิได้เขียนประวัติอย่างคนอื่นเขียนตามธรรมดา
แต่ก็มีการสอดแทรกธรรมะที่พระอาจารย์มั่นได้สั่งสอนสานุศิษย์ของท่านไว้
ในหลายที่หลายแห่งโดยตลอด นอกจากนั้นก็ยังได้เขียนถึงเหตุการณ์อันน่าสนใจ
น่าตื่นเต้นอีกมากมายหลายอย่างในชีวิตของพระอาจารย์มั่น ลงไว้เป็นระยะ ๆ ไป
การอ่านหนังสือธรรมะล้วน
ๆ นั้น มักจะเป็นงานหนักของคนส่วนมาก เพราะต้องใช้สติปัญญามากอยู่ในการอ่าน
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันถูกต้อง และสติปัญญานั้นเมื่อใช้มากเข้า
ก็เกิดความเหน็ดเหนื่อยทางสมองขึ้นได้
การอ่านหนังสือธรรมะจึงอ่านได้รวดเดียวจบไม่ง่าย เฉพาะตัวผมเองไม่เคยปรากฏว่าทำได้
แต่หนังสือที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวแต่งขึ้นนี้
ท่านมีวิธีเขียนของท่านจากข้อความอันเป็นธรรมะไปยังข้อความเกี่ยวกับเหตุการณ์อื่นที่น่าตื่นเต้นบ้าง
น่าสนใจบ้าง จนความเหน็ดเหนื่อยในการอ่านนั้นไม่เกิดขึ้น
เพราะเมื่อเหนื่อยธรรมะแล้วก็มีเรื่องอื่นที่เรียกร้องความสนใจในทางอื่นมาให้อ่านต่อไป
ในจังหวะที่พอดีทุกครั้งไป เป็นการพักสมองไปในตัว
เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว
ก็เกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่า
ได้อ่านชีวิตของนักต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งและมีกำลังมากคนหนึ่ง
รูปเรื่องที่เกิดขึ้นในใจนั้น
เป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างพระอาจารย์มั่นกับความโง่หลงงมงายของมนุษย์
ข้อความที่ท่านอาจารย์พระมหาบัวเก็บเอามาลงไว้ในหนังสือ จากเทศนาของพระอาจารย์มั่นในหลายที่หลายแห่งนั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่า
ท่านต้องทำการต่อสู้อย่างหนักกับกิเลสตัณหาของมนุษย์ และความโง่หลงงมงายของมนุษย์
หรือมิฉะนั้นการโต้ตอบของท่านกับผู้ที่มาตั้งปัญหาถามท่านต่าง ๆ นั้น
ก็แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้นั้นเช่นเดียวกัน
เป็นต้นว่า
ท่านเทศน์สั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นสานุศิษย์ของท่านว่า
อย่านึกว่าเมื่อได้มาบวชแล้ว จะต้องเป็นคนดีที่อยู่ในศีลธรรมเสมอไป
เพราะบาปนั้นทำได้ถึงสามทาง คือทางกายกรรม ทางวจีกรรม และทางมโนกรรม
ถึงแม้ว่าพระภิกษุสงฆ์จะไม่ทำบาปด้วยกายและด้วยวาจา ก็ยังไม่แน่นักว่าพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นจะเป็นผู้พ้นจากบาปแล้วหรือไม่
เพราะอาจยังทำบาปทางใจอยู่ก็ได้ และตราบใดที่ยังทำบาปทางใจอยู่แล้ว
กลับไปนึกเสียว่าตนเป็นผู้ที่อยู่ในศีลธรรมอันดีแล้ว
พระเช่นนั้นจะยิ่งสั่งสมบาปให้มากหนักขึ้นไปอีก ฟังดูแล้วก็จับใจ
เมื่อท่านจาริกไปถึงเมืองนครราชสีมา
มีผู้มาถามท่านว่า ในการที่ท่านมายังนครราชสีมาคราวนี้
ท่านมีความประสงค์ที่จะมาแสวงหามรรคผลอันใด ท่านตอบว่าอาตมาเป็นคนไม่หิวเสียแล้ว
ธรรมดาของคนไม่หิวก็ย่อมไม่แสวงหาอันใดทั้งสิ้น ฟังแล้วก็สะใจดีพิลึก
ทั้งที่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านสนุกอ่านเพลิน
แต่ขณะที่อ่านนั้นก็เกิดความกังวลขึ้นเรื่อย ๆ ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระนั้น
ท่านเป็นอาจารย์ทางวิปัสสนา ซึ่งมีผู้เคารพนับถือยกย่องมาก
เมื่อได้อ่านประวัติของท่านก็เกิดความสนใจ
จนกลายเป็นความร้อนใจที่จะได้ทราบถึงการปฏิบัติของท่านในทางวิปัสสนา แต่หนังสือเล่มนี้ก็มิได้บอกไว้
คงบอกแต่วัตรปฏิบัติของท่าน เช่นท่านนั่งสมาธิเวลาใด เดินจงกรมเวลาใด
ฉันอาหารจากบาตรเป็นประจำและฉันวันละหน เหล่านี้เท่านั้น
นอกจากนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางของท่านเพื่อไปพำนักอยู่ในที่วิเวกตามป่าเขาหรือในถ้ำ
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่าสนใจดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
โดยเฉพาะเรื่องระหว่างพระอาจารย์มั่น
และสัตว์ป่าต่าง ๆ ที่ท่านได้พบเห็น เช่น เสือบ้าง ฝูงลิงบ้าง และช้างบ้างนั้น
แสดงให้เห็นเมตตาอันมีต่อสัตว์ทั้งปวงของพระพุทธศาสนาอย่างเด่นชัด
เมตตาของพระอาจารย์มั่นอันมีต่อสัตว์ทั้งปวงนี้ มาปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นในตอนท้ายของหนังสือ
พระอาจารย์มั่นไปอาพาธหนักอยู่ที่บ้านผือ อันเป็นบ้านป่านอกอำเภอเมืองสกลนคร
เมื่อท่านทราบแน่ว่าท่านจะต้องถึงกาลกิริยาในครั้งนั้น
ท่านก็เร่งเร้าให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายของท่าน พาตัวท่านไปยังตัวจังหวัดสกลนคร
เพื่อที่จะได้มรณภาพที่นั้น ท่านได้กล่าวว่า หากท่านมรณภาพลงที่บ้านผือ
อันเป็นละแวกที่ไม่มีตลาดขายอาหารแล้ว ผู้คนที่มาเคารพศพท่านเป็นจำนวนมากมาย
เมื่อท่านมรณภาพแล้วก็จะต้องซื้ออาหารจากบ้านผือนั้นเอง
ทำให้ชาวบ้านต้องฆ่าสัตว์มาขายเป็นอาหารเพิ่มขึ้นกว่าปกติ ท่านไม่สามารถที่จะทนดูชีวิตสัตว์จำนวนมากมายต้องถูกทำลายลงเพราะท่านมรณภาพแต่องค์เดียวได้
จึงขอให้ท่านได้ไปมรณภาพเสียที่ตัวจังหวัดสกลนคร
เพราะที่นั่นมีตลาดสดพอที่ผู้คนจะซื้ออาหารได้สะดวก
เรื่องประทับใจต่าง
ๆ เหล่านี้มีมากเหลือเกินในหนังสือเล่มนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ความกังวลใจเพราะอยากจะได้สดับธรรมขั้นสูงกว่านั้นก็ยังมีอยู่
ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ท่านอาจารย์พระมหาบัว เขียนด้วยความเคารพเลื่อมใส
และความกตัญญูต่อพระอาจารย์มั่นผู้เป็นอาจารย์ของท่าน
เมื่ออ่านแล้วก็เกิดความเข้าใจขึ้นว่า
เพราะเหตุใดในพระไตรปิฎกซึ่งได้รจนาขึ้นภายหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี
จึงเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ต่าง ๆ และเรื่องที่คนในสมัยปัจจุบันอาจเห็นว่าเหลือเชื่อ
ท่านอาจารย์พระมหาบัวท่านเขียนไว้ว่า
เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่นออกไปอยู่ตามป่าตามเขาหรืออยู่ในถ้ำที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น
มีพระอินทร์และเทวดาทั้งหลาย คือเทวดาเบื้องล่างและเบื้องบน
ตลอดจนพญานาคมาฟังธรรมจากท่านเป็นเนืองนิจ เทวดาที่มาจากประเทศเยอรมันก็มี
ครั้งหนึ่งเทวดาที่มาฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นนั้นมีจำนวนมากจนท่านต้องกำหนดตารางสอน
แบ่งเวลาให้เทวดาฟังธรรมเป็นพวก ๆ ไป เท่าที่ทราบจากหนังสือเล่มนี้ เทวดาที่จังหวัดสกลนครมีน้อยกว่าเทวดาที่เชียงใหม่
ขอให้ชาวจังหวัดสกลนครนึกเสียว่าเป็นกรรมก็แล้วกัน อย่าน้อยอกน้อยใจไปเลย
แต่ในเรื่องนี้ก็มีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่ว่า
ในหนังสือเล่มนี้เองปรากฏว่า
พระอาจารย์มั่นท่านตอบในเรื่องบางเรื่องอย่างมีเหตุผลดีที่สุด เป็นต้นว่ามีผู้มาถามท่านว่าผีมีจริงไหม? ท่านก็ตอบว่า
ผีที่ทำให้คนเกิดความกลัวและเป็นทุกข์กันนั้น
เป็นผีที่คนคิดขึ้นที่ใจว่าผีมีอยู่ที่นั้นบ้างที่นี้บ้าง ผีจะมาทำลายบ้างต่างหาก
จึงพาให้เกิดความกลัวและเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าอยู่ธรรมดาไม่ก่อเรื่องผีขึ้นที่ใจ
ก็ไม่เกิดความกลัวและไม่เป็นทุกข์
ฉะนั้นผีจึงเกิดขึ้นจากการก่อเรื่องของผู้กลัวผีขึ้นที่ใจ มากกว่าผีจะมาจากที่อื่น
หรือเมื่อมีผู้มาตั้งปัญหาถามท่านว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน? ท่านตอบว่ามนุษย์เราต่างก็มีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด
แม้ผู้ถามก็มิได้เกิดจากโพรงไม้ แต่มีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาเหมือนกันจึงไม่ควรถาม
ถ้าจะตอบว่ามนุษย์เกิดจากอวิชชาตัณหาก็ยิ่งจะมืดมิดปิดตายิ่งกว่าไม่ตอบเป็นไหน ๆ
เพราะไม่เคยรู้ว่าอวิชชาตัณหาคืออะไร ทั้งที่มีอยู่กับตนทุกคน
เว้นพระอรหันต์เท่านั้น
พระอาจารย์มั่นท่านได้ถือโอกาสในการตอบปัญหาเหล่านี้
แสดงธรรมต่อไปเพื่อให้มนุษย์เกิดปัญญา
ลักษณะเช่นนี้ของพระอาจารย์มั่นดูเหมือนจะมีคุณวิเศษในสายตาของผมยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใด
ๆ ทั้งสิ้น แต่เรื่องเทวดามาฟังธรรมนั้นก็ช่างเถิด
เพราะในพระไตรปิฎกก็มีพูดถึงบ่อย ๆ ว่าเทวดามาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
ในอรรถกถาพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า
เทวดาลงมาฟังธรรมจากพระอรหันต์จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาด
เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งนั้นก็คือในหนังสือเล่มนี้บอกว่า
เมื่อพระอาจารย์มั่นอยู่ในถ้ำ มีพระอรหันต์หลายองค์มาสนทนาธรรมกับท่าน
นอกจากสนทนาธรรมแล้ว พระอรหันต์ยังแสดงท่านิพพานของแต่ละองค์ให้พระอาจารย์มั่นดูอีกด้วย
เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจนั้นเกินไปกว่าความกังวล
แต่เป็นความเดือดร้อนทีเดียว พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว
มาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แล้วแสดงท่านิพพานให้ดูนั้น
ไม่มีในพระบาลีเป็นแน่นอนครับ
เมื่ออุปสีวมานพมาทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าเรื่องพระอรหันต์นั้น
อุปสีวมานพได้ทูลถามว่าที่ว่าพระอรหันต์ดับไปแล้วนั้น ท่านดับโดยสิ้นเชิง
หรือว่าเป็นแต่ไม่มีตัวหรือจักเป็นผู้ตั้งอยู่ยั่งยืนหาอันตรายมิได้
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ประมาณแห่งเบญจขันธ์ของผู้ที่ดับขันธปรินิพพานแล้ว
มิได้มีกิเลสซึ่งเป็นเหตุกล่าวผู้นั้นว่าไปเกิดเป็นอะไร ของผู้นั้นก็มิได้มี
เมื่อธรรมทั้งหลายอันผู้นั้นขจัดได้หมดไปแล้ว
ก็ตัดทางแห่งถ้อยคำที่จะพูดถึงผู้นั้นว่าเป็นอะไรเสียทั้งหมด หมายความว่า
พระอรหันต์นั้นดับถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องที่จะพูดถึงท่านอีกต่อไป
อ่านประวัติของพระอาจารย์มั่นจบแล้วก็ได้แต่ถามตนเองว่า
ที่หลวงพ่อมั่นท่านต่อสู้กับความโง่หลงงมงายมนุษย์นั้น
ท่านได้ชัยชนะทำให้ใครได้ฉลาดขึ้นหรือไม่ หรือว่าท่านตายเปล่า?
ปัญหาที่เป็นเหตุให้ต้องมาเขียนเรื่องนี้มีอยู่ว่า
เป็นไปได้หรือที่พระอรหันต์จะมาสนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น
จนกระทั่งถึงแสดงท่านิพพานให้ท่านดูต่าง ๆ กัน ในเมื่อไม่ปรากฏในพระบาลีว่า
พระอรหันต์นิพพานไปแล้วจะมาทำเช่นนั้น
เหตุผลเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์สูงกว่าสัตว์
ทำให้คนฉลาดแตกต่างจากคนโง่ แต่ก็ต้องเป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามความจริงแท้
มิใช่สักแต่ว่าเป็นเหตุที่คนทรามปัญญาคว้ามาถือ และก็ไม่ถือไว้ตามลำพังตน
ยังพยายามจะให้คนอื่นทั้งหลายถือไว้เหมือนตนด้วย
ให้กลายเป็นผู้ทรามปัญญาเหมือนตนด้วย
ก็ถูกต้อง
ที่ไม่มีปรากฏในพระบาลีว่าพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วจะมาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน
แต่ก็ไม่มีปรากฏในพระบาลีเลยว่า
พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วจะมาทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ในกรณีนี้
เหตุผลต้องอยู่ที่ตรงนี้ อะไรที่ไม่ถูกนำมาเอ่ยถึง ไม่จำเป็นต้องไม่มีอยู่
ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่แท้จริงทั้งหลายท่านทราบ ในขณะที่ปราชญ์จอมปลอมไม่อาจรู้ได้
ว่านอกจากที่ปรากฏในพระบาลียังมีอะไร ๆ ที่อัศจรรย์วิจิตรพิสดารอีกมากนัก
ผู้ที่เกิดมาไม่เคยปฏิบัติธรรม
หมกมุ่นวุ่นวายอยู่แต่กับความสกปรกโสโครกทุกลมหายใจเข้าออก
จะรู้จักสิ่งบริสุทธิ์สูงส่งหาใดเสมอเหมือนมิได้ได้อย่างไร
ระหว่างพระกับมาร
ใครหลงเชื่อมาร มารก็พาไปนรกเท่านั้น ท่านอาจารย์มั่นก็ตาม
ท่านอาจารย์พระมหาบัวก็ตาม ท่านเป็นพระ
หรือถ้าไม่อยากจะเชื่อใครทั้งนั้นในเรื่องนี้
อยากจะเชื่อตัวเองก็ต้องทำตัวเองให้เหมือนท่านอาจารย์ท่านเสียก่อน
ให้เห็นเท็จและจริงด้วยตัวเองเสียก่อนนั่นแหละ แล้วจึงควรอ้าปากวิจารณ์เรื่องนี้
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่พ้นต้องเป็นคนโง่ตัวใหญ่
ที่คิดจะยกตัวให้สูงขึ้นด้วยการพยายามปีนป่ายเหยียบย่ำกระทืบยอดเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ
ท่ามกลางสายตาของพุทธศาสนิกชน จะพ้นสภาพย่อยยับไปไม่ได้เลย
การเข้าใจความพระบาลีให้ถูกต้องนั้น
อย่าคิดว่าง่าย ต่อให้ได้ชื่อว่า เป็นปราชญ์ทางโลก อ่านหนังสือหมดโลกก็ตาม
ถ้าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นิพพานแล้วจะต้องดับสิ้น
ถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องจะพูดถึงท่านได้อีกต่อไปจริง แล้วทุกวันนี้พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์มีอยู่อย่างไรในเมื่อท่านนิพพานไปเสียแล้ว หรือทุกวันนี้ไม่มีพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์เสียแล้ว ที่ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งสูงสุดกันนั้น
หมายถึงให้ถือลม ถือแล้งหรอกหรือ ไม่มีความจริงกระนั้นหรือ
ปฏิเสธเสียก่อนว่าพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์สรณะสูงสุดของเราไม่มีในปัจจุบัน ปฏิเสธเสียก่อนว่าพุทธานุภาพ
ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพไม่มีในปัจจุบันแล้วนั่นแหละจึงปฏิเสธเรื่องราวระหว่างพระอรหันต์ที่ท่านนิพพานแล้วกับท่านพระอาจารย์มั่นได้
นับตั้งแต่วันที่
๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นมา ได้มีสุภาพบุรุษสุภาพสตรีหลายท่านทั้งใกล้และไกล ทยอยกันมาถามปัญหาธรรมในแง่ต่าง
ๆ ทั้งอุตส่าห์มาด้วยตัวเอง ทั้งมีจดหมายมาถามมิได้ขาด แทบตอบไม่หวาดไม่ไหว
ต้นเรื่องมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๕
โดยท่านคึกฤทธิ์เป็นผู้เขียนขึ้น ความจริงท่านก็เขียนดีน่าฟังอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาที่ควรยุ่งเหยิงวุ่นวายถึงขนาดที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้
เพื่อช่วยกันแบ่งเบาไปบ้าง จึงขอเรียนตอบด้วยการเล่าเรื่องท่านอาจารย์มั่นให้ฟัง
ซึ่งบางเรื่องเห็นว่าเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่
เพียงเท่านี้ก็พอทำให้คิดและทราบได้ในหลักใจของชาวพุทธเราว่า
ยังมีท่านที่ลังเลสงสัยธรรมทางพระพุทธศาสนา ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติอยู่มาก
จึงทำให้วิตกถึงปฏิเวธธรรมที่เป็นผลแสดงขึ้นในลักษณะต่าง ๆ กัน
จากการปฏิบัติของท่านผู้บำเพ็ญอยู่ไม่น้อยว่า
น่าจะเป็นธรรมสุดเอื้อมหมดหวังในสมัยปัจจุบัน เพราะความจริงใจในธรรมมีน้อย เนื่องจากถูกทุ่มเทไปทางอื่นเสียมาก
มิได้คำนึงเหตุผลพอประมาณ จึงอดคิดเป็นห่วงมิได้ในเรื่องดังกล่าวมา
เฉพาะองค์ท่านพระอาจารย์มั่นที่ผู้เขียนเทิดทูนสุดจิตสุดใจนั้น
แม้ท่านจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และตำหนิติชมในลักษณะยกขึ้นทุ่มลง หรือด้วยวิธีการใด ๆ
จนไม่มีชิ้นส่วนอะไรติดต่อกัน และกลายเป็นผุยผงไปตามอากาศก็ตาม
ผู้เขียนมิได้มีอะไรหวั่นวิตกไปด้วยท่านเลย
แม้กิเลสจะแสนหนาแน่นภายในใจอยู่ขณะนี้ก็เถิด แต่ที่ไม่แน่ใจอยู่เวลานี้
คือความรู้ภายในของท่านพระอาจารย์มั่น
ประเภทที่ลึกลับซับซ้อนเกินกว่าความคาดคิดด้นเดาของสามัญธรรมดาทั่วไป เฉพาะอย่างยิ่งผู้ครองพระไตรปิฎก
แต่ไม่เคยสนใจมองดูหัวใจตนว่าเป็นอย่างไรบ้างเลย มีแต่เที่ยวกวาดต้อนล่าธรรม
ท่านที่รู้เห็นจากการปฏิบัติทางจิตตภาวนาในแง่ต่าง ๆ ไม่มีประมาณนั้น
ให้เข้าสู่วงจำกัดคือพระไตรปิฎกโดยถ่ายเดียวนั่นแล ที่น่าเป็นห่วงมาก
กลัวว่าอกจะแตกไปเสียก่อน ทั้งที่ธรรมท่านที่กำลังถูกกวาดต้อน
ก็ยังไม่เข้าสู่จุดมุ่งหมายให้หมดสิ้นไปได้
เมื่อมีเหตุอันควรกล่าวถึงองค์ท่านอาจารย์มั่นอีก
ผู้เขียนก็จะกล่าวถึงความรู้ท่านที่ยังไม่เคยกล่าวเสียบ้าง
เผื่อท่านที่มีความสามารถในทางนี้ จะได้ช่วยกวาดต้อนติชมไปตามนิสัย ซึ่งอาจเป็นการช่วยสังคายนากลั่นกรองธรรมเถื่อนให้หมดสิ้นไป
เหลือไว้แต่ธรรมของจริงล้วน ๆ หากอยู่ในฐานะที่ควรเป็นได้
ลำพังผู้เขียนเพียงคนเดียวไม่อาจเห็นความผิดพลาดและความบกพร่องของท่านและของตนได้โดยทั่วถึง
จึงขอเล่าเรื่องท่านแต่เพียงเอกเทศไว้ ณ ที่นี้บ้าง
ท่านเคยเล่าให้สานุศิษย์ฟังในโอกาสต่าง
ๆ กันอยู่เสมอมาว่า วันคืนหนึ่ง ๆ ธรรมประเภทต่าง ๆ
ปรากฏขึ้นภายในใจท่านเสมอจนไม่อาจคณนา
สิ่งไม่เคยคาดคิดว่าจะรู้เห็นก็รู้เห็นขึ้นมาเรื่อย ๆ จึงทำให้ท่านแน่ใจ
หายสงสัยในธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายหลังจากตรัสรู้และบรรลุธรรมแล้ว
จนถึงกาลเสด็จปรินิพพาน ว่ามีมากต่อมาก ราวท้องฟ้ามหาสมุทรสุดจะประมาณได้
ธรรมที่เป็นพระวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นโดยเฉพาะ
ไม่อยู่ในวิสัยของสาวกจะพึงรู้ได้ก็ดี
ธรรมที่อยู่ในวิสัยของสาวกบางองค์อาจรู้ตามได้ แต่ไม่อาจแสดงให้แก่ใครรู้และเข้าใจได้ก็ดี
ยังมีอีกมากมาย
ท่านว่าธรรมที่ไม่ได้จารึกไว้ในพระบาลีแห่งพระไตรปิฎกนั้น
เทียบกับน้ำในมหาสมุทร ส่วนธรรมที่มาในพระไตรปิฎกนั้น
เทียบกับน้ำในตุ่มในไหเท่านั้นเอง
จึงน่าเสียดายที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญนิพพานไปแล้วตั้งหลายร้อยปี
จึงมีผู้คิดได้และจารึกธรรมเหล่านั้นขึ้นสู่คัมภีร์ตามความสามารถของตน
ซึ่งโดยมากการจารึกก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของผู้จัดทำอีกเช่นกัน
จึงไม่แน่ใจว่าจะได้ธรรมที่ถูกต้องแม่นยำถึงใจเสมอไป
ไว้ต้อนรับอนุชนรุ่นหลังได้อ่านได้ชมเพียงไร เฉพาะความรู้สึกของผมเองว่าธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
ซึ่งฉายออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์นั้น เป็นธรรมถึงใจสุดจะกล่าว
เพราะเป็นธรรมที่ถึงเหตุถึงผลอยู่กับพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว
จึงเป็นธรรมที่อัศจรรย์และมีอานุภาพมากผิดธรรมดา
ผู้รับจากพระโอษฐ์จึงมีทางบรรลุมรรคผลได้ง่าย และมีจำนวนมากมายเหลือจะพรรณนา
บรรดาธรรมเหล่านั้น
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าและสาวกแสดงย่อมเห็นผลประจักษ์แก่ผู้รับฟังอย่างถึงใจ
ส่วนพระไตรปิฎกที่พวกเราศึกษาจดจำกันมานั้น
มีใครบ้างได้บรรลุมรรคผลในขณะที่กำลังฟังและศึกษาอยู่ แต่มิได้ปฏิเสธว่าไม่มีผล
เมื่อเป็นเช่นนี้ธรรมทั้งสองนั้น
ธรรมใดเป็นธรรมที่มีคุณค่าและน้ำหนักมากกว่ากันเล่า? ลองพิจารณาดูซิพวกท่าน
ถ้าว่าผมหาเรื่องป่าเถื่อนมาพูด สำหรับผมเองมีความรู้สึกอย่างนี้
และเชื่ออย่างเต็มใจว่า ธรรมจากพระโอษฐ์นั่นแล
คือธรรมประเภทถอนรากถอนโคนกิเลสทุกประเภทได้อย่างถึงใจทันควัน ดังพระองค์ทรงใช้ถอดถอนกิเลสแก่มวลสัตว์มาแล้วจนสะเทือนโลกทั้งสาม
ผมจึงไม่ประสงค์และส่งเสริมให้ท่านทั้งหลายเย่อหยิ่งทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอนคอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานอยู่เปล่า
ๆ โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว
แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว
ซึ่งเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้ามาเป็นสมบัติของตนด้วยความเข้าใจผิด
ว่าตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจ
ยิ่งกว่าภูเขาไฟมิได้ลดน้อยลงบ้างเลย จงพากันมีสติคอยระวังตัว
อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่า ๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย
การกล่าวทั้งนี้ผมมิได้กล่าวเพื่อประมาทธรรมของพระพุทธเจ้า
ธรรมย่อมเป็นธรรม ทั้งธรรมในใจและธรรมนอกใจ คือธรรมในบาลีพระไตรปิฎก
แต่ธรรมในพระทัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอง
พุทธบริษัทได้บรรลุมรรคผลต่อพระพักตร์ของพระองค์แต่ละครั้งมีจำนวนมาก
ส่วนธรรมที่จารึกขึ้นสู่คัมภีร์ใบลานนั้นมีผลผิดกันอยู่มาก ดังที่ปรากฏในตำรา
ฉะนั้นธรรมในพระทัยจึงเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ
แต่เมื่อพระองค์และพระสาวกซึ่งเป็นเจ้าของเสด็จเข้าสู่นิพพานแล้ว
จึงมีผู้จารึกภายหลัง ซึ่งอาจแฝงไปด้วยความรู้ความเห็นของผู้จดจารึก
อันเป็นเครื่องยังธรรมนั้น ๆ ให้ลดคุณภาพและความศักดิ์สิทธิ์ลงตามส่วน
ใครก็ไม่อาจทราบได้
นี่เป็นคำที่ท่านพระอาจารย์มั่นเคยพูดอยู่เสมอ
กรุณาท่านที่สงสัยถามมาโดยทางจดหมาย วินิจฉัยตามที่เรียนมานี้
ส่วนที่นอกเหนือไปจากคำที่ท่านเคยพูดไว้ ผู้เขียนไม่อาจวินิจฉัยให้หายสงสัยได้
เพียงแต่ประคองร่างสืบชีวิตไปเป็นวัน ๆ ก็ยังหกล้มก้มกราบอยู่แล้ว
จึงกรุณาเห็นใจและขออภัยมาก ๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ส่วนท่านที่ถามมาตามหนังสือสยามรัฐตอนสุดท้ายว่า
ที่หลวงพ่อมั่นท่านต่อสู้กับความโง่หลงงมงายของมนุษย์ ท่านได้ชัยชนะทำให้ใครได้ความฉลาดขึ้นหรือไม่? หรือว่าท่านตายเปล่า? สำหรับท่านผู้เขียนประวัติท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง? นั้น
ถ้าพอมีสติระลึกตนได้อยู่บ้างว่ายังโง่ ยังหลงงมงายอยู่หรือไม่
หรือฉลาดจนถึงไหนแล้ว และเห็นว่าวิธีการที่ท่านดำเนินเป็นนิยยานิกธรรมอยู่บ้าง
ธรรมนั้นและวิธีนั้นก็ควรจะทำคนโง่ให้ฉลาด และทำคนหลงให้รู้สึกตัวได้
ไม่ตายเปล่าแบบท่านอาจารย์มั่นซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่เวลานี้
ไม่มีใครอาจแก้ให้ตกไปได้ ถ้าไม่แก้ที่ตนซึ่งกำลังเป็นปัญหาตัวใหญ่อยู่กับทุกคนว่า
จะตายเปล่า หรือจะตายที่เต็มไปด้วยอะไรบ้างด้วยกัน ไม่มีข้อยกเว้น
และท่านที่ถามอย่างกว้างขวาง
แล้วมาสรุปความลงว่า
การวิจารณ์ว่าเรื่องพระอรหันต์มาสนทนาธรรมและมาแสดงท่านิพพานต่าง ๆ กัน
ให้ท่านอาจารย์มั่นดู มิได้มีในพระบาลีนั้นจริงไหม? การวิจารณ์เป็นความจริงหรือไม่? ถูกต้องหรือไม่? ท่านเป็นผู้เรียบเรียงจะวินิจฉัยว่าอย่างไร? ขอคำแนะนำด้วย
ปัญหาเหล่านี้เข้าใจว่า
ได้เรียนตอบลงในคำบอกเล่าของท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งเขียนผ่านมาแล้ว
ผู้เขียนมิใช่คนวิเศษวิโสเป็นคนใหญ่คนโต มีความรู้ความฉลาดเลื่องลือมาจากโลกไหน
ก็เป็นคนสามัญธรรมดาที่มีกิเลสเต็มหัวใจเราดี ๆ นี่เอง
ท่านผู้วิจารณ์และท่านผู้อ่านทั้งหลายก็เข้าใจว่า คงเป็นคนสามัญธรรมดาด้วยกัน
ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นเจ้าของประวัตินั้น ท่านเป็นพระประเภทใด
ผู้เขียนไม่กล้าอาจเอื้อมวิจารณ์ทำนายท่านได้ กลัวตกนรกทั้งเป็น
ยังอาลัยเสียดายอยากอยู่ในโลกเหมือนคนทั่ว ๆ ไปอยู่
การที่ความรู้ความเห็นของท่านพระอาจารย์มั่น
จะมีในพระบาลีหรือไม่นั้น ถ้าพระไตรปิฎกมิได้ตั้งตัวเป็นกองปราบปรามผูกขาด
ผู้ปฏิบัติก็มีสิทธิ์จะรู้ได้ในธรรมทั้งหลายตามวิสัยของตน
ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทรงรู้เห็นมาก่อนพระไตรปิฎกยังไม่อุบัติ
ถ้าธรรมเหล่านี้และท่านเหล่านี้จะพอเป็นความจริง
เป็นความถูกต้องได้และเป็นสรณะของโลกได้ ก็เป็นมาก่อนพระบาลีแล้ว
ถ้าปลอมก็ปลอมมาแล้วอย่างไม่มีปัญหา จึงขอให้ท่านวินิจฉัยเลือกเอาตามชอบใจว่า
จะเอา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ หรืออะไร ๆ ผ่านสายตาสัมผัสใจก็ สรณํ
คจฺฉามิ ร่ำไปแบบกินไม่เลือก แต่เวลาเจอก้าง……..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น